สืบค้นงานวิจัย
การศึกษาวิจัยสภาพการดำเนินงานของผู้ผลิตวัตถุดิบ ช่างทำผลิตภัณฑ์ ผู้ทอ และผู้บริโภคผ้าไทย
กองงานวิทยาเขต - มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ชื่อเรื่อง: การศึกษาวิจัยสภาพการดำเนินงานของผู้ผลิตวัตถุดิบ ช่างทำผลิตภัณฑ์ ผู้ทอ และผู้บริโภคผ้าไทย
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: กองงานวิทยาเขต
บทคัดย่อ: การวิจัยเรื่องนี้ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาอาชีพการทอผ้าหัตถกรรมให้มีระบบการผลิตด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับภูมิปัญญท้องถิ่น และตอบสอนงความต้องการของตลาดทั้งในประเทสและต่างประเทศ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ผู้ผลิตวัตถุดิบ กลุ่มที่ 2 ช่างทำผลิตภัณฑ์ กลุ่มที่ 3 ผู้ทอผ้า และกลุ่มที่ 4 ผู้บริโภค ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. กลุ่มผู้ผลิตวัตถุดิบ 1.1 ข้อมูลทั่วไป ผลจากการศึกษาผู้ผลิตวัตถุดิบจำนวน 418 ราย พบว่าเป็นผู้ที่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 66.75 เพศหญิงร้อยละ 85.27 อายุระหว่าง 41 - 60 ปี ร้อยละ 54.11 แต่งงานแล้วร้อยละ 96.86 นับถือศาสนาพุทธร้อยละ 95.59 จบการศึกษาระดับประถมศึกษาร้อยละ 92.71 ไม่มีตำแหน่งหน้าที่ในชุมชนร้อยละ 68.56 จำนวนบุตรในครัวเรือนเฉลี่ย 3.75 คน (3.75_+2.07) อาชีพหลัก คือ เกษตรกรรม ร้อยละ 78.01 รายได้จากอาชีพหลักน้อยกว่า 15,000 บาท/ปี ร้อยละ 35.82 อาชีพรอง คือ อาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ร้อยละ 60.78 รายได้ จากอาชีพรองน้อยกว่า 15,000 บาท/ปี ร้อยละ 67.66 ใช้วัตถุดิบจากหม่อน - ไหมในการผลิต ถึงร้อยละ 97.06 1.2 การปลูกหม่อน - เลี้ยงไหม พันธุ์หม่อนที่ปลูกใช้พันธุ์พื้นเมืองร้อยละ 48.20 พื้นที่ปลูกหม่อนเฉลี่ย 2.14 ไร่ (2.14_+5.27)มีที่ดินเป็นของตนเองร้อยละ 95.10 ใช้แรงงานคนในการเตรียมพื้นที่ปลูกร้อยละ 59.34 ใช้แรงงานในครอบครัวร้อยละ 92.76 จำนวนแรงงานในครอบครัวที่ใช้ในการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเฉลี่ย 2.00 คน (2.00_+1.26) ค่าจ้างแรงงานที่ใช้ในการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเฉลี่ย 104 บาท/คน/วัน ระยะปลูกหม่อน (ระหว่างต้น x ระหว่างแถว) 0.75 ซม. x 1 ม. ร้อยละ 67.62 ใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ร้อยละ 56.84 รองลงมาใช้ปุ๋ยดอก/ปุ๋ยหมัก ร้อยละ 33.20 ใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์สูตร 15-15-15 กิโลกรัม (168.56_+200.71) ให้น้ำแปลงหม่อนโดยใช้น้ำฝน ร้อยละ 96.15 ตัดแต่งกิ่งหม่อนในรอบปีร้อยละ 87.34 โดยตัดแต่งกิ่งหม่อน 1 - 2 ครั้ง/ปี ร้อยละ 74.36 ทำการกำจัดวัชพืชในแปลงหม่อนร้อยละ 85.05 โดยใช้แรงงานคนร้อยละ 54.95 เมื่อใช้สารเคมีใช้กรัมม๊อกโซนในการกำจัดวัชพืชร้อยละ 86.11 แมลงศัตรูหม่อนพบ คือ เพลี้ยแป้งร้อยละ 19.70 รองลงมา คือ ด้วงเจาะลำต้น ร้อยละ 18.10 เพลี้ยไฟ ร้อยละ 17.50 วิธีการป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูหม่อนโดยไม่ใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัด ร้อยละ 82.78 และใช้วิธีการตัดทิ้งร้อยละ 19.70 รองลงมา คือ ด้วงเจาะลำต้น ร้อยละ 18.10 เพลี้ยไฟ ร้อยละ 17.50 วิธีการป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูหม่อนโดยไม่ใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัด ร้อยละ 82.78 และใช้วิธีการตัดทิ้งร้อยละ 46.59 รองลงมาใช้วิธี ธรรมชาติ ร้อยละ 22.73 เมื่อทำการป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูหม่อนโดยใช้สารเคมีนั้นใช้โฟลิดอน ร้อยละ 40.54 รองลงมาคือ ยาฆ่าปลวก ร้อยละ 10.81 โรคหม่อนที่พบ คือ โรคใบด่าง ร้อยละ 32.80 รองลงมาคือ รากเน่า ร้อยละ 25.00 วิธีการป้องกันและกำจัดโรคหม่อน คือ ไม่ใช่สารเคมีในการป้องกันกำจัดโรคหม่อน ร้อยละ 85.80 โดยใช้วิธีตัดทิ้ง ร้อยละ 44.51รองลงมาคือ วิธีธรรมชาติ ร้อยละ 24.73 วิธีการป้องกันและกำจัดโรคหม่อนโดยใช้สารเคมี คือ ใช้คลอรีนร้อยละ 15.63 ใช้โฟลิดอน ร้อยละ 15.63 การเก็บเกี่ยวหม่อนใช้การเก็บหมอนเป็นใบ ร้อยละ 77.10 ปัญหาและอุปสรรคในการปลูกหม่อน คือ ปัญหาเรื่องพันธุ์หม่อนไม่มีคุณภาพ ร้อยละ 6.32 ปลวกกินราก ร้อยละ 6.32 และน้ำไม่พอ ร้อยละ 6.32 พันธุ์ไม้ที่ใช้ คือ พันธุ์พื้นเมือง ร้อยละ 61.57 แหล่งที่มาของไข่ไหม คือ ฟักไข่ไหมเอง ร้อยละ 50.33 แหล่งที่ซื้อไข่ไหม คือ ซื้อไข่ไหมจากจุลไหมไทย ร้อยละ 27.45 รองลงมาคือ จิมไหมไทย ร้อยละ 13.73 และ จากกรมส่งเสริม ร้อยละ 11.76 จำนวนไข่ไหมเฉลี่ย 4.39 กล่อง (4.39 _+9.11) ราคาไข่ไหมเฉลี่ย 297.29 บาท/แผ่น/กล่อง (297.29 _+196.25) หน่วยงานของรัฐที่ให้การสนับสนุนไข่ไหมแก่ผู้ผลิตวัตถุดิบ คือ กรมประชาส่งเคราะห์สนับสนุน ร้อยละ 54.38 เรือนโรงเลี้ยงไหม อยู่ใต้ถุนบ้าน ร้อยละ 63.66 จำนวนรุ่นที่เลี้ยงไหม/ปี คือ ปีละมากกว่า 6 รุ่น/ปี ร้อยละ 36.50 ปริมาณการเลี้ยงไหมต่อรุ่น คือ เลี้ยงไหมมากกว่า 25 กระด้ง/รุ่น ร้อยละ 32.47 แหล่งที่มาของแรงงานเลี้ยงไหม คือ ใช้แรงงานในครอบรัวร้อยละ 99.51 เฉลี่ย 2.04 คน/ปี (2.04_+2.50) รูปแบบการเลี้ยงไหม คือ เลี้ยงไหมตั้งแต่วัยอ่อนถึงวัยแก่มากที่สุดร้อยละ 87.59 ผลผลิตไหมรังสดต่อรุ่น คือ มีผลผลิตน้อยกว่า 5 กิโลกรัม/รุ่น ร้อยละ 42.16 รองลงมาคือ มีผลผลิตมากกว่า 20 กิโลกรัม/รุ่น ร้อยละ 32.39 วิธีการเลี้ยงไหม คือ ใช้กระด้งร้อยละ 75.43 โรคไหมที่พบระหว่างเลี้ยงไหม คือ โรคตัวบวม ผนังลำตัวแตกง่าย ร้อยละ 37.75 รองลงมาคือ สำรอกน้ำย่อย ตายแล้วเน่าเละ ร้อยละ 24.86 การป้องกันและกำจัดโรคไหมใช้วิธีไม่ใช้สารเคมีในการป้องกันและกำจัดโรคไหม ร้อยละ 60.64 โดยใช้การเก็บทิ้งร้อยละ 52.38 รองลงมาคือ ใช้วิธีการปล่อยตามธรรมชาติ ร้อยละ 16.67 สารเคมีที่ใช้ในการป้องกันและกำจัดโรคไหม คือ ใช้ปูนขาวมากที่สุดร้อยละ 58.78 รองลงมาคือ เอฟโซน ร้อยละ 9.92 วิธีการใช้สารเคมีในการป้องกันและกำจัดโรคไหม คือ ใช้สารเคมีโรยบนตัวไหมเพียงวิธีเดียว แมลงศัตรูไหมที่พบ คือ มด ร้อยละ 24.07 รองลงมาคือ แมลงวันลาย ร้อยละ 23.56 และจิ้งจก ร้อยละ 21.11 วิธีการป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูไหม ใช้ผ้าคลุมร้อยละ 53.86 และใช้ตาข่าย/มุ่งลวด ร้อยละ 46.14 จ่อที่ใช้เลี้ยงไหมใช้จ่อกระด้ง ร้อยละ 43.86 รองลงมาคือ จ่อไม้ / ฟาง ร้อยละ 33.77 และ จ่อพลาสติก / ลวดตาข่าย ร้อยละ 11.84 การเก็บรักษารังไหมใช้วิธีการผึ่งแดด ร้อยละ 89.22 สาวไหมเอง ร้อยละ 76.73 และจะขายรังไหมไปเพียง ร้อยละ 23.27 ราคาของรังไหมที่ขายเฉลี่ย ราคา 128.29 บาท / กิโลกรัม (128.29_+124.32) เส้นไหมที่สาวได้เฉลี่ย 12.83 กิโลกรัม / ปี (12.83_+75.96) การสาวไหมแบบพื้นเมือง ร้อยละ 95.98 เส้นไหมที่สาวมาทอเอง ร้อยละ 62.32 ราคาของเส้นไหมที่ขายไปเฉลี่ย 950.69 บาท / กิโลกรัม (950.69_+987.85) แหล่งเงินทุนที่ใช้ปลูกหม่อน-เลี้ยงไหมใช้ทุนส่วนตัว ร้อยละ 94.22 แหล่งเงินกู้ที่ใช้ในการปลูกหม่อน - เลี้ยงไหม คือ กู้เงินจากนายทุนร้อยละ 42.86 จากธนาคาร ร้อยละ 28.57 และ จากญาติพี่น้อง ร้อยละ 28.57 จำนวนเงินและดอกเบี้ยที่กู้จากนายทุนเฉลี่ย 18,200.00 บาท (18,200.00_+22,946.89) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ 4.63 บาท (4.63_+7.84) จำนวนเงินและดอกเบี้ยที่กู้จากแหล่งอื่น ๆ (ญาติพี่น้อง) ที่ใช้ปลูกหม่อน-เลี้ยงไหมเฉลี่ย 21,444.44 บาท (21,444.44_+20,616.20) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ 7.25 บาท (7.25_+3.50) ความต้องการในการได้รับการสนับสนุนเรื่องการปลูกหม่อน-เลี้ยงไหม คือ ต้องการฝึกอบรมเป็นอับดับที่ 1 เงินทุนเป็นอันดับที่ 2 วัสดุอุหกรณ์เป็นอันดับที่ 3 ความต้องการในการฝึกอบรม คือ ต้องการฝึกอบรมเรื่องการเลี้ยงไหมเป็นอันดับที่ 1 การปลูกหม่อนเป็นอันดับที่ 2 การออกแบบผ้าเป็นอันที่ 3 ปัญหาและอุปสรรคในการปลูกหม่อน-เลี้ยงไหม คือ เรื่องโรคของไหมมากที่สุดร้อยละ 21.30 รองลงมาค คือ แมลงศัตรูหม่อน ร้อยละ 13.28 โรคหม่อน ร้อยละ 11.78 1.3 ฝ้ายและพืชเส้นใยอื่น ๆ พืชที่ผู้ผลิตวัตถุดิยใช้ในการผลิตฝ้ายและเส้นใยอื่น ๆ คือ ฝ้าย ร้อยละ 93.59 รองลงมา คือ กัญชง ร้อยละ 5.13 แหล่งที่ของเส้นใยฝ้ายและเส้นใยอื่น ๆ คือ ผลิตเส้นใยเอง ร้อยละ 52.48 ซื้อมาร้อยละ 47.52 แหล่งซื้อเส้นใยฝ้าย และเส้นใยอื่น ๆ คือ ซื้อเส้นใยจากรถเร่ขาย ร้อยละ 34.88 รองลงมา คือ ซื้อจากตลาด ร้อยละ 25.58 และ ซื้อจากร้านค้า ร้อยละ 23.26 ราคาเส้นใยฝ้ายและเส้นใยอื่น ๆ เฉลี่ย 284.33 บาท / กิโลกรัม (284_+448.56) 1.4 ข้อเสนอแนะและความคิดเห็นผ้าไทยในชนบทของผู้ผลิตวัตถุดิบ ผู้ผลิตวัตถุดิบ อยากให้รัฐบาลส่งเสริมและช่วยเหลือ ร้อยละ 17.00 รองลงมา คือ ควรสนับสนุนเรื่องเงินทุน ร้อยละ 16.50 และควรจัดฝึกอบรม ร้อยล 9.00 2. กลุมช่างทำผลิตภัณฑ์ 2.1 ข้อมูลทั่วไป จากการสอบถามช่างทำผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 176 ราย พบว่าเป็นช่างทำผลิตภัณฑ์จากภาคเหนือ จำนวน 105 ราย คิดเป็น ร้อยละ 59.66 อายุมากกว่า 40 ปี ร้อยละ 37.14 แต่งงานแล้ว ร้อยละ 85.38 มีบุตรเฉลี่ย 2.06 คน (2.06_+1.20) จบการศึกษาระดับประถมศึกษา ร้อยละ 61.18 อาชีพหลักทำนา ร้อยละ 31.03 อาชีพรอง คือ เย็บผ้า ร้อยละ 50.43 รายได้จากการทำผลิตภัณฑ์ผ้าต่อเดือน คือ มีรายได้น้อยกว่า 5,000 บาท/เดือน ร้อยละ 66.07 2.2 ด้านผลิตภัณฑ์ สถานภาพกลุ่มของช่างทำผลิตภัณฑ์เป็นสมาชิกกลุ่มแม่บ้าน ร้อยละ 55.06 รูปแบบของผลิตภัณฑ์ คือ ผลิตเป็นเสื้อผ้า ร้อยละ 30.00 รองลงมา คือ ของที่ระลึก ร้อยละ 21.56 และ ประกอบการแต่งกาย ร้อยละ 20.31 การจัดจำหน่ายโดยมีผู้มารับซื้อ ร้อยละ 45.91 สถานที่วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ คือ วางจำหน่ายเอง ร้อยละ 36.60 รองลงมา คือ จำหน่ายโดยผ่านกลุ่มแม่บ้าน ร้อยละ 27.32 การทำผลิตภัณฑ์จากผ้า คือ ผลิตในกลุ่มแม่บ้าน ร้อยละ 34.14 รองลงมา คือ ผลิตตามใบสั่ง ร้อยละ 23.29 และ ผลิตเองในครอบครัว ร้อยละ 22.89 ราคาผลิตภัณฑ์ที่ช่ายทำผลิตภัณฑ์ผลิต ช่างทำผลิตภัณฑ์ได้ให้ราคาผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 97 ชนิด โดยเอี๊ยมมีราคาเฉลี่ยต่ำสุด 4.00 บาท และ ผ้าหลายลายมีราคาเฉลี่ย สูงสุด คือ 32,500 บาท แรงงานของช่างทำผลิตภัณฑ์ คือ ทำเอง ร้อยละ 60.38 ต้องการอบรมการสร้างแบบงานผลิตภัณฑ์เป็นอันดับที่ 1 การประกอบและเย็บงานผลิตภัณฑ์เป็นอับที่ 2 การตกแต่งลวดลายผ้าเป็นอันดับที่ 3 ช่างทำผลิตภัณฑ์เคยเข้ารับการอบรมเรื่องการตัดเย็บ ร้อยละ 32.28 หน่วยงานที่ให้การสนับสนุน คือ กรมประชาสงเคราะห์ ร้อยละ 12.63 ปัญหา และอุปสรรค ในการทำผลิตภัณฑ์ผ้า คือ เรื่องการตลาดและจัดจำหน่ายมากที่สุด ร้อยละ 39.01 รองลงมา คือ ปัญหาด้านการส่งเสริมการขาย ร้อยละ 25.11 และปัญหาผลิตไม่ทัน ร้อยละ 24.66 2.3 ข้อเสนอแนะของช่างทำผลิตภัณฑ์ คือ ให้มีตลาดมารองรับ ร้อยละ 18.85 รองลงมา คือ อยากได้รับการฝึกอบรม ร้อยละ 9.84 และ อยากให้มีเงินทุนหมุนเวียน ร้อยละ 6.56 2.4 ช่างทำผลิตภัณฑ์ต้องการอบรมการทำนาฬิกา และที่ใส่รูป เท่ากัน คือ ร้อยละ 13.41 รองลงมา การทำบุหงา ร้อยละ 10.14 และการทำกระจกแบบที่ 2 ร้อยละ 9.06 3. กลุ่มผู้ทอผ้า 3.1 ข้อมูลทั่วไป ผลจากการศึกษาผู้ทอผ้าจำนวน 920 ราย พบว่าเป็นผู้ทอผ้าที่อยู่ในภาคใต้ ร้อยละ 35.98 เป็นเพศหญิง ร้อยละ 98.37 มีอายุระหว่าง 41 - 60 ปี ร้อยละ 47.07 แต่งงานแล้ว ร้อยละ 88.26 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 92.13 จบการศึกษาระดับประถม ร้อยละ 83.00 ตำแหน่งหน้าที่ในชุมชนของผู้ทอผ้า คือ เป็นสมาชิกกลุ่มแม่บ้าน ร้อยละ 92.52 มีบุตรเฉลี่ย 2.96 คน (2.96_+1.61) อาชีพหลัก คือ ทำเกษตรกรรม ร้อยละ 61.23 รายได้จากอาชีพน้อยกว่า 50,000 บาท/ปี ร้อยละ 44.86 อาชีพรอง คือ ทอผ้า ร้อยละ 68.60 รายได้จากอาชีพรอง คือ น้อยกว่า 50,000 บาท/ปี ร้อยละ 66.71 3.2 การฟอกย้อม วัตถุดิบที่ผู้ทอผ้าใช้ คือ ไหม ร้อยละ 54.32 วิธีการลอกกาวไหมโดยการต้มน้ำโดยใส่สบู่และใส่ด่าง ร้อยละ 61.28 อุปกรณ์ที่ใช้ในการลอกกาวไหม คือ กะละมัง ร้อยละ 63.97 ใช้ฟืน และ ถ่าน เป็นแหล่งพลังงานในการลอกกาวไหม ร้อยละ 96.68 ใช้เวลาในการลอกกาวไหม 30 นาที ร้อยละ 64.73 ผู้ทอผ้าทำการฟอกขาวไหม ร้อยละ 78.41 ใช้ด่างทับทิมในการฟอกขาวไหม ร้อยละ 52.84 ใช้กะละมังเป็นอุปกรณ์ในการฟอกขาวไหม ร้อยละ 61.89 ใช้ระยะเวลาในการฟอกขาวไหม 30 นาที ร้อยละ 70.46 ผู้ทอผ้าทำการย้อมไหม ร้อยละ 90.79 ใช้สีสังเคราะห์ในการย้อมไหม ร้อยละ 89.70 สีจากธรรมชาติที่ใช้ในการย้อมไหม คือ ใช้สีแดง ร้อยละ 47.92 สีสังเคราะห์ที่ใช้ในการย้อมไหมใช้ตราสิงห์โต ร้อยละ 34.69 สารเคมีที่ใช้ในการย้อมไหม คือ ใช้สีย้อม ร้อยละ 29.13 รองลงมา คือ สีสังเคราะห์ ร้อยละ 12.60 ตราเครื่องบิน ร้อยละ 11.81 ใช้กะละมังเป็นอุปกรณ์ในการย้อมไหม ร้อยละ 50.91 ใช้ระยะเวลาในการย้อมไหม 30 นาที ร้อยละ 49.83 ผู้ทอผ้าไม่ทำการป้องกันสีตกหลังการย้อมไหม ร้อยละ 63.97 สารเคมีที่ใช้ป้องกันสีตกหลังการย้อมไหม คือ น้ำส้มสายชู ร้อยละ 23.81 ใช้กะละมังในการป้องกันสีตกหลังการย้อมไหม ร้อยละ 50.00 ใช้ระยะเวลาน้อยกว่า 30 นาที ในการป้องกันสีตกหลังการย้อมไหม ร้อยละ 49.21 ผู้ทอผ้าไม่ทำความสะอาดเส้นด้ายจากฝ้าย ร้อยละ 53.14 ทำความสะอาดเส้นด้ายโดยการแปรงเส้นด้านร้อยละ 17.78 รองลงมา คือ ใช้แปรงขนหมู ร้อยละ 13.33 ใช้สบู่เป็นสารเคมีที่ใช้ในการทำความสะอาดเส้นด้าน ร้อยละ 48.15 ใช้กะละมังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ทำความสะอาดเส้นด้าน ร้อยละ 83.96 ใช้ฟืน และถ่านเป็นแหล่งพลังงานที่ใช้ในการทำความสะอาดเส้นด้าน ร้อยละ 92.71 ระยะเวลาในการทำความสะอาดเส้นด้าน คือ 30 นาที ในการทำความสะอาดเส้นด้าย ร้อยละ 49.47 ผู้ทอผ้าไม่ทำการฟอกขาวเส้นด้าน ร้อยละ 74.45 สารเคมีที่ใช้ในการฟอกขาวเส้นด้าย คือ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ร้อยละ 35.00 ใช้กะละมังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการฟอกขาวเส้นด้าย ร้อยละ 87.18 ใช้ฟืนและถ่านเป็นแหล่งพลังงานที่ใช้ในการฟอกขาวเส้นด้าย ร้อยละ 90.48 ผู้ทอผ้าใช้เวลา 1 ชั่วโมงในการฟอกขาวเส้นด้าย ร้อยละ 47.50 ผู้ทอผ้าไม่ทำการชุบมันเส้นด้าย ร้อยละ 75.83 สารเคมีที่ใช้ในการชุบมันเส้นด้าย คือ ใช้โซดาแต่เพียงอย่างเดียว ใช้กะละมังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการชุบมันเส้นด้ายร้อยละ 88.57 ใช้เวลา 30 นามีในการชุบมันเส้นด้าย ร้อยละ 64.52 ผู้ทำทำการย้อมเส้นด้าย ร้อยละ 61.27 สีที่ใช้ทำการย้อมเส้นด้ายใช้สีจากธรรมชาติ ร้อยละ 63.27 โดยใช้ดำเงาะเป็นสีแดงประดู่เป็นสีส้ม เปลือกมะม่วงเป็นสีเขียว นมวัวเป็นสีเขียวตุ่น เปลือกขนุนเป็นสีเหลือง รากขมิ้นเป็นสีเหลือง มะเกลือเป็นสีดำ เท่ากัน ร้อยละ 6.90 สีสังเคราะห์ที่ใช้ในการย้อมเส้นด้าย คือ สีตราระฆังและสีตราสิงห์โต เท่ากัน ร้อยละ 25.00 ผู้ทอผ้าใช้สีสังเคราะห์เป็นสารเคมีที่ใช้ในการย้อมเส้นด้าย ร้อยละ 36.84 ใช้กะละมังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการย้อมเส้นด้าน ร้อยละ 53.49 ผู้ทอผ้าใช้ระยะเวลา 30 นาที ในการย้อมเส้นด้าน ร้อยละ 44.07 ผู้ทำผ้าไม่ทำการป้องกันสีตกหลังการย้อมเส้นด้าย ร้อยละ 77.21 ใช้สารส้มเป็นสารเคมีที่ใช้ป้องกันสีตกหลังการย้อมเส้นด้าย ร้อย 88.89 ใช้กะละมังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการป้องกันสีตกหลังการย้อมเส้นด้าย ร้อยละ 57.14 ใช้เวลา 30 นาที ในการป้องกันสีตกหลังการย้อมเส้นด้าย ร้อยละ 77.78 ผู้ทอผ้าใช้ใยสังเคราะห์ เป็นเส้นใยอื่น ๆ ร้อยละ 52.94 ผู้ทอผ้าไม่ทำ ปฏิบัติการก่อนเตรียมการย้อมเส้นใยอื่น ๆ ร้อยละ 88.17 ใช้สารส้มเป็นสารเคมีที่ใช้ปฏิบัติก่อน เตรียมการย้อมเส้นใยอื่น ๆ ร้อยละ66.67 ใช้กะละมังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ปฏิบัติก่อนเตรียมการย้อมเส้นใยอื่น ๆ ร้อยละ 57.14 ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ในการปฏิบัติก่อนเตรียมกาย้อมเส้นใยอื่น ๆ ร้อยละ 42.86 ผู้ทอผ้าไม่ทำปฏิบัติการย้อมเส้นใยอื่น ๆ ร้อยละ 82.52 สีที่ใช้ทำการย้อมเส้นใยอื่น ๆ ใช้สีจากธรรมชาติ ร้อยละ 82.35 โดยใช้สีดำเงาะเป็นสีแดง มะม่วงเป็นสีเขียว ต้นแขและเปลือกพิมานเป็นสีเหลือง เปลือกมะพร้าวเป็นสีชมพู มะเกลือเป็นสีดำ เท่ากัน ร้อยละ 16.67 เช่นเดียวกับ สีสังเคราะห์ที่ใช้ในการย้อมเส้นใยอื่น ๆ คือ สีตราสิงห์โต ร้อยละ 66.67 สารเคมีที่ใช้ในการย้อมเส้นใยอื่น ๆ คือ โซดาไฟร้อยละ 50.00 ใช้กะละมังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ทำการย้อมเส้นใยอื่น ๆ คือ ตราสิงห์โต เกลือ และ น้ำยากันสีตก เท่ากัน ร้อยละ 33.33 ใช้กะละมังเป็นอุปกรณ์แต่เพียงอย่างเดียว ใช้เวลา น้อยกว่า 30 นาที เวลา 30 นาที เวลา 1 ชั่วโมง และเวลา 2 ชั่วโมง เท่ากันร้อยละ 25.00 33. การทอผ้า อุปกรณ์การกรอด้ายจากไจใส่อักใช้เครื่องกรอแบบมือหมุนชนิดอักเดี่ยว ร้อยละ 82.39 อุปกรณ์การกรอด้ายพุ่งใช้เครื่องกรอแบบมือหมุน ร้อยละ 94.38 อุปกรณ์กรอด้ายยืนใช้เครื่องกรอแบบมือหมุน ร้อยละ 91.88 ผู้ทอผ้าใช้วิธีการสืบด้ายแบบดั้งเดิม ร้อยละ 93.09 ใช้กี่ไม้ ร้อยละ 97.38 การสาวด้ายยืนใช้วิธี สาวด้ายยืนเอง ร้อยละ 88.53 ผู้ทอผ้ากรอด้ายพุ่งเอง ร้อยละ 94.65 ใช้เวลาในการกรอใจใส่อักเฉลี่ย 5.19 ไจ/คน/ชั่วโมง (5.19_+6.49) ใช้เวลาในการกรอหลอดด้ายพุ่งเฉลี่ย 35.15 หลอด/คน/ชั่วโมง (35.15_+36.56) ใช้เวลาในการกรอหลอดด้ายยืนเฉลี่ย 15.26 หลอด/คน/ชั่วโมง (15.26_+25.97) ใช้เวลาในการสืบด้ายเฉลี่ย 11.50 ชั่วโมง/ม้วน (11.50_+23.48) ใช้เวลาในการทอผ้าเฉลี่ย 1.76 หลา/ชั่วโมง (1.76_+2.13) ชนิดของผ้าที่ทอ คือ ผ้าฝ้าย ร้อยละ 37.48 รองลงมา คือ ผ้าไหม ร้อยละ 28.40 ผ้ายกดอก ร้อยละ 9.08 ความกว้างของหน้าผ้าที่ทอเฉลี่ย 37.65 นิ้ว (37.65_+12.03) จำนวนเส้นยืนของผ้าที่ทอเฉลี่ย 1,359.11 (1,359.11_+823.15) ผู้ทอผ้าทอผ้าเองในครอบครัว ร้อยละ 93.41 จำนวนกี่ของผู้ทอผ้าแบบทำเองในครอบครัวเฉลี่ย 441.16 ตัว (441.16_+251.09) ทอผ้าแบบทำเองในครอบครัวเฉลี่ย 1.99 คน (1.99_+5.50) จำนวนกี่ของผู้ทอผ้าแบบจ้างแรงงานบางส่วนเฉลี่ย 6.19 ตัว (6.19_+10.98) จำนวนคนที่ใช้ในการทอผ้าแบบจ้างแรงงานบางส่วนเฉลี่ย 7.96 คน (7.96_+8.67) ลายผ้าที่ทดจำแนกตามที่เรียกตามท้องถิ่นของผู้ทอผ้า คือ ลายลูกแก้ว ร้อยละ 12.70 รองลงมา คือ ทอลายดอกพิกุล และดอกแก้ว เท่ากัน ร้อยละ 11.12 ลายผ้าที่ทอจำแนกตามที่เรียกตามท้องถิ่นลายอื่น ๆ ของผู้ทอผ้า คือ ทอลายน้ำไหล ร้อยละ 11.21 รองลงมา คือ ทอลาย มัดหมี่ ร้อยละ 9.56 ทอลายหางกระรอก ร้อยละ 8.82 ลายผ้าจำแนกตามเทคนิคการทดลายผ้าที่ทออยู่ คือ ลายพื้น 2 ตะกรอ ร้อยละ 36.81 รองลงมา คือ ลายมันหมี่ ร้อยละ 21.06 ลายยกดอกร้อยละ 16.93 ลายผ้าที่ทอชำนาญเป็นพิเศษของผู้ทอผ้า คือ ชำนาญทุกลาย ร้อยละ 16.73 รองลงมา คือ ทอลายลูกแก้ว ร้อยละ 15.99 ลายดอก ร้อยละ 9.29 ความคิด หรือ แบบอย่างของลวดลายที่ใช้ในการทอจากบรรพบุรุษ ร้อยละ 40.54 ประเภทของผลิตภัณฑ์ของผู้ทอผ้า คือ ทอผ้าผืนเป็นหลา ร้อยละ 48.00 ผลิตตามคำสั่งลูกค้า ร้อยละ 33.79 ผู้ทอผ้าไม่เคยเข้ารับการฝึกอบรมวิชาชีพเกี่ยวกับสิ่งทอ ร้อยละ 55.09 หน่วยงานที่เคยเข้ารับการฝึกอบรม คือ ศูนย์ศิลปาชีพ ร้อยละ 18.05 รองลงมา คือ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และกลุ่มทอผ้า เท่ากัน ร้อยละ 15.88 ผู้ทอผ้าเคยอบรมเรื่องการทอผ้า ร้อยละ 75.87 ผู้ทอผ้าเคยได้รับการฝึกอบรมจาก ศูนย์ฝึกอบรมทอผ้า ร้อยละ 26.79 รองลงมา คือหมู่บ้าน ร้อยละ 24.40 ตำหนักทักษิณ ร้อยละ 11.06 ผู้ทอผ้าเคยได้รับการฝึกอบรมใน พ.ศ. 2442 ร้อยละ 23.28 รองลงมา คือ พ.ศ. 2543 ร้อยละ 19.47 พ.ศ. 2540 ร้อยละ 7.25 ระยะเวลาที่เคยเข้ารับการฝึกอบรมเฉลี่ย 23.37 วัน (23.37_+31.18) ผู้ทอผ้าต้องการอบรมด้านการออกแบบลายผ้า ร้อยละ 28.30 รองลงมา คือ การทอผ้า ร้อยละ 15.09 การผลิตผลิตภัณฑ์หัตถกรรมจากผ้า ร้อยละ 14.45 3.4 ครูภูมิปัญญาไทย ผู้ทอผ้าสามารถ่ายทอดความรู้ให้ผู้อื่นในเรื่อง การทอ ร้อยละ 57.26 รองลงมา คือ การฟอกย้อม ร้อยละ 22.64 การออกแบบลวดลาย ร้อยละ 20.10 สามารถสอนการทอผ้าฝ้าย ร้อยละ 49.77 แหล่งที่มาของความรู้ในการทอผ้าจากบรรพบุรุษ ร้อยละ 51.59 ผู้ทอผ้าได้รับการอบรมจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร้อยละ 52.38 ใช้ระยะเวลาในการฝึกอบรม สัมมนา เฉลี่ย 39.26 วัน (39.26_+41.50) ได้รับความรู้ในการฟอกย้อมจากบรรพบุรุษ ร้อยละ 55.72 ได้รับการอบรมจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร้อยละ 70.00 ระยะเวลาที่เคยอบรม/สัมมนาเรื่องการฟอกย้อมเฉลี่ย 21.57 วัน (21.57_+23.64) แหล่งที่มาของความรู้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์จากบรรพบุรุษ ร้อยละ 55.91 เคยได้รับการอบรมจากศูนย์ศิลปาชีพ ร้อยละ 33.33 เคยใช้เวลาในการอบรม/สัมมนา เรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์เฉลี่ย 13.75 วัน (13.75_+21.08) ไม่เคยมีการพัฒนา/สร้างสรรค์ผลงานเพิ่มเติม ร้อยละ 68.31 ผู้ทอผ้าเคยพัฒนา/สร้างสรรค์ในเรื่องการออกแบบลาย ร้อยละ 70.27 เคยถ่ายทอดความรู้เรื่องการทอ ร้อยละ 70.02 ใช้เวลาในการถ่ายทอดความรู้เรื่องการทอเฉลี่ย 412.26 วัน (412.26_+1,239.05) หรือ 1 ปี 1 เดือน 18 วัน เคยถ่ายทอดความรู้เรื่องการทอให้กับคนเฉลี่ย 37.60 คน (37.60_+142.28) ผู้ทอผ้าไม่เคยมีการถ่ายทอดความรู้เรื่องการฟอกย้อม ร้อยละ 59.36 เวลาที่เคยถ่ายทอดความรู้เรื่องการฟอกย้อมเฉลี่ย 425.07 วัน (425.07_+1,359.69) หรือ 1 ปี 2 เดือน 1 วัน จำนวนคนที่เคยถ่ายทอดความรู้เรื่องการฟอกย้อมให้เฉลี่ย 38.96 คน (38.96_+146.21) ผู้ทอผ้าไม่เคยมีการถ่ายทอดความรู้เรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ ร้อยละ 75.72 เวลาที่เคยถ่ายทอดความรู้เรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์เฉลี่ย 1,015.50 วัน (1,015.51_+1,299.87) หรือ 2 ปี 9 เดือน 16 วัน จำนวนคนที่เคยถ่ายทอดความรู้เรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เฉลี่ย 24.56 คน (24.56_+56.50) ผู้ทอผ้าไม่มีปัญหาและอุปสรรคในการถ่ายทอดความรู้ ร้อยละ 71.51 4. กลุ่มผู้บริโภค 4.1 ข้อมูลทั่วไป ผลจากการศึกษาผู้บริโภคจำนวน 828 ราย พบว่าเป็นผู้บริโภคที่อยู่ในภาคใต้มากที่สุด ร้อยละ 44.81 รองลงมาคือภาคเหนือ ร้อยละ 33.57 และภาคตะวันออกเฉียงเหนือน้อยที่สุด คือร้อยละ 21.62 ผู้บริโภคเป็นเพศหญิง ร้อยละ 81.04 มีอายุเฉลี่ย 38.76 แต่งงานแล้ว ร้อยละ 67.60 มีอาชีพรับราชการ ร้อยละ 55.06 มีรายได้ต่อเดือนมากกว่า 15,000 บาท ร้อยละ 24.15 จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ร้อยละ 53.45 สินค้าใยธรรมชาติที่เคยใช้ คือ ผ้าฝ้ายร้อยละ 42.18 ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ คือ เสื้อผ้าสำเร็จรูป ร้อยละ 33.86 รองลงมา คือ ผืนผ้า ร้อยละ 24.29 เครื่องประกอบการแต่งกาย ร้อยละ 13.93 ผู้บริโภคซื้อผลิตภัณฑ์จากร้านค้า ร้อยละ 32.83 4.2 จุดเด่นและจุดด้อยของผ้าไทยและผลิตภัณฑ์จากผ้าไทย ผ้าไหม จากการ สอบถามผู้บริโภคมีความคิดเห็นว่า ผ้าไหมมีจุดเด่น 4 ประการ คือ สี ลวดลาย ประโยชน์ และความสวยงาม มีจุดด้วย 4 ประการ คือ การตกสี การหด การดูแลรักษา และราคา สำหรับผ้าฝ้าย จากการสอบถามผู้บริโภคมีความคิดเห็นว่า ผ้าฝ้ายมีจุดเด่น 6 ประการ คือ สี ลวดลาย การดูแลรักษา ประโยชน์ ราคา และความสวยงาม มีจุดด้อย 2 ประการ คือ การตกสี และการหด สำหรับผ้าใยกัญชง จากการสอบถามผู้บริโภคมีความคิดเห็นว่า ผ้าใยกัญชงมีจุดเด่น 5 ประการ คือ สี ลวดลาย ประโยชน์ ราคา และความสวยงาม มีจุดด้อย 3 ประการ คือ การตกสี การหดและการดูแลรักษา สำหรับผ้าอื่น ๆ จากการสอบถามผู้บริโภคมีความคิดเห็นว่า ผ้าอื่น ๆ มีจุดเด่น 8 ประการ คือ สี การตกสี การหด ลวดลาย การดูแลรักษา ประโยชน์ ราคา และความสวยงาม และไม่มีจุดด้อย สำหรับเสื้อผ้าสำเร็จรูป จากการสอบถามผู้บริโภคมีความคิดเห็นว่า เสื้อผ้าสำเร็จรูป มีจุดเด่น 6 ประการ คือ สี ลวดลาย การดูแลรักษา ประโยชน์ ราคา และความสวยงาม มีจุดด้อย 2 ประการ คือ การตกสี และการหด สำหรับเครื่องประกอบการแต่งกาย จากการสอบถามผู้บริโภคมีความคิดเห็นว่า เครื่องประกอบการแต่งกาย มีจุดเด่น 6 ประการ คือ สี ลวดลาย การดูแลรักษา ประโยชน์ ราคา และความสวยงาม มีจุดด้อย 2 ประการ คือ การตกสี และการหด ของขวัญ - ของที่ระลึก จากการสอบถามผู้บริโภคมีความคิดเห็นว่า ของขวัฯ - ของที่ระลึก มีจุดเด่น ประการ คือ สี ลวดลาย การดูแลรักษา ประโยชน์ ราคา และ ความสวยงาม มีจุดด้อย 2 ประการ คือ การตกสี และการหด สำหรับเครื่องใช้และตกแต่งบ้าน จากการสอบถามผู้บริโภคมีความคิดเห็นว่า เครื่องใช้และตกแต่งบ้าน มีจุดเด่น 6 ประการ คือ สี ลวดลาย การดูแลรักษา ประโยชน์ ราคา และความสวยงาม มีจุดด้อย 2 ประการ คือ การตกสี และการหด สำหรับเครื่องใช้สำนักงาน จากการสบอถามผู้บริโภคมีความคิดเห็นว่า เครื่องใช้สำนักงาน มีจุดเด่น 6 ประการ คือ สี ลวดลาย การดูแลรักษา ประโยชน์ ราคา และความสวยงาม มีจุดด้อย 2 ประการ คือ การตกสี และการหด 4.3 คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผ้าไทย และผลิตภัณฑ์จากผ้าไทย ผู้บริโภคต้องการสีย้อมผ้าฝ้ายจากธรรมชาติ ร้อยละ 74.84 ลักษณะเนื้อผ้าฝ้าย คือ เนื้อปานกลาง ร้อยละ 80.03 ผู้บริโภคต้องการสีย้อมผ้าไหมจากธรรมชาติ ร้อยละ 71.89 ลักษณะเนื้อผ้าไหม คือเนื้อปานกลางร้อยละ 77.65 ผู้บริโภคต้องการผ้าฝ้ายพื้น ร้อยละ 28.49 ผ้าไหมมัดหมี่ ร้อยละ 31.15 ผ้าใยกัญชงบาติก ร้อยละ 30.51 ลวดลายผ้าพิมพ์ลายที่ต้องการมากที่สุด คือลดลายประยุกต์ ร้อยละ 41.45 เครื่องประกอบการแต่งกายที่เคยใช้ คือ ผ้าพันคอ ร้อยละ 30.81 รองลงมา คือ กระเป๋าสตรี ร้อยละ 20.21 และหมวก ร้อยละ 16.76 เครื่องใช้สำนักงานที่เคยใช้ คือ กล่องใส่กระดาษโน๊ต ร้อยละ 28.16 รองลงมา คือ กล่องใส่เครื่องเขียน ร้อยละ 27.50 และ ปกแฟ้มงาน ร้อยละ 20.26 เครื่องใช้และตกแต่งบ้านที่เคยใช้ คือ ปลอกหมอนอิง ร้อยละ 32.42 รองลงมา คือ ผ้าปูโต๊ะ ร้อยละ 24.47 และ กล่องใส่กระดาษทิชชู ร้อยละ 18.72 ของขวัญ - ของที่ระลึกที่เคยใช้ คือ กรอบรูป ร้อยละ 25.80 รองลงมา คือ ภาพแขวนผนัง ร้อยละ 24.76 และ ถุงผ้า ร้อยละ 23.35 ผู้บริโภคต้องการผลิตภัณฑ์สีธรรมชาติ ร้อยละ 31.40 รองลงมา คือ สีปานกลาง ร้อยละ 29.28 สีเข้า ร้อยละ 21.46 4.4 ข้อเสนอแนะของผู้บริโภค คือ เรื่อง ราคา การตกสี และแบบผลิตภัณฑ์
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เอกสารแนบ: http://dcms.thailis.or.th/dcms/dccheck.php?Int_code=49&RecId=97&obj_id=118
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
คำสำคัญ: วิจัย
คำสำคัญ (EN): GN 432
เจ้าของลิขสิทธิ์: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
รายละเอียด: การวิจัยเรื่องนี้ สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาอาชีพการทอผ้าหัตถกรรมให้มีระบบการผลิตด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับภูมิปัญญท้องถิ่น และตอบสอนงความต้องการของตลาดทั้งในประเทสและต่างประเทศ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 ผู้ผลิตวัตถุดิบ กลุ่มที่ 2 ช่างทำผลิตภัณฑ์ กลุ่มที่ 3 ผู้ทอผ้า และกลุ่มที่ 4 ผู้บริโภค ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ 1. กลุ่มผู้ผลิตวัตถุดิบ 1.1 ข้อมูลทั่วไป ผลจากการศึกษาผู้ผลิตวัตถุดิบจำนวน 418 ราย พบว่าเป็นผู้ที่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 66.75 เพศหญิงร้อยละ 85.27 อายุระหว่าง 41 - 60 ปี ร้อยละ 54.11 แต่งงานแล้วร้อยละ 96.86 นับถือศาสนาพุทธร้อยละ 95.59 จบการศึกษาระดับประถมศึกษาร้อยละ 92.71 ไม่มีตำแหน่งหน้าที่ในชุมชนร้อยละ 68.56 จำนวนบุตรในครัวเรือนเฉลี่ย 3.75 คน (3.75_+2.07) อาชีพหลัก คือ เกษตรกรรม ร้อยละ 78.01 รายได้จากอาชีพหลักน้อยกว่า 15,000 บาท/ปี ร้อยละ 35.82 อาชีพรอง คือ อาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ร้อยละ 60.78 รายได้ จากอาชีพรองน้อยกว่า 15,000 บาท/ปี ร้อยละ 67.66 ใช้วัตถุดิบจากหม่อน - ไหมในการผลิต ถึงร้อยละ 97.06 1.2 การปลูกหม่อน - เลี้ยงไหม พันธุ์หม่อนที่ปลูกใช้พันธุ์พื้นเมืองร้อยละ 48.20 พื้นที่ปลูกหม่อนเฉลี่ย 2.14 ไร่ (2.14_+5.27)มีที่ดินเป็นของตนเองร้อยละ 95.10 ใช้แรงงานคนในการเตรียมพื้นที่ปลูกร้อยละ 59.34 ใช้แรงงานในครอบครัวร้อยละ 92.76 จำนวนแรงงานในครอบครัวที่ใช้ในการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเฉลี่ย 2.00 คน (2.00_+1.26) ค่าจ้างแรงงานที่ใช้ในการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเฉลี่ย 104 บาท/คน/วัน ระยะปลูกหม่อน (ระหว่างต้น x ระหว่างแถว) 0.75 ซม. x 1 ม. ร้อยละ 67.62 ใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ร้อยละ 56.84 รองลงมาใช้ปุ๋ยดอก/ปุ๋ยหมัก ร้อยละ 33.20 ใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์สูตร 15-15-15 กิโลกรัม (168.56_+200.71) ให้น้ำแปลงหม่อนโดยใช้น้ำฝน ร้อยละ 96.15 ตัดแต่งกิ่งหม่อนในรอบปีร้อยละ 87.34 โดยตัดแต่งกิ่งหม่อน 1 - 2 ครั้ง/ปี ร้อยละ 74.36 ทำการกำจัดวัชพืชในแปลงหม่อนร้อยละ 85.05 โดยใช้แรงงานคนร้อยละ 54.95 เมื่อใช้สารเคมีใช้กรัมม๊อกโซนในการกำจัดวัชพืชร้อยละ 86.11 แมลงศัตรูหม่อนพบ คือ เพลี้ยแป้งร้อยละ 19.70 รองลงมา คือ ด้วงเจาะลำต้น ร้อยละ 18.10 เพลี้ยไฟ ร้อยละ 17.50 วิธีการป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูหม่อนโดยไม่ใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัด ร้อยละ 82.78 และใช้วิธีการตัดทิ้งร้อยละ 19.70 รองลงมา คือ ด้วงเจาะลำต้น ร้อยละ 18.10 เพลี้ยไฟ ร้อยละ 17.50 วิธีการป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูหม่อนโดยไม่ใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัด ร้อยละ 82.78 และใช้วิธีการตัดทิ้งร้อยละ 46.59 รองลงมาใช้วิธี ธรรมชาติ ร้อยละ 22.73 เมื่อทำการป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูหม่อนโดยใช้สารเคมีนั้นใช้โฟลิดอน ร้อยละ 40.54 รองลงมาคือ ยาฆ่าปลวก ร้อยละ 10.81 โรคหม่อนที่พบ คือ โรคใบด่าง ร้อยละ 32.80 รองลงมาคือ รากเน่า ร้อยละ 25.00 วิธีการป้องกันและกำจัดโรคหม่อน คือ ไม่ใช่สารเคมีในการป้องกันกำจัดโรคหม่อน ร้อยละ 85.80 โดยใช้วิธีตัดทิ้ง ร้อยละ 44.51รองลงมาคือ วิธีธรรมชาติ ร้อยละ 24.73 วิธีการป้องกันและกำจัดโรคหม่อนโดยใช้สารเคมี คือ ใช้คลอรีนร้อยละ 15.63 ใช้โฟลิดอน ร้อยละ 15.63 การเก็บเกี่ยวหม่อนใช้การเก็บหมอนเป็นใบ ร้อยละ 77.10 ปัญหาและอุปสรรคในการปลูกหม่อน คือ ปัญหาเรื่องพันธุ์หม่อนไม่มีคุณภาพ ร้อยละ 6.32 ปลวกกินราก ร้อยละ 6.32 และน้ำไม่พอ ร้อยละ 6.32 พันธุ์ไม้ที่ใช้ คือ พันธุ์พื้นเมือง ร้อยละ 61.57 แหล่งที่มาของไข่ไหม คือ ฟักไข่ไหมเอง ร้อยละ 50.33 แหล่งที่ซื้อไข่ไหม คือ ซื้อไข่ไหมจากจุลไหมไทย ร้อยละ 27.45 รองลงมาคือ จิมไหมไทย ร้อยละ 13.73 และ จากกรมส่งเสริม ร้อยละ 11.76 จำนวนไข่ไหมเฉลี่ย 4.39 กล่อง (4.39 _+9.11) ราคาไข่ไหมเฉลี่ย 297.29 บาท/แผ่น/กล่อง (297.29 _+196.25) หน่วยงานของรัฐที่ให้การสนับสนุนไข่ไหมแก่ผู้ผลิตวัตถุดิบ คือ กรมประชาส่งเคราะห์สนับสนุน ร้อยละ 54.38 เรือนโรงเลี้ยงไหม อยู่ใต้ถุนบ้าน ร้อยละ 63.66 จำนวนรุ่นที่เลี้ยงไหม/ปี คือ ปีละมากกว่า 6 รุ่น/ปี ร้อยละ 36.50 ปริมาณการเลี้ยงไหมต่อรุ่น คือ เลี้ยงไหมมากกว่า 25 กระด้ง/รุ่น ร้อยละ 32.47 แหล่งที่มาของแรงงานเลี้ยงไหม คือ ใช้แรงงานในครอบรัวร้อยละ 99.51 เฉลี่ย 2.04 คน/ปี (2.04_+2.50) รูปแบบการเลี้ยงไหม คือ เลี้ยงไหมตั้งแต่วัยอ่อนถึงวัยแก่มากที่สุดร้อยละ 87.59 ผลผลิตไหมรังสดต่อรุ่น คือ มีผลผลิตน้อยกว่า 5 กิโลกรัม/รุ่น ร้อยละ 42.16 รองลงมาคือ มีผลผลิตมากกว่า 20 กิโลกรัม/รุ่น ร้อยละ 32.39 วิธีการเลี้ยงไหม คือ ใช้กระด้งร้อยละ 75.43 โรคไหมที่พบระหว่างเลี้ยงไหม คือ โรคตัวบวม ผนังลำตัวแตกง่าย ร้อยละ 37.75 รองลงมาคือ สำรอกน้ำย่อย ตายแล้วเน่าเละ ร้อยละ 24.86 การป้องกันและกำจัดโรคไหมใช้วิธีไม่ใช้สารเคมีในการป้องกันและกำจัดโรคไหม ร้อยละ 60.64 โดยใช้การเก็บทิ้งร้อยละ 52.38 รองลงมาคือ ใช้วิธีการปล่อยตามธรรมชาติ ร้อยละ 16.67 สารเคมีที่ใช้ในการป้องกันและกำจัดโรคไหม คือ ใช้ปูนขาวมากที่สุดร้อยละ 58.78 รองลงมาคือ เอฟโซน ร้อยละ 9.92 วิธีการใช้สารเคมีในการป้องกันและกำจัดโรคไหม คือ ใช้สารเคมีโรยบนตัวไหมเพียงวิธีเดียว แมลงศัตรูไหมที่พบ คือ มด ร้อยละ 24.07 รองลงมาคือ แมลงวันลาย ร้อยละ 23.56 และจิ้งจก ร้อยละ 21.11 วิธีการป้องกันและกำจัดแมลงศัตรูไหม ใช้ผ้าคลุมร้อยละ 53.86 และใช้ตาข่าย/มุ่งลวด ร้อยละ 46.14 จ่อที่ใช้เลี้ยงไหมใช้จ่อกระด้ง ร้อยละ 43.86 รองลงมาคือ จ่อไม้ / ฟาง ร้อยละ 33.77 และ จ่อพลาสติก / ลวดตาข่าย ร้อยละ 11.84 การเก็บรักษารังไหมใช้วิธีการผึ่งแดด ร้อยละ 89.22 สาวไหมเอง ร้อยละ 76.73 และจะขายรังไหมไปเพียง ร้อยละ 23.27 ราคาของรังไหมที่ขายเฉลี่ย ราคา 128.29 บาท / กิโลกรัม (128.29_+124.32) เส้นไหมที่สาวได้เฉลี่ย 12.83 กิโลกรัม / ปี (12.83_+75.96) การสาวไหมแบบพื้นเมือง ร้อยละ 95.98 เส้นไหมที่สาวมาทอเอง ร้อยละ 62.32 ราคาของเส้นไหมที่ขายไปเฉลี่ย 950.69 บาท / กิโลกรัม (950.69_+987.85) แหล่งเงินทุนที่ใช้ปลูกหม่อน-เลี้ยงไหมใช้ทุนส่วนตัว ร้อยละ 94.22 แหล่งเงินกู้ที่ใช้ในการปลูกหม่อน - เลี้ยงไหม คือ กู้เงินจากนายทุนร้อยละ 42.86 จากธนาคาร ร้อยละ 28.57 และ จากญาติพี่น้อง ร้อยละ 28.57 จำนวนเงินและดอกเบี้ยที่กู้จากนายทุนเฉลี่ย 18,200.00 บาท (18,200.00_+22,946.89) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ 4.63 บาท (4.63_+7.84) จำนวนเงินและดอกเบี้ยที่กู้จากแหล่งอื่น ๆ (ญาติพี่น้อง) ที่ใช้ปลูกหม่อน-เลี้ยงไหมเฉลี่ย 21,444.44 บาท (21,444.44_+20,616.20) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ 7.25 บาท (7.25_+3.50) ความต้องการในการได้รับการสนับสนุนเรื่องการปลูกหม่อน-เลี้ยงไหม คือ ต้องการฝึกอบรมเป็นอับดับที่ 1 เงินทุนเป็นอันดับที่ 2 วัสดุอุหกรณ์เป็นอันดับที่ 3 ความต้องการในการฝึกอบรม คือ ต้องการฝึกอบรมเรื่องการเลี้ยงไหมเป็นอันดับที่ 1 การปลูกหม่อนเป็นอันดับที่ 2 การออกแบบผ้าเป็นอันที่ 3 ปัญหาและอุปสรรคในการปลูกหม่อน-เลี้ยงไหม คือ เรื่องโรคของไหมมากที่สุดร้อยละ 21.30 รองลงมาค คือ แมลงศัตรูหม่อน ร้อยละ 13.28 โรคหม่อน ร้อยละ 11.78 1.3 ฝ้ายและพืชเส้นใยอื่น ๆ พืชที่ผู้ผลิตวัตถุดิยใช้ในการผลิตฝ้ายและเส้นใยอื่น ๆ คือ ฝ้าย ร้อยละ 93.59 รองลงมา คือ กัญชง ร้อยละ 5.13 แหล่งที่ของเส้นใยฝ้ายและเส้นใยอื่น ๆ คือ ผลิตเส้นใยเอง ร้อยละ 52.48 ซื้อมาร้อยละ 47.52 แหล่งซื้อเส้นใยฝ้าย และเส้นใยอื่น ๆ คือ ซื้อเส้นใยจากรถเร่ขาย ร้อยละ 34.88 รองลงมา คือ ซื้อจากตลาด ร้อยละ 25.58 และ ซื้อจากร้านค้า ร้อยละ 23.26 ราคาเส้นใยฝ้ายและเส้นใยอื่น ๆ เฉลี่ย 284.33 บาท / กิโลกรัม (284_+448.56) 1.4 ข้อเสนอแนะและความคิดเห็นผ้าไทยในชนบทของผู้ผลิตวัตถุดิบ ผู้ผลิตวัตถุดิบ อยากให้รัฐบาลส่งเสริมและช่วยเหลือ ร้อยละ 17.00 รองลงมา คือ ควรสนับสนุนเรื่องเงินทุน ร้อยละ 16.50 และควรจัดฝึกอบรม ร้อยล 9.00 2. กลุมช่างทำผลิตภัณฑ์ 2.1 ข้อมูลทั่วไป จากการสอบถามช่างทำผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 176 ราย พบว่าเป็นช่างทำผลิตภัณฑ์จากภาคเหนือ จำนวน 105 ราย คิดเป็น ร้อยละ 59.66 อายุมากกว่า 40 ปี ร้อยละ 37.14 แต่งงานแล้ว ร้อยละ 85.38 มีบุตรเฉลี่ย 2.06 คน (2.06_+1.20) จบการศึกษาระดับประถมศึกษา ร้อยละ 61.18 อาชีพหลักทำนา ร้อยละ 31.03 อาชีพรอง คือ เย็บผ้า ร้อยละ 50.43 รายได้จากการทำผลิตภัณฑ์ผ้าต่อเดือน คือ มีรายได้น้อยกว่า 5,000 บาท/เดือน ร้อยละ 66.07 2.2 ด้านผลิตภัณฑ์ สถานภาพกลุ่มของช่างทำผลิตภัณฑ์เป็นสมาชิกกลุ่มแม่บ้าน ร้อยละ 55.06 รูปแบบของผลิตภัณฑ์ คือ ผลิตเป็นเสื้อผ้า ร้อยละ 30.00 รองลงมา คือ ของที่ระลึก ร้อยละ 21.56 และ ประกอบการแต่งกาย ร้อยละ 20.31 การจัดจำหน่ายโดยมีผู้มารับซื้อ ร้อยละ 45.91 สถานที่วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ คือ วางจำหน่ายเอง ร้อยละ 36.60 รองลงมา คือ จำหน่ายโดยผ่านกลุ่มแม่บ้าน ร้อยละ 27.32 การทำผลิตภัณฑ์จากผ้า คือ ผลิตในกลุ่มแม่บ้าน ร้อยละ 34.14 รองลงมา คือ ผลิตตามใบสั่ง ร้อยละ 23.29 และ ผลิตเองในครอบครัว ร้อยละ 22.89 ราคาผลิตภัณฑ์ที่ช่ายทำผลิตภัณฑ์ผลิต ช่างทำผลิตภัณฑ์ได้ให้ราคาผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 97 ชนิด โดยเอี๊ยมมีราคาเฉลี่ยต่ำสุด 4.00 บาท และ ผ้าหลายลายมีราคาเฉลี่ย สูงสุด คือ 32,500 บาท แรงงานของช่างทำผลิตภัณฑ์ คือ ทำเอง ร้อยละ 60.38 ต้องการอบรมการสร้างแบบงานผลิตภัณฑ์เป็นอันดับที่ 1 การประกอบและเย็บงานผลิตภัณฑ์เป็นอับที่ 2 การตกแต่งลวดลายผ้าเป็นอันดับที่ 3 ช่างทำผลิตภัณฑ์เคยเข้ารับการอบรมเรื่องการตัดเย็บ ร้อยละ 32.28 หน่วยงานที่ให้การสนับสนุน คือ กรมประชาสงเคราะห์ ร้อยละ 12.63 ปัญหา และอุปสรรค ในการทำผลิตภัณฑ์ผ้า คือ เรื่องการตลาดและจัดจำหน่ายมากที่สุด ร้อยละ 39.01 รองลงมา คือ ปัญหาด้านการส่งเสริมการขาย ร้อยละ 25.11 และปัญหาผลิตไม่ทัน ร้อยละ 24.66 2.3 ข้อเสนอแนะของช่างทำผลิตภัณฑ์ คือ ให้มีตลาดมารองรับ ร้อยละ 18.85 รองลงมา คือ อยากได้รับการฝึกอบรม ร้อยละ 9.84 และ อยากให้มีเงินทุนหมุนเวียน ร้อยละ 6.56 2.4 ช่างทำผลิตภัณฑ์ต้องการอบรมการทำนาฬิกา และที่ใส่รูป เท่ากัน คือ ร้อยละ 13.41 รองลงมา การทำบุหงา ร้อยละ 10.14 และการทำกระจกแบบที่ 2 ร้อยละ 9.06 3. กลุ่มผู้ทอผ้า 3.1 ข้อมูลทั่วไป ผลจากการศึกษาผู้ทอผ้าจำนวน 920 ราย พบว่าเป็นผู้ทอผ้าที่อยู่ในภาคใต้ ร้อยละ 35.98 เป็นเพศหญิง ร้อยละ 98.37 มีอายุระหว่าง 41 - 60 ปี ร้อยละ 47.07 แต่งงานแล้ว ร้อยละ 88.26 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 92.13 จบการศึกษาระดับประถม ร้อยละ 83.00 ตำแหน่งหน้าที่ในชุมชนของผู้ทอผ้า คือ เป็นสมาชิกกลุ่มแม่บ้าน ร้อยละ 92.52 มีบุตรเฉลี่ย 2.96 คน (2.96_+1.61) อาชีพหลัก คือ ทำเกษตรกรรม ร้อยละ 61.23 รายได้จากอาชีพน้อยกว่า 50,000 บาท/ปี ร้อยละ 44.86 อาชีพรอง คือ ทอผ้า ร้อยละ 68.60 รายได้จากอาชีพรอง คือ น้อยกว่า 50,000 บาท/ปี ร้อยละ 66.71 3.2 การฟอกย้อม วัตถุดิบที่ผู้ทอผ้าใช้ คือ ไหม ร้อยละ 54.32 วิธีการลอกกาวไหมโดยการต้มน้ำโดยใส่สบู่และใส่ด่าง ร้อยละ 61.28 อุปกรณ์ที่ใช้ในการลอกกาวไหม คือ กะละมัง ร้อยละ 63.97 ใช้ฟืน และ ถ่าน เป็นแหล่งพลังงานในการลอกกาวไหม ร้อยละ 96.68 ใช้เวลาในการลอกกาวไหม 30 นาที ร้อยละ 64.73 ผู้ทอผ้าทำการฟอกขาวไหม ร้อยละ 78.41 ใช้ด่างทับทิมในการฟอกขาวไหม ร้อยละ 52.84 ใช้กะละมังเป็นอุปกรณ์ในการฟอกขาวไหม ร้อยละ 61.89 ใช้ระยะเวลาในการฟอกขาวไหม 30 นาที ร้อยละ 70.46 ผู้ทอผ้าทำการย้อมไหม ร้อยละ 90.79 ใช้สีสังเคราะห์ในการย้อมไหม ร้อยละ 89.70 สีจากธรรมชาติที่ใช้ในการย้อมไหม คือ ใช้สีแดง ร้อยละ 47.92 สีสังเคราะห์ที่ใช้ในการย้อมไหมใช้ตราสิงห์โต ร้อยละ 34.69 สารเคมีที่ใช้ในการย้อมไหม คือ ใช้สีย้อม ร้อยละ 29.13 รองลงมา คือ สีสังเคราะห์ ร้อยละ 12.60 ตราเครื่องบิน ร้อยละ 11.81 ใช้กะละมังเป็นอุปกรณ์ในการย้อมไหม ร้อยละ 50.91 ใช้ระยะเวลาในการย้อมไหม 30 นาที ร้อยละ 49.83 ผู้ทอผ้าไม่ทำการป้องกันสีตกหลังการย้อมไหม ร้อยละ 63.97 สารเคมีที่ใช้ป้องกันสีตกหลังการย้อมไหม คือ น้ำส้มสายชู ร้อยละ 23.81 ใช้กะละมังในการป้องกันสีตกหลังการย้อมไหม ร้อยละ 50.00 ใช้ระยะเวลาน้อยกว่า 30 นาที ในการป้องกันสีตกหลังการย้อมไหม ร้อยละ 49.21 ผู้ทอผ้าไม่ทำความสะอาดเส้นด้ายจากฝ้าย ร้อยละ 53.14 ทำความสะอาดเส้นด้ายโดยการแปรงเส้นด้านร้อยละ 17.78 รองลงมา คือ ใช้แปรงขนหมู ร้อยละ 13.33 ใช้สบู่เป็นสารเคมีที่ใช้ในการทำความสะอาดเส้นด้าน ร้อยละ 48.15 ใช้กะละมังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ทำความสะอาดเส้นด้าน ร้อยละ 83.96 ใช้ฟืน และถ่านเป็นแหล่งพลังงานที่ใช้ในการทำความสะอาดเส้นด้าน ร้อยละ 92.71 ระยะเวลาในการทำความสะอาดเส้นด้าน คือ 30 นาที ในการทำความสะอาดเส้นด้าย ร้อยละ 49.47 ผู้ทอผ้าไม่ทำการฟอกขาวเส้นด้าน ร้อยละ 74.45 สารเคมีที่ใช้ในการฟอกขาวเส้นด้าย คือ ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ร้อยละ 35.00 ใช้กะละมังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการฟอกขาวเส้นด้าย ร้อยละ 87.18 ใช้ฟืนและถ่านเป็นแหล่งพลังงานที่ใช้ในการฟอกขาวเส้นด้าย ร้อยละ 90.48 ผู้ทอผ้าใช้เวลา 1 ชั่วโมงในการฟอกขาวเส้นด้าย ร้อยละ 47.50 ผู้ทอผ้าไม่ทำการชุบมันเส้นด้าย ร้อยละ 75.83 สารเคมีที่ใช้ในการชุบมันเส้นด้าย คือ ใช้โซดาแต่เพียงอย่างเดียว ใช้กะละมังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการชุบมันเส้นด้ายร้อยละ 88.57 ใช้เวลา 30 นามีในการชุบมันเส้นด้าย ร้อยละ 64.52 ผู้ทำทำการย้อมเส้นด้าย ร้อยละ 61.27 สีที่ใช้ทำการย้อมเส้นด้ายใช้สีจากธรรมชาติ ร้อยละ 63.27 โดยใช้ดำเงาะเป็นสีแดงประดู่เป็นสีส้ม เปลือกมะม่วงเป็นสีเขียว นมวัวเป็นสีเขียวตุ่น เปลือกขนุนเป็นสีเหลือง รากขมิ้นเป็นสีเหลือง มะเกลือเป็นสีดำ เท่ากัน ร้อยละ 6.90 สีสังเคราะห์ที่ใช้ในการย้อมเส้นด้าย คือ สีตราระฆังและสีตราสิงห์โต เท่ากัน ร้อยละ 25.00 ผู้ทอผ้าใช้สีสังเคราะห์เป็นสารเคมีที่ใช้ในการย้อมเส้นด้าย ร้อยละ 36.84 ใช้กะละมังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการย้อมเส้นด้าน ร้อยละ 53.49 ผู้ทอผ้าใช้ระยะเวลา 30 นาที ในการย้อมเส้นด้าน ร้อยละ 44.07 ผู้ทำผ้าไม่ทำการป้องกันสีตกหลังการย้อมเส้นด้าย ร้อยละ 77.21 ใช้สารส้มเป็นสารเคมีที่ใช้ป้องกันสีตกหลังการย้อมเส้นด้าย ร้อย 88.89 ใช้กะละมังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการป้องกันสีตกหลังการย้อมเส้นด้าย ร้อยละ 57.14 ใช้เวลา 30 นาที ในการป้องกันสีตกหลังการย้อมเส้นด้าย ร้อยละ 77.78 ผู้ทอผ้าใช้ใยสังเคราะห์ เป็นเส้นใยอื่น ๆ ร้อยละ 52.94 ผู้ทอผ้าไม่ทำ ปฏิบัติการก่อนเตรียมการย้อมเส้นใยอื่น ๆ ร้อยละ 88.17 ใช้สารส้มเป็นสารเคมีที่ใช้ปฏิบัติก่อน เตรียมการย้อมเส้นใยอื่น ๆ ร้อยละ66.67 ใช้กะละมังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ปฏิบัติก่อนเตรียมการย้อมเส้นใยอื่น ๆ ร้อยละ 57.14 ใช้เวลา 1 ชั่วโมง ในการปฏิบัติก่อนเตรียมกาย้อมเส้นใยอื่น ๆ ร้อยละ 42.86 ผู้ทอผ้าไม่ทำปฏิบัติการย้อมเส้นใยอื่น ๆ ร้อยละ 82.52 สีที่ใช้ทำการย้อมเส้นใยอื่น ๆ ใช้สีจากธรรมชาติ ร้อยละ 82.35 โดยใช้สีดำเงาะเป็นสีแดง มะม่วงเป็นสีเขียว ต้นแขและเปลือกพิมานเป็นสีเหลือง เปลือกมะพร้าวเป็นสีชมพู มะเกลือเป็นสีดำ เท่ากัน ร้อยละ 16.67 เช่นเดียวกับ สีสังเคราะห์ที่ใช้ในการย้อมเส้นใยอื่น ๆ คือ สีตราสิงห์โต ร้อยละ 66.67 สารเคมีที่ใช้ในการย้อมเส้นใยอื่น ๆ คือ โซดาไฟร้อยละ 50.00 ใช้กะละมังเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ทำการย้อมเส้นใยอื่น ๆ คือ ตราสิงห์โต เกลือ และ น้ำยากันสีตก เท่ากัน ร้อยละ 33.33 ใช้กะละมังเป็นอุปกรณ์แต่เพียงอย่างเดียว ใช้เวลา น้อยกว่า 30 นาที เวลา 30 นาที เวลา 1 ชั่วโมง และเวลา 2 ชั่วโมง เท่ากันร้อยละ 25.00 33. การทอผ้า อุปกรณ์การกรอด้ายจากไจใส่อักใช้เครื่องกรอแบบมือหมุนชนิดอักเดี่ยว ร้อยละ 82.39 อุปกรณ์การกรอด้ายพุ่งใช้เครื่องกรอแบบมือหมุน ร้อยละ 94.38 อุปกรณ์กรอด้ายยืนใช้เครื่องกรอแบบมือหมุน ร้อยละ 91.88 ผู้ทอผ้าใช้วิธีการสืบด้ายแบบดั้งเดิม ร้อยละ 93.09 ใช้กี่ไม้ ร้อยละ 97.38 การสาวด้ายยืนใช้วิธี สาวด้ายยืนเอง ร้อยละ 88.53 ผู้ทอผ้ากรอด้ายพุ่งเอง ร้อยละ 94.65 ใช้เวลาในการกรอใจใส่อักเฉลี่ย 5.19 ไจ/คน/ชั่วโมง (5.19_+6.49) ใช้เวลาในการกรอหลอดด้ายพุ่งเฉลี่ย 35.15 หลอด/คน/ชั่วโมง (35.15_+36.56) ใช้เวลาในการกรอหลอดด้ายยืนเฉลี่ย 15.26 หลอด/คน/ชั่วโมง (15.26_+25.97) ใช้เวลาในการสืบด้ายเฉลี่ย 11.50 ชั่วโมง/ม้วน (11.50_+23.48) ใช้เวลาในการทอผ้าเฉลี่ย 1.76 หลา/ชั่วโมง (1.76_+2.13) ชนิดของผ้าที่ทอ คือ ผ้าฝ้าย ร้อยละ 37.48 รองลงมา คือ ผ้าไหม ร้อยละ 28.40 ผ้ายกดอก ร้อยละ 9.08 ความกว้างของหน้าผ้าที่ทอเฉลี่ย 37.65 นิ้ว (37.65_+12.03) จำนวนเส้นยืนของผ้าที่ทอเฉลี่ย 1,359.11 (1,359.11_+823.15) ผู้ทอผ้าทอผ้าเองในครอบครัว ร้อยละ 93.41 จำนวนกี่ของผู้ทอผ้าแบบทำเองในครอบครัวเฉลี่ย 441.16 ตัว (441.16_+251.09) ทอผ้าแบบทำเองในครอบครัวเฉลี่ย 1.99 คน (1.99_+5.50) จำนวนกี่ของผู้ทอผ้าแบบจ้างแรงงานบางส่วนเฉลี่ย 6.19 ตัว (6.19_+10.98) จำนวนคนที่ใช้ในการทอผ้าแบบจ้างแรงงานบางส่วนเฉลี่ย 7.96 คน (7.96_+8.67) ลายผ้าที่ทดจำแนกตามที่เรียกตามท้องถิ่นของผู้ทอผ้า คือ ลายลูกแก้ว ร้อยละ 12.70 รองลงมา คือ ทอลายดอกพิกุล และดอกแก้ว เท่ากัน ร้อยละ 11.12 ลายผ้าที่ทอจำแนกตามที่เรียกตามท้องถิ่นลายอื่น ๆ ของผู้ทอผ้า คือ ทอลายน้ำไหล ร้อยละ 11.21 รองลงมา คือ ทอลาย มัดหมี่ ร้อยละ 9.56 ทอลายหางกระรอก ร้อยละ 8.82 ลายผ้าจำแนกตามเทคนิคการทดลายผ้าที่ทออยู่ คือ ลายพื้น 2 ตะกรอ ร้อยละ 36.81 รองลงมา คือ ลายมันหมี่ ร้อยละ 21.06 ลายยกดอกร้อยละ 16.93 ลายผ้าที่ทอชำนาญเป็นพิเศษของผู้ทอผ้า คือ ชำนาญทุกลาย ร้อยละ 16.73 รองลงมา คือ ทอลายลูกแก้ว ร้อยละ 15.99 ลายดอก ร้อยละ 9.29 ความคิด หรือ แบบอย่างของลวดลายที่ใช้ในการทอจากบรรพบุรุษ ร้อยละ 40.54 ประเภทของผลิตภัณฑ์ของผู้ทอผ้า คือ ทอผ้าผืนเป็นหลา ร้อยละ 48.00 ผลิตตามคำสั่งลูกค้า ร้อยละ 33.79 ผู้ทอผ้าไม่เคยเข้ารับการฝึกอบรมวิชาชีพเกี่ยวกับสิ่งทอ ร้อยละ 55.09 หน่วยงานที่เคยเข้ารับการฝึกอบรม คือ ศูนย์ศิลปาชีพ ร้อยละ 18.05 รองลงมา คือ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และกลุ่มทอผ้า เท่ากัน ร้อยละ 15.88 ผู้ทอผ้าเคยอบรมเรื่องการทอผ้า ร้อยละ 75.87 ผู้ทอผ้าเคยได้รับการฝึกอบรมจาก ศูนย์ฝึกอบรมทอผ้า ร้อยละ 26.79 รองลงมา คือหมู่บ้าน ร้อยละ 24.40 ตำหนักทักษิณ ร้อยละ 11.06 ผู้ทอผ้าเคยได้รับการฝึกอบรมใน พ.ศ. 2442 ร้อยละ 23.28 รองลงมา คือ พ.ศ. 2543 ร้อยละ 19.47 พ.ศ. 2540 ร้อยละ 7.25 ระยะเวลาที่เคยเข้ารับการฝึกอบรมเฉลี่ย 23.37 วัน (23.37_+31.18) ผู้ทอผ้าต้องการอบรมด้านการออกแบบลายผ้า ร้อยละ 28.30 รองลงมา คือ การทอผ้า ร้อยละ 15.09 การผลิตผลิตภัณฑ์หัตถกรรมจากผ้า ร้อยละ 14.45 3.4 ครูภูมิปัญญาไทย ผู้ทอผ้าสามารถ่ายทอดความรู้ให้ผู้อื่นในเรื่อง การทอ ร้อยละ 57.26 รองลงมา คือ การฟอกย้อม ร้อยละ 22.64 การออกแบบลวดลาย ร้อยละ 20.10 สามารถสอนการทอผ้าฝ้าย ร้อยละ 49.77 แหล่งที่มาของความรู้ในการทอผ้าจากบรรพบุรุษ ร้อยละ 51.59 ผู้ทอผ้าได้รับการอบรมจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร้อยละ 52.38 ใช้ระยะเวลาในการฝึกอบรม สัมมนา เฉลี่ย 39.26 วัน (39.26_+41.50) ได้รับความรู้ในการฟอกย้อมจากบรรพบุรุษ ร้อยละ 55.72 ได้รับการอบรมจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร้อยละ 70.00 ระยะเวลาที่เคยอบรม/สัมมนาเรื่องการฟอกย้อมเฉลี่ย 21.57 วัน (21.57_+23.64) แหล่งที่มาของความรู้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์จากบรรพบุรุษ ร้อยละ 55.91 เคยได้รับการอบรมจากศูนย์ศิลปาชีพ ร้อยละ 33.33 เคยใช้เวลาในการอบรม/สัมมนา เรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์เฉลี่ย 13.75 วัน (13.75_+21.08) ไม่เคยมีการพัฒนา/สร้างสรรค์ผลงานเพิ่มเติม ร้อยละ 68.31 ผู้ทอผ้าเคยพัฒนา/สร้างสรรค์ในเรื่องการออกแบบลาย ร้อยละ 70.27 เคยถ่ายทอดความรู้เรื่องการทอ ร้อยละ 70.02 ใช้เวลาในการถ่ายทอดความรู้เรื่องการทอเฉลี่ย 412.26 วัน (412.26_+1,239.05) หรือ 1 ปี 1 เดือน 18 วัน เคยถ่ายทอดความรู้เรื่องการทอให้กับคนเฉลี่ย 37.60 คน (37.60_+142.28) ผู้ทอผ้าไม่เคยมีการถ่ายทอดความรู้เรื่องการฟอกย้อม ร้อยละ 59.36 เวลาที่เคยถ่ายทอดความรู้เรื่องการฟอกย้อมเฉลี่ย 425.07 วัน (425.07_+1,359.69) หรือ 1 ปี 2 เดือน 1 วัน จำนวนคนที่เคยถ่ายทอดความรู้เรื่องการฟอกย้อมให้เฉลี่ย 38.96 คน (38.96_+146.21) ผู้ทอผ้าไม่เคยมีการถ่ายทอดความรู้เรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ ร้อยละ 75.72 เวลาที่เคยถ่ายทอดความรู้เรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์เฉลี่ย 1,015.50 วัน (1,015.51_+1,299.87) หรือ 2 ปี 9 เดือน 16 วัน จำนวนคนที่เคยถ่ายทอดความรู้เรื่องการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เฉลี่ย 24.56 คน (24.56_+56.50) ผู้ทอผ้าไม่มีปัญหาและอุปสรรคในการถ่ายทอดความรู้ ร้อยละ 71.51 4. กลุ่มผู้บริโภค 4.1 ข้อมูลทั่วไป ผลจากการศึกษาผู้บริโภคจำนวน 828 ราย พบว่าเป็นผู้บริโภคที่อยู่ในภาคใต้มากที่สุด ร้อยละ 44.81 รองลงมาคือภาคเหนือ ร้อยละ 33.57 และภาคตะวันออกเฉียงเหนือน้อยที่สุด คือร้อยละ 21.62 ผู้บริโภคเป็นเพศหญิง ร้อยละ 81.04 มีอายุเฉลี่ย 38.76 แต่งงานแล้ว ร้อยละ 67.60 มีอาชีพรับราชการ ร้อยละ 55.06 มีรายได้ต่อเดือนมากกว่า 15,000 บาท ร้อยละ 24.15 จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ร้อยละ 53.45 สินค้าใยธรรมชาติที่เคยใช้ คือ ผ้าฝ้ายร้อยละ 42.18 ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ คือ เสื้อผ้าสำเร็จรูป ร้อยละ 33.86 รองลงมา คือ ผืนผ้า ร้อยละ 24.29 เครื่องประกอบการแต่งกาย ร้อยละ 13.93 ผู้บริโภคซื้อผลิตภัณฑ์จากร้านค้า ร้อยละ 32.83 4.2 จุดเด่นและจุดด้อยของผ้าไทยและผลิตภัณฑ์จากผ้าไทย ผ้าไหม จากการ สอบถามผู้บริโภคมีความคิดเห็นว่า ผ้าไหมมีจุดเด่น 4 ประการ คือ สี ลวดลาย ประโยชน์ และความสวยงาม มีจุดด้วย 4 ประการ คือ การตกสี การหด การดูแลรักษา และราคา สำหรับผ้าฝ้าย จากการสอบถามผู้บริโภคมีความคิดเห็นว่า ผ้าฝ้ายมีจุดเด่น 6 ประการ คือ สี ลวดลาย การดูแลรักษา ประโยชน์ ราคา และความสวยงาม มีจุดด้อย 2 ประการ คือ การตกสี และการหด สำหรับผ้าใยกัญชง จากการสอบถามผู้บริโภคมีความคิดเห็นว่า ผ้าใยกัญชงมีจุดเด่น 5 ประการ คือ สี ลวดลาย ประโยชน์ ราคา และความสวยงาม มีจุดด้อย 3 ประการ คือ การตกสี การหดและการดูแลรักษา สำหรับผ้าอื่น ๆ จากการสอบถามผู้บริโภคมีความคิดเห็นว่า ผ้าอื่น ๆ มีจุดเด่น 8 ประการ คือ สี การตกสี การหด ลวดลาย การดูแลรักษา ประโยชน์ ราคา และความสวยงาม และไม่มีจุดด้อย สำหรับเสื้อผ้าสำเร็จรูป จากการสอบถามผู้บริโภคมีความคิดเห็นว่า เสื้อผ้าสำเร็จรูป มีจุดเด่น 6 ประการ คือ สี ลวดลาย การดูแลรักษา ประโยชน์ ราคา และความสวยงาม มีจุดด้อย 2 ประการ คือ การตกสี และการหด สำหรับเครื่องประกอบการแต่งกาย จากการสอบถามผู้บริโภคมีความคิดเห็นว่า เครื่องประกอบการแต่งกาย มีจุดเด่น 6 ประการ คือ สี ลวดลาย การดูแลรักษา ประโยชน์ ราคา และความสวยงาม มีจุดด้อย 2 ประการ คือ การตกสี และการหด ของขวัญ - ของที่ระลึก จากการสอบถามผู้บริโภคมีความคิดเห็นว่า ของขวัฯ - ของที่ระลึก มีจุดเด่น ประการ คือ สี ลวดลาย การดูแลรักษา ประโยชน์ ราคา และ ความสวยงาม มีจุดด้อย 2 ประการ คือ การตกสี และการหด สำหรับเครื่องใช้และตกแต่งบ้าน จากการสอบถามผู้บริโภคมีความคิดเห็นว่า เครื่องใช้และตกแต่งบ้าน มีจุดเด่น 6 ประการ คือ สี ลวดลาย การดูแลรักษา ประโยชน์ ราคา และความสวยงาม มีจุดด้อย 2 ประการ คือ การตกสี และการหด สำหรับเครื่องใช้สำนักงาน จากการสบอถามผู้บริโภคมีความคิดเห็นว่า เครื่องใช้สำนักงาน มีจุดเด่น 6 ประการ คือ สี ลวดลาย การดูแลรักษา ประโยชน์ ราคา และความสวยงาม มีจุดด้อย 2 ประการ คือ การตกสี และการหด 4.3 คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผ้าไทย และผลิตภัณฑ์จากผ้าไทย ผู้บริโภคต้องการสีย้อมผ้าฝ้ายจากธรรมชาติ ร้อยละ 74.84 ลักษณะเนื้อผ้าฝ้าย คือ เนื้อปานกลาง ร้อยละ 80.03 ผู้บริโภคต้องการสีย้อมผ้าไหมจากธรรมชาติ ร้อยละ 71.89 ลักษณะเนื้อผ้าไหม คือเนื้อปานกลางร้อยละ 77.65 ผู้บริโภคต้องการผ้าฝ้ายพื้น ร้อยละ 28.49 ผ้าไหมมัดหมี่ ร้อยละ 31.15 ผ้าใยกัญชงบาติก ร้อยละ 30.51 ลวดลายผ้าพิมพ์ลายที่ต้องการมากที่สุด คือลดลายประยุกต์ ร้อยละ 41.45 เครื่องประกอบการแต่งกายที่เคยใช้ คือ ผ้าพันคอ ร้อยละ 30.81 รองลงมา คือ กระเป๋าสตรี ร้อยละ 20.21 และหมวก ร้อยละ 16.76 เครื่องใช้สำนักงานที่เคยใช้ คือ กล่องใส่กระดาษโน๊ต ร้อยละ 28.16 รองลงมา คือ กล่องใส่เครื่องเขียน ร้อยละ 27.50 และ ปกแฟ้มงาน ร้อยละ 20.26 เครื่องใช้และตกแต่งบ้านที่เคยใช้ คือ ปลอกหมอนอิง ร้อยละ 32.42 รองลงมา คือ ผ้าปูโต๊ะ ร้อยละ 24.47 และ กล่องใส่กระดาษทิชชู ร้อยละ 18.72 ของขวัญ - ของที่ระลึกที่เคยใช้ คือ กรอบรูป ร้อยละ 25.80 รองลงมา คือ ภาพแขวนผนัง ร้อยละ 24.76 และ ถุงผ้า ร้อยละ 23.35 ผู้บริโภคต้องการผลิตภัณฑ์สีธรรมชาติ ร้อยละ 31.40 รองลงมา คือ สีปานกลาง ร้อยละ 29.28 สีเข้า ร้อยละ 21.46 4.4 ข้อเสนอแนะของผู้บริโภค คือ เรื่อง ราคา การตกสี และแบบผลิตภัณฑ์
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การศึกษาวิจัยสภาพการดำเนินงานของผู้ผลิตวัตถุดิบ ช่างทำผลิตภัณฑ์ ผู้ทอ และผู้บริโภคผ้าไทย
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ไม่ระบุวันที่เผยแพร่
ศึกษาการใช้สีธรรมชาติของดอกไม้ใบพืชบนผืนผ้าบาติก โครงการ การพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้จากผ้า สู่ชุมชนในเขตจังหวัดลพบุรี โครงการวิจัยผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือ โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ การศึกษาสมบัติของผ้าไม่ถักทอจากพอลิยูริเทนผสมผงไหมซิริซิน : รายงานการวิจัย ศึกษาการแปรรูปข้าวสาลีแบบพื้นบ้านและการยอมรับของผู้บริโภค โครงการวิจัยผลิตภัณฑ์จักสานและดอกไม้ประดิษฐ์โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ รายงายผลการวิจัยฉบับสมบูรณ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ไข่เค็มไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี การพัฒนาศักยภาพของผลิตภัณฑ์อาหารไทยที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในประเทศอิสราเอล คุณสมบัติของทรายแม่น้ำมูลสำหรับใช้ทำแบบหล่อทราย การศึกษาการปรับปรัวและผลผลิตทางเศรษฐกิจของพันธุ์งานในภาคเหนือของประเทศไทย
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก