สืบค้นงานวิจัย
การศึกษาปัจจัยทางกายภาพและชีวภาพที่เกี่ยวข้องกับอาการท้องแดงในปูทะเล (Scylla serrata)
ชลี ไพบูลย์กิจกุล - มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ชื่อเรื่อง: การศึกษาปัจจัยทางกายภาพและชีวภาพที่เกี่ยวข้องกับอาการท้องแดงในปูทะเล (Scylla serrata)
ชื่อเรื่อง (EN): Study of physical and biological factors related to red sternum syndrome in mud crab (Scylla serrata)
บทคัดย่อ: การศึกษาลักษณะของปูทะเลในเขตจังหวัดสมุทรสงครามและจันทบุรี ช่วงเดือนตุลาคม 2551 ถึง กุมภาพันธ์ 2552 จำนวน 100 ตัว พบปูทะเลที่มีลักษณะผิดปกติคือ บริเวณท้อง รยางค์ขา และก้ามมีสีน้ำตาลและสีแดง กล้ามเนื้อลำตัวมีสีขาวขุ่นจนถึงขาวอมชมพู มองเห็นเส้นการเรียงตัวของกล้ามเนื้ออย่างชัดเจน เลือดมีสีแตกต่างกันซึ่งจัดแบ่งปูทะเลที่มีอาการดังกล่าวออกเป็น 5 กลุ่ม คือ กลุ่ม A (เลือดใส) กลุ่ม B (เลือดสีส้มใส) กลุ่ม C (เลือดสีส้มคล้ายสีชาดำเย็น) กลุ่ม D (เลือดสีส้มคล้ายสีชาเย็น) และกลุ่ม E (เลือดสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนม) โดยกลุ่มที่ D และ E เป็นกลุ่มที่มีอาการค่อนข้างรุนแรง เนื่องจากเลือดไม่แข็งตัวเมื่อตั้งทิ้งไว้ อวัยวะภายในไม่คงรูป ตับมีสีเหลืองซีด เหงือกบวมพองและนิ่มกว่าปูปกติ กล้ามเนื้อโพรก การตอบสนองช้า และปูจะตายภายในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อจำแนกชนิดของเชื้อแบคทีเรีย พบเชื้อแบคทีเรีย 9 ชนิด คือ Shewanella putrefaciens group, Pasteurella multocida, Vibrio alginolyticus, Vibrio parahaemolyticus stain 1, Vibrio parahaemolyticus stain 2, Vibrio parahaemolyticus 3, Vibrio vulnificus, Grimontia hollisae และ Brevundimonas diminuta การศึกษาพยาธิสภาพของเนื้อเยื่อปูทะเลที่มีอาการอก-ท้องแดง ในกลุ่ม A (เลือดใส) และกลุ่ม B (เลือดส้มใส) แสดงลักษณะการติดเชื้อ โดยพบว่าเนื้อเยื่อหัวใจ กล้ามเนื้อ ตับ และเหงือก เกิดการตายของเซลล์พบเม็ดเลือดรวมกลุ่ม และแทรกอยู่ภายในเนื้อเยื่อเป็นจำนวนมาก และพบการเกิดโนดูล และการสร้างเม็ดสีดำบริเวณที่มีการติดเชื้อ ซึ่งเป็นกลไกในการป้องตัวในระบบภูมิคุ้มกันของปูทะเล เมื่อนำเชื้อแบคทีเรีย V. parahaemolyticus และ V. alginolyticus ที่แยกได้จากปูทะเลที่มีอาการอก-ท้องแดงฉีดกลับเข้าสู่ปูทะเลปกติเพื่อศึกษาการก่ออาการของปูที่ได้รับการฉีดเชื้อ พบว่าปูที่ได้รับเชื้อ V. parahaemolyticus มีปริมาณเม็ดเลือดรวมลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ชั่วโมงที่ 6 จนถึง 168 และตั้งแต่ชั่วโมงที่ 48 ถึง 168 เลือดมีการเปลี่ยนสีจากใสเป็นสีส้มอ่อน ส่วนปูทะเลที่ได้รับการฉีดเชื้อ V. alginolyticus พบว่ามีปริมาณเม็ดเลือดรวมลดลงตั้งแต่ชั่วโมงที่ 6 จนถึง 96 และเลือดมีลักษณะปกติ เมื่อเปิดกระดองเพื่อสังเกตอวัยวะภายในพบว่า เนื้อเยื่อลำตัวมีลักษณะผิดปกติ โดยพบแถบสีน้ำตาลขุ่นแทรกอยู่ภายในเนื้อเยื่อเมื่อเปรียบเทียบกับปูทะเลปกติ จากการศึกษาสรุปได้ว่าเชื้อ V. parahaemolyticus เป็นสาเหตุให้มีการเปลี่ยนแปลงสีเลือดจากใสเป็นสีส้มอ่อน ซึ่งเป็นอาการของปูทะเลที่มีอาการอก-ท้องแดงกลุ่ม B จากการศึกษารูปแบบโปรตีนในปูทะเลที่มีอาการท้องแดงพบว่าปูทะเลที่มีอาการท้องแดงกลุ่ม A (เลือดใส) พบโปรตีนที่มีมวลโมเลกุลขนาด 15 kDa เพิ่มขึ้นมา เมื่อเปรียบเทียบปูทะเลปกติ ปูทะเลที่มีอาการท้องแดงกลุ่ม B เลือดสีส้มใส พบโปรตีนที่มีมวลโมเลกุลขนาด 100 kDa เพิ่มขึ้นมา เมื่อเปรียบเทียบปูทะเลปกติและปูทะเลที่มีอาการท้องแดงกลุ่ม A, C และ E ปูทะเลที่มีอาการท้องแดงกลุ่ม C เลือดสีส้มคล้ายสีชาดำเย็น พบโปรตีนที่มีมวลโมเลกุลขนาด 200 kDa เพิ่มขึ้นมาเมื่อเปรียบเทียบปูทะเลปกติ ปูทะเลที่มีอาการท้องแดงกลุ่ม D เลือดสีส้มคล้ายสีชาเย็น พบโปรตีนที่มีมวลโมเลกุลขนาด 30 และ 20 kDa เพิ่มขึ้นมา เมื่อเปรียบเทียบปูทะเลปกติ ปูทะเลที่มีอาการท้องแดงกลุ่ม E เลือดสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนม พบว่าโปรตีนที่มีมวลโมเลกุลขนาด 20 และ 10 kDa แถบโปรตีนมีสีเข้มกว่าในปูทะเลที่มีอาการท้องแดงในกลุ่มD แต่ไม่พบโปรตีนที่มีมวลโมเลกุลขนาดตั้งแต่ 100-200 kDa เมื่อเปรียบเทียบกับปูทะเลปกติ เมื่อศึกษาปริมาณไคตินในเปลือกขาเดิน เปลือกก้าม และกระดองของปูทะเลที่มีอาการอก-ท้องแดงกลุ่ม A (เลือดใส) พบว่ามีค่าเท่ากับ 0.1690?0.0152, 0.0921?0.0060 และ 0.1198?0.0012 กรัมต่อกรัมน้ำหนักแห้ง ตามลำดับ ซึ่งมีค่าไม่แตกต่างจากปูทะเลปกติ ปริมาณโปรตีนในเปลือกขา เปลือกก้าม และกระดองของปูทะเลที่มีอาการอก-ท้องแดงกลุ่ม A มีค่าเท่ากับ 0.1113?0.0105, 0.0413?0.0021 และ 0.0546?0.0034 กรัมต่อกรัมน้ำหนักแห้ง ตามลำดับ และปริมาณแคลเซียมในเปลือกขาเดิน เปลือกก้าม และกระดองของปูทะเลที่มีอาการอก-ท้องแดง กลุ่ม A มีค่าเท่ากับ 0.7198?0.0085, 0.8667?0.0040 และ 0.8256?0.0042 กรัมต่อกรัมน้ำหนักแห้ง ตามลำดับ ซึ่งปริมาณแคลเซียมของปูทะเลปกติและปูทะเลที่มีอาการอก-ท้องแดงระยะเลือดใสมีค่าไม่แตกต่างกัน การศึกษาลักษณะของปูทะเลในเขตจังหวัดสมุทรสงครามและจันทบุรี ช่วงเดือนตุลาคม 2551 ถึง กุมภาพันธ์ 2552 จำนวน 100 ตัว พบปูทะเลที่มีลักษณะผิดปกติคือ บริเวณท้อง รยางค์ขา และก้ามมีสีน้ำตาลและสีแดง กล้ามเนื้อลำตัวมีสีขาวขุ่นจนถึงขาวอมชมพู มองเห็นเส้นการเรียงตัวของกล้ามเนื้ออย่างชัดเจน เลือดมีสีแตกต่างกันซึ่งจัดแบ่งปูทะเลที่มีอาการดังกล่าวออกเป็น 5 กลุ่ม คือ กลุ่ม A (เลือดใส) กลุ่ม B (เลือดสีส้มใส) กลุ่ม C (เลือดสีส้มคล้ายสีชาดำเย็น) กลุ่ม D (เลือดสีส้มคล้ายสีชาเย็น) และกลุ่ม E (เลือดสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนม) โดยกลุ่มที่ D และ E เป็นกลุ่มที่มีอาการค่อนข้างรุนแรง เนื่องจากเลือดไม่แข็งตัวเมื่อตั้งทิ้งไว้ อวัยวะภายในไม่คงรูป ตับมีสีเหลืองซีด เหงือกบวมพองและนิ่มกว่าปูปกติ กล้ามเนื้อโพรก การตอบสนองช้า และปูจะตายภายในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อจำแนกชนิดของเชื้อแบคทีเรีย พบเชื้อแบคทีเรีย 9 ชนิด คือ Shewanella putrefaciens group, Pasteurella multocida, Vibrio alginolyticus, Vibrio parahaemolyticus stain 1, Vibrio parahaemolyticus stain 2, Vibrio parahaemolyticus 3, Vibrio vulnificus, Grimontia hollisae และ Brevundimonas diminuta การศึกษาพยาธิสภาพของเนื้อเยื่อปูทะเลที่มีอาการอก-ท้องแดง ในกลุ่ม A (เลือดใส) และกลุ่ม B (เลือดส้มใส) แสดงลักษณะการติดเชื้อ โดยพบว่าเนื้อเยื่อหัวใจ กล้ามเนื้อ ตับ และเหงือก เกิดการตายของเซลล์พบเม็ดเลือดรวมกลุ่ม และแทรกอยู่ภายในเนื้อเยื่อเป็นจำนวนมาก และพบการเกิดโนดูล และการสร้างเม็ดสีดำบริเวณที่มีการติดเชื้อ ซึ่งเป็นกลไกในการป้องตัวในระบบภูมิคุ้มกันของปูทะเล เมื่อนำเชื้อแบคทีเรีย V. parahaemolyticus และ V. alginolyticus ที่แยกได้จากปูทะเลที่มีอาการอก-ท้องแดงฉีดกลับเข้าสู่ปูทะเลปกติเพื่อศึกษาการก่ออาการของปูที่ได้รับการฉีดเชื้อ พบว่าปูที่ได้รับเชื้อ V. parahaemolyticus มีปริมาณเม็ดเลือดรวมลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ชั่วโมงที่ 6 จนถึง 168 และตั้งแต่ชั่วโมงที่ 48 ถึง 168 เลือดมีการเปลี่ยนสีจากใสเป็นสีส้มอ่อน ส่วนปูทะเลที่ได้รับการฉีดเชื้อ V. alginolyticus พบว่ามีปริมาณเม็ดเลือดรวมลดลงตั้งแต่ชั่วโมงที่ 6 จนถึง 96 และเลือดมีลักษณะปกติ เมื่อเปิดกระดองเพื่อสังเกตอวัยวะภายในพบว่า เนื้อเยื่อลำตัวมีลักษณะผิดปกติ โดยพบแถบสีน้ำตาลขุ่นแทรกอยู่ภายในเนื้อเยื่อเมื่อเปรียบเทียบกับปูทะเลปกติ จากการศึกษาสรุปได้ว่าเชื้อ V. parahaemolyticus เป็นสาเหตุให้มีการเปลี่ยนแปลงสีเลือดจากใสเป็นสีส้มอ่อน ซึ่งเป็นอาการของปูทะเลที่มีอาการอก-ท้องแดงกลุ่ม B จากการศึกษารูปแบบโปรตีนในปูทะเลที่มีอาการท้องแดงพบว่าปูทะเลที่มีอาการท้องแดงกลุ่ม A (เลือดใส) พบโปรตีนที่มีมวลโมเลกุลขนาด 15 kDa เพิ่มขึ้นมา เมื่อเปรียบเทียบปูทะเลปกติ ปูทะเลที่มีอาการท้องแดงกลุ่ม B เลือดสีส้มใส พบโปรตีนที่มีมวลโมเลกุลขนาด 100 kDa เพิ่มขึ้นมา เมื่อเปรียบเทียบปูทะเลปกติและปูทะเลที่มีอาการท้องแดงกลุ่ม A, C และ E ปูทะเลที่มีอาการท้องแดงกลุ่ม C เลือดสีส้มคล้ายสีชาดำเย็น พบโปรตีนที่มีมวลโมเลกุลขนาด 200 kDa เพิ่มขึ้นมาเมื่อเปรียบเทียบปูทะเลปกติ ปูทะเลที่มีอาการท้องแดงกลุ่ม D เลือดสีส้มคล้ายสีชาเย็น พบโปรตีนที่มีมวลโมเลกุลขนาด 30 และ 20 kDa เพิ่มขึ้นมา เมื่อเปรียบเทียบปูทะเลปกติ ปูทะเลที่มีอาการท้องแดงกลุ่ม E เลือดสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนม พบว่าโปรตีนที่มีมวลโมเลกุลขนาด 20 และ 10 kDa แถบโปรตีนมีสีเข้มกว่าในปูทะเลที่มีอาการท้องแดงในกลุ่มD แต่ไม่พบโปรตีนที่มีมวลโมเลกุลขนาดตั้งแต่ 100-200 kDa เมื่อเปรียบเทียบกับปูทะเลปกติ เมื่อศึกษาปริมาณไคตินในเปลือกขาเดิน เปลือกก้าม และกระดองของปูทะเลที่มีอาการอก-ท้องแดงกลุ่ม A (เลือดใส) พบว่ามีค่าเท่ากับ 0.1690?0.0152, 0.0921?0.0060 และ 0.1198?0.0012 กรัมต่อกรัมน้ำหนักแห้ง ตามลำดับ ซึ่งมีค่าไม่แตกต่างจากปูทะเลปกติ ปริมาณโปรตีนในเปลือกขา เปลือกก้าม และกระดองของปูทะเลที่มีอาการอก-ท้องแดงกลุ่ม A มีค่าเท่ากับ 0.1113?0.0105, 0.0413?0.0021 และ 0.0546?0.0034 กรัมต่อกรัมน้ำหนักแห้ง ตามลำดับ และปริมาณแคลเซียมในเปลือกขาเดิน เปลือกก้าม และกระดองของปูทะเลที่มีอาการอก-ท้องแดง กลุ่ม A มีค่าเท่ากับ 0.7198?0.0085, 0.8667?0.0040 และ 0.8256?0.0042 กรัมต่อกรัมน้ำหนักแห้ง ตามลำดับ ซึ่งปริมาณแคลเซียมของปูทะเลปกติและปูทะเลที่มีอาการอก-ท้องแดงระยะเลือดใสมีค่าไม่แตกต่างกัน
บทคัดย่อ (EN): External morphology of 100 mud crabs collected from Samut Songkhram and Chanthaburi Provinces during October 2008 to February 2009 were studied. There were distinguish abnormal symptoms in plenty of crabs; brown to red abdominal thorax, chela and joints. Their muscle developed white to pinkish coloration. Haemolymph of those crabs were classified into five groups; transparent (group A), transparency orange (group B), translucent brown (group C), cloudy orange (group D) and opaque white (group E). Crabs in group D and E developed unclotted blood, impair internal organs, pale hepatopancreas, loose muscle and soft carapace. Those crabs were lethargic and died very fast. The bacterial isolated from heart, muscle, hepatopancreas and gill of the normal and infected mud crabs were identified into 9 species: Shewanella putrefaciens group, Pasteurella multocida,Vibrio alginolyticus, Vibrio parahaemolyticus stain1, Vibrio parahaemolyticus stain2, Vibrio parahaemolyticus stain3, Vibrio vulnificus, Grimontia hollisae and Brevundimonas diminuta. Histopathological study of the infected crabs group A (transparent ) and group B (transparency orange) showed necrotic cells in heart tissue, muscle, hepatopancreas and gill. Hemocyte infiltration, nodule formation and melanization were also observed in the infected areas which indicated the immune response to infection. Disease-free crabs were experimentally infected with V. parahaemolyticus and V. alginolyticus isolated from red thoracic-abdominal syndrome. It was found that V. parahaemolyticus infected crabs had decreased total hemocyte count during 6-168 hours and hemolymph color was changed from transparent to transparency orange from 48 to168 hours. V. alginolyticus infected crabs also had decreased total hemocyte count during 6-96 hours but hemolymph still remained transparent as the normal ones. Some part of the muscle from V. alginolyticus infected crabs developed light brownish coloration. Based from this result, it could be suggested that V. parahaemolyticus was the cause of red thoracic-abdominal (group B) syndrome in the mud crab classified by the development of transparency orange hemolymph after the re-infection. The results of haemolymph protein pattern of the infected crabs showed that the crabs group A (transparent) and group C (translucent brown) had the new protein of 15 and 200 kDa, respectively, comparing to the normal crabs and the group B (transparency orange) had the new band of 100 kDa protein which did not found in the infected crabs group A, C, E and the normal ones. The infected crab group D (cloudy orange) obviously showed the band of 30 and 20 kDa protein and the group E (opaque white) had the strong band of 20 and 10 kDa protein compared to the group D. The proteins of 100-200 kDa were clearly disappeared in the group E. No significant difference of chitin, protein and calcium contents between the infected crabs group A (transparent) and the normal crabs. The chitin contents in walking leg shell, chela shell and the carapace of the infected crabs group A were 0.1690?0.0152, 0.0921?0.0060 and 0.1198?0.0012 g/g dry wt., respectively. The protein contents were 0.1113?0.0105, 0.0413?0.0021 and 0.0546?0.0034 g/g dry wt. and the calcium contents were 0.7198?0.0085, 0.8667?0.0040 and 0.8256?0.0042 g/g dry wt. in walking leg shell, chela shell and the carapace of the infected crabs group A, respectively. External morphology of 100 mud crabs collected from Samut Songkhram and Chanthaburi Provinces during October 2008 to February 2009 were studied. There were distinguish abnormal symptoms in plenty of crabs; brown to red abdominal thorax, chela and joints. Their muscle developed white to pinkish coloration. Haemolymph of those crabs were classified into five groups; transparent (group A), transparency orange (group B), translucent brown (group C), cloudy orange (group D) and opaque white (group E). Crabs in group D and E developed unclotted blood, impair internal organs, pale hepatopancreas, loose muscle and soft carapace. Those crabs were lethargic and died very fast. The bacterial isolated from heart, muscle, hepatopancreas and gill of the normal and infected mud crabs were identified into 9 species: Shewanella putrefaciens group, Pasteurella multocida,Vibrio alginolyticus, Vibrio parahaemolyticus stain1, Vibrio parahaemolyticus stain2, Vibrio parahaemolyticus stain3, Vibrio vulnificus, Grimontia hollisae and Brevundimonas diminuta. Histopathological study of the infected crabs group A (transparent ) and group B (transparency orange) showed necrotic cells in heart tissue, muscle, hepatopancreas and gill. Hemocyte infiltration, nodule formation and melanization were also observed in the infected areas which indicated the immune response to infection. Disease-free crabs were experimentally infected with V. parahaemolyticus and V. alginolyticus isolated from red thoracic-abdominal syndrome. It was found that V. parahaemolyticus infected crabs had decreased total hemocyte count during 6-168 hours and hemolymph color was changed from transparent to transparency orange from 48 to168 hours. V. alginolyticus infected crabs also had decreased total hemocyte count during 6-96 hours but hemolymph still remained transparent as the normal ones. Some part of the muscle from V. alginolyticus infected crabs developed light brownish coloration. Based from this result, it could be suggested that V. parahaemolyticus was the cause of red thoracic-abdominal (group B) syndrome in the mud crab classified by the development of transparency orange hemolymph after the re-infection. The results of haemolymph protein pattern of the infected crabs showed that the crabs group A (transparent) and group C (translucent brown) had the new protein of 15 and 200 kDa, respectively, comparing to the normal crabs and the group B (transparency orange) had the new band of 100 kDa protein which did not found in the infected crabs group A, C, E and the normal ones. The infected crab group D (cloudy orange) obviously showed the band of 30 and 20 kDa protein and the group E (opaque white) had the strong band of 20 and 10 kDa protein compared to the group D. The proteins of 100-200 kDa were clearly disappeared in the group E. No significant difference of chitin, protein and calcium contents between the infected crabs group A (transparent) and the normal crabs. The chitin contents in walking leg shell, chela shell and the carapace of the infected crabs group A were 0.1690?0.0152, 0.0921?0.0060 and 0.1198?0.0012 g/g dry wt., respectively. The protein contents were 0.1113?0.0105, 0.0413?0.0021 and 0.0546?0.0034 g/g dry wt. and the calcium contents were 0.7198?0.0085, 0.8667?0.0040 and 0.8256?0.0042 g/g dry wt. in walking leg shell, chela shell and the carapace of the infected crabs group A, respectively.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
คำสำคัญ: ปรสิต
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การศึกษาปัจจัยทางกายภาพและชีวภาพที่เกี่ยวข้องกับอาการท้องแดงในปูทะเล (Scylla serrata)
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
30 กันยายน 2551
ความหลากหลายทางชีวภาพของปูบริเวณหมู่เกาะมัน จังหวัดระยอง การเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพและการเกิดโรคปูทะเล (Scylla sp.) ที่เลี้ยงแบบแยกเดี่ยวในระบบหมุนเวียนน้ำ ชีววิทยาบางประการของปูทะเลชนิด Scylla serrata (Forskal, 1755) บริเวณอ่าวนครศรีธรรมราช การอนุบาลลูกปูทะเล (Scylla serrata) ระยะ Megalopa จนถึงขนาด 2.5 เซนติเมตร โดยวัสดุหลบซ่อนต่างกัน โครงการวิจัยการเพาะเลี้ยงปูทะเล (Scylla spp.) ปูม้า (Portumus pelagicus) และปูแสม (Sesarma mederi) เชิงพาณิชย์ ความหลากหลายทางชีวภาพของปูบริเวณหมู่เกาะล้าน พ้ทยา จ.ชลบุรี ผลของอาหาร 3 ชนิด ต่อการพัฒนารังไข่แม่พันธุ์ปูทะเล (Scylla paramamosain Estampador, 1949) ชีววิทยาบางประการปูทะเล Scylla olivacea บริเวณชายฝั่งชุมชน บ้านบางสะเก้า จังหวัดจันทบุรี ประสิทธิผลของอาหารแห้งสำเร็จรูปเสริม Astaxanthin ต่อการพัฒนารังไข่และคุณภาพตัวอ่อนของปูทะเล (Scylla paramamosain Estampador, 1949). การเลี้ยงแม่พันธุ์ปูทะเล Scylla paramamasain ด้วยอาหารต่างชนิดกันให้มีไข่นอกกระดองในบ่อคอนกรีตเพื่อการเพาะพันธุ์
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก