สืบค้นงานวิจัย
การศึกษานิเวศวิทยาเพื่อแก้ปัญหาช้างป่าบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว จังหวัดหนองคาย เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ จังหวัดกาญจนบุรี และอุทยานแห่งชาติกุยบุรี จังหวัดเพชรบุรี
รองลาภ สุขมาสรวง - มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ชื่อเรื่อง: การศึกษานิเวศวิทยาเพื่อแก้ปัญหาช้างป่าบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว จังหวัดหนองคาย เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ จังหวัดกาญจนบุรี และอุทยานแห่งชาติกุยบุรี จังหวัดเพชรบุรี
ชื่อเรื่อง (EN): The study of ecology to solve human and wild elephant conflict around Phu Wor Wildlife Sanctuary , Nong Khai Province, Salak Pra Wildlife Sanctuary, Kanchanaburi Province and Kui Buri National Park, Phet Buri Province
บทคัดย่อ: การศึกษานิเวศวิทยา เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างคน กับช้างป่าบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว จังหวัดบึงกาฬ ดำเนินการระหว่าง ปี พ.ศ. 2552 ถึง พ.ศ. 2554 เพื่อศึกษาลักษณะประชากร ชนิดอาหาร ปัจจัยแวดล้อมที่มีผลต่อการปรากฏของช้างป่า ศึกษาการออกมาหากินพืชเกษตร เพื่อใช้แก้ปัญหาความขัดแย้ง ผลการศึกษาพบว่า ความหนาแน่นกองมูลช้างป่ามีค่า 475.47 กอง/กม2 อัตราการสลายตัวของกองมูลช้างป่ามีค่าเฉลี่ย 0.0030 กอง/วัน ความหนาแน่นประชากรช้างป่ามีค่า 0.10 ตัว/กม2 ซึ่งใกล้เคียงกับจำนวนประชากรที่ได้จากการนับโดยตรง ที่พบจำนวน 24 ตัว โครงสร้างประชากร คิดเป็นสัดส่วนช้างตัวเต็มวัย: ช้างก่อนเต็มวัย: ช้างวัยรุ่น: ลูกช้าง เป็น 4: 1.67: 1.33: 1 ตามลำดับ ขณะที่โครงสร้างประชากรจากการวัดเส้นรอบวงรอยตีนหน้าที่ปรากฏบนพื้นทราย เท่ากับ 8.50: 4.50: 2.50: 1 ในช้างตัวเต็มวัย: ช้างก่อนเต็มวัย: ช้างวัยรุ่น: ลูกช้าง สัดส่วนเพศช้างเพศผู้เต็มวัยต่อเพศเมียเต็มวัย เท่ากับ 1: 3 การเกิดในประชากรมีค่า 6.73% ต่อปี ขณะที่มีการตาย มีค่า 4.17% เมื่อ เปรียบเทียบโครงสร้างประชากร สัดส่วนเพศตัวเต็มวัย สัดส่วนเพศเมียต่อลูกในประชากร และการเพิ่มพูนในประชากรช้างป่าแห่งนี้กับพื้นที่อนุรักษ์แห่งอื่นพบว่าใกล้เคียงกัน พืชอาหารในธรรมชาติที่กินพบรวม 45 ชนิด จาก 30 วงศ์ พบธาตุอาหารในแหล่งโป่งมีปริมาณน้อย ปัจจัยแวดล้อมที่มีผลต่อการเลือกใช้พื้นที่อาศัยได้แก่ ประเภทป่า ปัจจัยที่มีผลรองลงมา ได้แก่ ระยะห่างจากถนนทุกการสัญจร หมู่บ้าน หน่วยพิทักษ์ป่า และพบว่ามีความคล้ายคลึงกันระหว่างหน้าแล้ง และหน้าฝน ขนาดพื้นที่อาศัยที่เหมาะสมมากของช้างป่าในพื้นที่ช่วงหน้าแล้งมีขนาด 18.60 กม2 ขณะที่ในช่วงหน้าฝนมีขนาด 13.44 กม2 เนื่องจากปัจจัยที่มีผลต่อการปรากฏของช้างป่าส่วนใหญ่อยู่ภายนอกพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พบช้างป่าออกมาหากินในพื้นที่เกษตรกรรมใน 8 หมู่บ้าน รวม 43 ครั้ง แนวโน้มของการออกมานอกพื้นที่ในแต่ละหมู่บ้านไม่แตกต่างจากในอดีตที่พบรวม 90 ครั้ง ใน 20 หมู่บ้าน ช้างป่ามักออกมานอกพื้นที่ตลอดทั้งปี แต่ส่วนใหญ่พบออกมาหากินในพื้นที่เกษตรในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน และช่วงเดือน ตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน เวลาที่ช้างออกมานอกพื้นที่ส่วนใหญ่พบระหว่างเวลา 23.00 น. ถึงเวลา 05.00 น. พืชเกษตรที่ถูกกินพบรวม 17 ชนิด จากที่พบว่าได้รับความเสียหาย 25 ชนิด คิดมูลค่าความเสียหายจากการประเมินเพื่อจ่ายค่าชดเชยเฉลี่ยปีละ 73,525 บาท การจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาช้างป่าในพื้นที่ที่สำคัญในอนาคตได้แก่การวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดิน การใช้ประโยชน์ทรัพยากรสัตว์ป่า การส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในการอนุรักษ์ช้างป่า โดยได้เสนอไว้ในผลการศึกษานี้การศึกษานิเวศวิทยา เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างคน กับช้างป่าบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว จังหวัดบึงกาฬ ดำเนินการระหว่าง ปี พ.ศ. 2552 ถึง พ.ศ. 2554 เพื่อศึกษาลักษณะประชากร ชนิดอาหาร ปัจจัยแวดล้อมที่มีผลต่อการปรากฏของช้างป่า ศึกษาการออกมาหากินพืชเกษตร เพื่อใช้แก้ปัญหาความขัดแย้ง ผลการศึกษาพบว่า ความหนาแน่นกองมูลช้างป่ามีค่า 475.47 กอง/กม2 อัตราการสลายตัวของกองมูลช้างป่ามีค่าเฉลี่ย 0.0030 กอง/วัน ความหนาแน่นประชากรช้างป่ามีค่า 0.10 ตัว/กม2 ซึ่งใกล้เคียงกับจำนวนประชากรที่ได้จากการนับโดยตรง ที่พบจำนวน 24 ตัว โครงสร้างประชากร คิดเป็นสัดส่วนช้างตัวเต็มวัย: ช้างก่อนเต็มวัย: ช้างวัยรุ่น: ลูกช้าง เป็น 4: 1.67: 1.33: 1 ตามลำดับ ขณะที่โครงสร้างประชากรจากการวัดเส้นรอบวงรอยตีนหน้าที่ปรากฏบนพื้นทราย เท่ากับ 8.50: 4.50: 2.50: 1 ในช้างตัวเต็มวัย: ช้างก่อนเต็มวัย: ช้างวัยรุ่น: ลูกช้าง สัดส่วนเพศช้างเพศผู้เต็มวัยต่อเพศเมียเต็มวัย เท่ากับ 1: 3 การเกิดในประชากรมีค่า 6.73% ต่อปี ขณะที่มีการตาย มีค่า 4.17% เมื่อ เปรียบเทียบโครงสร้างประชากร สัดส่วนเพศตัวเต็มวัย สัดส่วนเพศเมียต่อลูกในประชากร และการเพิ่มพูนในประชากรช้างป่าแห่งนี้กับพื้นที่อนุรักษ์แห่งอื่นพบว่าใกล้เคียงกัน พืชอาหารในธรรมชาติที่กินพบรวม 45 ชนิด จาก 30 วงศ์ พบธาตุอาหารในแหล่งโป่งมีปริมาณน้อย ปัจจัยแวดล้อมที่มีผลต่อการเลือกใช้พื้นที่อาศัยได้แก่ ประเภทป่า ปัจจัยที่มีผลรองลงมา ได้แก่ ระยะห่างจากถนนทุกการสัญจร หมู่บ้าน หน่วยพิทักษ์ป่า และพบว่ามีความคล้ายคลึงกันระหว่างหน้าแล้ง และหน้าฝน ขนาดพื้นที่อาศัยที่เหมาะสมมากของช้างป่าในพื้นที่ช่วงหน้าแล้งมีขนาด 18.60 กม2 ขณะที่ในช่วงหน้าฝนมีขนาด 13.44 กม2 เนื่องจากปัจจัยที่มีผลต่อการปรากฏของช้างป่าส่วนใหญ่อยู่ภายนอกพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า พบช้างป่าออกมาหากินในพื้นที่เกษตรกรรมใน 8 หมู่บ้าน รวม 43 ครั้ง แนวโน้มของการออกมานอกพื้นที่ในแต่ละหมู่บ้านไม่แตกต่างจากในอดีตที่พบรวม 90 ครั้ง ใน 20 หมู่บ้าน ช้างป่ามักออกมานอกพื้นที่ตลอดทั้งปี แต่ส่วนใหญ่พบออกมาหากินในพื้นที่เกษตรในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน และช่วงเดือน ตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายน เวลาที่ช้างออกมานอกพื้นที่ส่วนใหญ่พบระหว่างเวลา 23.00 น. ถึงเวลา 05.00 น. พืชเกษตรที่ถูกกินพบรวม 17 ชนิด จากที่พบว่าได้รับความเสียหาย 25 ชนิด คิดมูลค่าความเสียหายจากการประเมินเพื่อจ่ายค่าชดเชยเฉลี่ยปีละ 73,525 บาท การจัดการเพื่อแก้ไขปัญหาช้างป่าในพื้นที่ที่สำคัญในอนาคตได้แก่การวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดิน การใช้ประโยชน์ทรัพยากรสัตว์ป่า การส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในการอนุรักษ์ช้างป่า โดยได้เสนอไว้ในผลการศึกษานี้
บทคัดย่อ (EN): The ecological study to sovle human and elephant conflict around Phu Wao Wildlife Sanctuary, Bueng Karn Province was procedured during 2009 and 2011. The objectives were to study population characteristics, forage species, environmental factors that affected to the animal present. The elephant’s crop riding around the area was also investigated to synthesise the problem solution. The results reflected that the dung density was 475.47 dung piles/km2. The average decay rate was 0.0030 dung piles/day. The elephant density in the area was 0.01 individuals/km2 that closed to the total of 24 individuals gained from direct sighting. The population structure studied by direact count that composed of adult: subadult: juvenile: calf was 4: 1.67: 1.33: 1 respectively. Whereas the population structure gained from fore foot circumferences on the forest floor were 8.50: 4.50: 2.59:1 respectively. The adult male and adult female ratio was 1:3. The recruiment rate of the population was 6.73% whereas the mortality rate was 4.17%. This close to those of the population in some protected. The 45 forage species within 30 families were found. The result from salt licks analysis showed very low level both of macronutrients and micronutrients. The environmental factors that affected to the animal’s habitat selection were the forest types, distance to roads, villages, and ranger stations respectively and also found that did not different between season. The habitat suitability size of the elephant during the dry seaason was 18.60 km2 whereas during the wet season was 13.44 km2 due to most of the environmental factors affected to the animal present located out site the sanctuary. The results also found that elephant crop riding present around 8 villages with total of 43 times. Number of elephant’s crop riding trend showed close correlation with the 90 times presented in 20 villages the past. The elephant roamed out site the sanctuary or year round nevertheles the most of crop riding evidences occurred during February to April and during October to November. The animal came to agricultural areas during 23.00 h and 05.00 h. Seventeen out of twenty five species out of agricultural crops were fed by the animal. The damage estimated from the compensation schemes were an average of 73,525 Baths per year. The managements to solve the human and elephant conflict around the area in the future should be concentrated in land use planing, wildlife utilization and public coorperation promotion for the elephant conservation as the recomentdations in this study.The ecological study to sovle human and elephant conflict around Phu Wao Wildlife Sanctuary, Bueng Karn Province was procedured during 2009 and 2011. The objectives were to study population characteristics, forage species, environmental factors that affected to the animal present. The elephant’s crop riding around the area was also investigated to synthesise the problem solution. The results reflected that the dung density was 475.47 dung piles/km2. The average decay rate was 0.0030 dung piles/day. The elephant density in the area was 0.01 individuals/km2 that closed to the total of 24 individuals gained from direct sighting. The population structure studied by direact count that composed of adult: subadult: juvenile: calf was 4: 1.67: 1.33: 1 respectively. Whereas the population structure gained from fore foot circumferences on the forest floor were 8.50: 4.50: 2.59:1 respectively. The adult male and adult female ratio was 1:3. The recruiment rate of the population was 6.73% whereas the mortality rate was 4.17%. This close to those of the population in some protected. The 45 forage species within 30 families were found. The result from salt licks analysis showed very low level both of macronutrients and micronutrients. The environmental factors that affected to the animal’s habitat selection were the forest types, distance to roads, villages, and ranger stations respectively and also found that did not different between season. The habitat suitability size of the elephant during the dry seaason was 18.60 km2 whereas during the wet season was 13.44 km2 due to most of the environmental factors affected to the animal present located out site the sanctuary. The results also found that elephant crop riding present around 8 villages with total of 43 times. Number of elephant’s crop riding trend showed close correlation with the 90 times presented in 20 villages the past. The elephant roamed out site the sanctuary or year round nevertheles the most of crop riding evidences occurred during February to April and during October to November. The animal came to agricultural areas during 23.00 h and 05.00 h. Seventeen out of twenty five species out of agricultural crops were fed by the animal. The damage estimated from the compensation schemes were an average of 73,525 Baths per year. The managements to solve the human and elephant conflict around the area in the future should be concentrated in land use planing, wildlife utilization and public coorperation promotion for the elephant conservation as the recomentdations in this study.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การศึกษานิเวศวิทยาเพื่อแก้ปัญหาช้างป่าบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว จังหวัดหนองคาย เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ จังหวัดกาญจนบุรี และอุทยานแห่งชาติกุยบุรี จังหวัดเพชรบุรี
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
30 กันยายน 2556
การศึกษานิเวศวิทยาเพื่อแก้ไขความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่า บริเวณ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน จังหวัดฉะเชิงเทรา การศึกษาความชุกและปัจจัยเสี่ยงของโรคแท้งติดต่อในสัตว์เคี้ยวเอื้องที่เลี้ยงบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ จ. กาญจนบุรี ความหลากหลายทางพันธุกรรมของพืชสมุนไพรในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา ความหลากหลายของผักพื้นบ้านและพฤกษศาสตร์พื้นบ้านในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา สำรวจความหลากหลายของพืชสมุนไพรเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา จังหวัดลพบุรี การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุรักษ์และฟื้นฟูชะนีที่ถูกคุกคามและใกล้สูญพันธุ์ใกล้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาสอยดาว จ. จันทบุรี และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลุ่มน้ำปาย จ. แม่ฮ่องสอน การศึกษานิเวศวิทยาเพื่อแก้ไขความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่า บริเวณ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน จังหวัดฉะเชิงเทรา นิเวศวิทยา ประชากร และแนวทางในการแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างช้างป่า (Elephas maximus) และชาวบ้าน ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง จังหวัดเลย ดินโป่งในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่น้ำภาชี ปัจจัยที่มีผลต่อการมีส่วนร่วมของชุมชนในเขตพื้นที่รักษาพันธุ์สัตว์น้า กรณีศึกษา : เขตพื้นที่รักษาพันธุ์สัตว์น้า วัดลานบุญ เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก