สืบค้นงานวิจัย
สภาพการผลิตและการตลาดงาใน จ.สุราษฏร์ธานี
ศิริกุล ศรีแสงจันทร์ - กรมส่งเสริมการเกษตร
ชื่อเรื่อง: สภาพการผลิตและการตลาดงาใน จ.สุราษฏร์ธานี
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: ศิริกุล ศรีแสงจันทร์
บทคัดย่อ: ประชากรในการวิจัยได้จากการสุ่มอย่างเป็นระบบ จากบัญชีรายชื่อเกษตรกรที่ปลูกงา จำนวน 189 คน ใน 9 หมู่บ้าน 7 ตำบล 4 อำเภอ ใช้ประชากรจำนวน 100 คน (1)เกษตรกรในจ.สุราษฏร์ธานี จะปลูกงาเป็นพืชเสริมรายได้จากการทำนาหรือทำสวนยางพาราซึ่งเป็นอาชีพหลักในเขตอ.พุนพิน และ อ.นาสาร จะปลูกงาในนาหลังเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว ส่วนอ.เคียนซาและกิ่ง อ.บ้านนาเดิมเกษตรกรจะปลูกงาเป็นพืชแซมในสวนยางพารา เฉลี่ยครัวเรือนละ 5-15 ไร่ โดยจะเริ่มปลูกเดือนเมษายน-พฤษภาคม เกษตรกรไถเตรียมดินล่วงหน้าไว้ก่อน รอจนฝนตกลงมาจึงจะไถอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงหว่านเมล็ดทันที งาที่จะปลูกเป็นงาดำ 4.6 หรือ 8 เหลี่ยม โดยใช้อัตราเมล็ดพันธุ์ 1 กก./ไร่ ซึ่งเกษตรกรมันจะเก็บเมล็ดไว้ทำพันธุ์เอง หลังจากนั้นเกษตรกรจะปล่อยทิ้งไว้ไม้ทำอะไรอีกเลยจนกระทั่งงาแก่จึงเข้าไปเก็บเกี่ยว มีเพียงบางรายเท่านั้นที่มีการใส่ปุ๋ย กำจัดศัตรูพืช พบศัตรูงาที่สำคัญคือหนอนผีเสื้อหัวกระโหลก หนอนห่อยอด เพลี้ยไฟ โรคใบเหี่ยว และโรคใบหงิก หลังการเก็บเกี่ยวแล้วเกษตรกรบางรายนำงามาบ่มเพื่อให้งาทุกฝักสุกแก่สม่ำเสมอกัน ก่อนที่จะนำมาตามให้ฝักแห้ง เกษตรกรบางรายมไม่บ่ม แต่จะตามงาที่เก็บเกี่ยวและมัดแล้วไว้ในแปลงโดยวางพิงกันเป็น 3 ขา จนฝักแห้ง แล้วเคาะเอาเมล็ดออก ร่อนฝักทำความสะอาดก่อนการบรรจุในกระสอบป่านเพื่อรอจำหน่ายต่อไป งาที่ปลูกในจ.สุราษฏร์ธานีมีผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 63 กก./ไร่ ซึ่งนับว่ายังต่ำอยู่ สาเหตุเนื่องจากเกษตรกรส่วนใหญ่ยังใช้ปัจจัยการผลิตน้อยอยู่ อาทิเช่นปุ๋ยเคมี สารเคมีป้องกันป้องกันกำจัดศัตรูพืช ทำให้ต้นทุนการผลิตที่เป็นเงินสดยังต่ำอยู่ ดูจากต้นทุนการผลิตงาที่ปลูกเป็นพืชแซมในสวนยางทั้งหมดตกไร่ละ 723.26 บาท ถ้าคิดเป็นถ้าคิดเฉพาะต้นทุนเงินสด 248.39 บาท เกษตรกรขายได้เฉลี่ยกิโลกรัมละ 12.50 บาท จะได้กำไรไร่ละ 563.48 บาท สำหรับงาที่ปลูกในนาหลังเก็บเกี่ยวข้าว ต้นทุนการผลิตทั้งหมดไร่ละ 680.98 บาท คิดเป็นเฉพาะที่เป็นเงินสด 176.89 บาท ถ้าไม่คิดต้นทุนการผลิตที่ไม่เป็นเงินสด ก็จะได้กำไรถึง 591.71 บาทต่อไร่ งาที่เกษตรกรผลิตได้จะขายให้กับพ่อค้ารับซื้องาในอำเภอ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นร้านค้าที่รับซื้อยางแผ่นจากเกษตรกรอยู่แล้ว หลังจากนั้นพ่อค้ารับซื้อก็จะส่งไปขายต่อยังตลาดกรุงเทพฯ โดยทำการร่อนเอาสิ่งเจือปนออกก่อน (2)ปัจจัยที่ทำให้งาที่ปลูกจ.สุราษฏร์ธานีมีคุณภาพดี พิจารณาแยกเป็นเป็น 2 ประเด็น คือ ประเด็นแรกเกี่ยวกับปัจจัยทางกายภาพ ได้แก่มีสภาพดินที่เหมาะสมสำหรับปลูกงา และมีปริมาณน้ำฝนที่ตกพอเหมาะ ถ้าปีไหนฝนตกล่าหรือทิ้งช่วง งาที่ปลูกในปีนั้นก็จะมีขนาดเมล็ดเล็กลงและผลผลิตต่ำ ประเด็นที่สองก็เนื่องจากเก็บเกี่ยวงาแล้ว เกษตรกรจะร่อน ฝัดทำความสะอาดเมล็ดงาเป็นอย่างดี และหลังจากที่พ่อค้ารับซื้องามล็ดงาที่ซื้อยังมีสิ่งเจือปนหลงเหลืออยู่ก็จะร่อนทำความสะอาดอีครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะส่งไปขายตลาดกรุงเทพฯ จึงทำให้งาที่ผลิตในจ.สุราษฏร์ธานีมีคุณภาพดีทั้งขนาดของเมล็ด ความสม่ำเสมอของสีและความสะอาด กล่าวโดยสรุปการปลูกงาเพื่อรายได้เสริมนั้น มีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากงาเป็นพืช อายุสั้น สามารถเจริญได้ดีในดินหลายประเภท และทนแล้ง ในช่วงสั้น ๆ ได้ จึงเป็นพืชที่ใช้ในระบบการปลูกพืชได้ดี ทั้งในสภาพพื้นที่ที่เป็นนา ที่ดอนหรือแซมในสวนยางพาราที่มีอายุไม่เกิน 3 ปี แต่การปลูกก็มีข้อจำกัดในเรื่องสภาพด้านกายภาพได้แก่ เรื่องน้ำซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญในการปลูกพืช เกษตรกรการปลูกงาโดยอาศัยน้ำฝนที่ตกในช่วงเก็บเกี่ยวจะเจอฝนทำให้ผลผลิตที่ได้เสียหายและมีคุณภาพต่ำ ข้อเสนอแนะ 1)เกษตรกรที่ปลูกงานในจังหวัดสุราษำร์ธานี มักไม่ใช่คนท้องถิ่น แต่เป้นคนอพยพมาทำมาหากินจากภาคกลาง ซึ่งได้นำสิ่งที่คุ้นเคยและปลูกมาก่อนในภาคกลาง มาปลูกในภาคใต้ เมื่อเห็นว่าได้ผลดีและมีตลาดรับซื้อ จึงมีการปลูกมากขึ้น รวมทั้งคนในท้องถิ่น ฉะนั้นการที่จะขยายพื้นที่ปลูกในแหล่งใหม่ต้องคำนึงถึงด้วยว่า เกษตรกรในท้องถิ่นคุ้นเคยและรู้จักงานมากน้อยเพียงใด 2)งาที่ปลูกมีผลผลิตต่ำ ถ้ามองในแง่การใช้เทคโนโลยี พบว่าเกษตรกรยังใช้เทคดนโลยีน้อย ฉะนั้นแนวทางในการเพิ่มผลผลิต จึงควรส่งเสริมในเรื่องของการใช้พันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงเป้นที่ต้องการของตลาด การใช้ปัจจัยการผลิตที่คุ้มต่อการลงทุน เทคโนโลยีที่มีการปฏิบัติไม่ยุ่งยากซับซ้อน แต่เมื่อปฏิบัติแล้วมีผลในการเพิ่มผลผลิต คุ้มกับแรงงานที่ใช้ ซึ่งจะต้องประสานงานกับสถาบันวิจัยต่างๆ ในการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ 3)ถึงแม้ว่าสุราฎร์ธานีจะมีเพียง 4 อำเภอ แต่เมื่อศึกษาถึงระบบการตลาดงา พบว่า มีร้านค้ารับซื้อเมล็ดงาเพียง 2 อำเภอเท่านั้น คืออำเภอพุนพินและอำเภอบ้านนาสาร การส่งเสริมการปลูกงาในแหล่งใหม่ จึงต้องคำนึงถึงเรื่องตลาดเนื่องจากแหล่งที่มีพื้นที่ปลูกงาน้อย จะไม่มีตลาดรับซื้อ 4)ควรมีการส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มกันในการขายผลผลิตเพื่อจะได้ราคาที่สูงขึ้น
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: กรมส่งเสริมการเกษตร
คำสำคัญ: จังหวัดสุราษฏร์ธานี
หมวดหมู่:
หมวดหมู่ AGRIS:
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
สภาพการผลิตและการตลาดงาใน จ.สุราษฏร์ธานี
กรมส่งเสริมการเกษตร
ไม่ระบุวันที่เผยแพร่
การศึกษาสภาพการผลิตและการตลาดผักพื้นบ้าน การผลิตและการตลาดสับปะรด จังหวัดเพชรบุรี การศึกษาสภาพการผลิตและการตลาดปอสาในภาคเหนือ สถานการณ์การผลิตและการตลาดถั่วเหลือง ปี 2527 ศึกษาการผลิตและการตลาดพริก การวิเคราะห์ศักยภาพด้านการตลาดและการผลิตของผู้ผลิตผักอินทรีย์ในกลุ่มเกษตรอินทรีย์บ้านต้นเฮือด ตำบลบ้านแหวน อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ การผลิตและการตลาดสับปะรดในอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ความเป็นไปได้ในการผลิตงาโดยใช้เมล็ดพันธุ์ชั่วรุ่นที่ 2 และ 3 ที่เก็บต่อจากเมล็ดพันธุ์งาลูกผสมชั่วรุ่นที่ 1 การผลิตและการตลาดส้มเขียวหวาน อำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ความต้องการของเกษตรกรต่อการผลิตและการตลาดเบญจมาศในจังหวัดนครราชสีมา
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก