บทคัดย่อ: |
ชุดโครงการวิจัยระบบการผลิตสัตว์น้ำที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่ออาหารปลอดภัยและเพิ่มมูลค่าของทรัพยากรสัตว์น้ำมีจุดประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาระบบการผลิตสัตว์น้ำที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่ออาหารปลอดภัยและเพิ่มมูลค่าของทรัพยากรสัตว์น้ำ 2) นำองค์ความรู้และเทคโนโลยีจากการวิจัยถ่ายทอดสู่เกษตรกรและผู้สนใจ 3) สร้างนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาและนักวิจัยรุ่นใหม่ 4) สร้างเทคโนโลยีต้นแบบด้านการผลิตสัตว์น้ำที่มีคุณภาพ ซึ่งประกอบด้วยโครงการย่อยจำนวน 8 โครงการ ดังนี้:
(1) ศึกษาความสามารถในการย่อยวัตถุดิบพื้นบ้านเพื่อพัฒนาสูตรอาหารเลี้ยงปลานิล ด้วยวิธีการ in vitro digestibility เพื่อคัดเลือกวัตถุดิบที่ย่อยได้ดี โดยศึกษาความสามารถในการย่อยวัตถุดิบพื้นบ้านด้วยเอนไซม์ย่อยอาหาร โดยใช้วัตถุดิบจำนวน 15 ชนิด ได้แก่ กากนมถั่วเหลือง สาหร่ายสไปรูลิน่า ปลาป่น ใบกระถินป่น ถั่วเขียว รำข้าว บริเวอร์ยีสต์ เมล็ดดอกทานตะวัน ถั่วลิสง ถั่วดำ สาหร่ายไส้ไก่ ถั่วแดงหลวง กากถั่วเหลือง มูลสุกรที่ผ่านการหมักแบบไร้อากาศ และปลายข้าว ผลการทดลอง พบว่า เอนไซม์ย่อยอาหารจากปลานิลวัยอ่อน สามารถย่อยคาร์โบไฮเดรตสูงสุดในบริเวอร์ยีสต์ ในขณะที่ความสามารถในการย่อยโปรตีนสูงสุด คือ ปลายข้าว ส่วนเอนไซม์ย่อยอาหารจากปลานิลเต็มวัย พบว่า เอนไซม์จากกระเพาะอาหารย่อยสาหร่ายไส้ไก่ได้ดีที่สุด ส่วนเอนไซม์ย่อยอาหารจากลำไส้ปลานิลเต็มวัย พบว่า มีความสามารถในการย่อยคาร์โบไฮเดรตสูงสุดในกากนมถั่วเหลือง และสามารถย่อยโปรตีนได้สูงสุดในสาหร่ายไส้ไก่
(2) การเปรียบเทียบการเจริญเติบโต คุณค่าทางโภชนาการ สารสี และคุณภาพน้ำของสาหร่าย สไปรูลินาแต่ละถิ่นกำเนิด ในระบบการเพาะเลี้ยงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ณ ฐานเรียนรู้สาหร่าย และแพลงก์ตอน คณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ โดยแบ่งเป็น 3 การทดลอง ดังนี้ 1 การสำรวจ สไปรูลินาแต่ละถิ่นกำเนิด มาเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการ เก็บข้อมูลการเจริญเติบโต ระยะเวลา 90 วัน พบว่า T3Spi. MJU2 ปริมาณเซลล์สาหร่ายที่เป็นเกลียว จำนวนเซลล์ ความหนาแน่นของเซลล์ ปริมาณผลผลิตโดยน้ำหนักแห้ง เท่ากับ 0.40 g/l และ ปริมาณสารสีแคโรทีนอยด์ มากกว่า T2 Spi.MJU1 และ T1 Spi.CMU1 (p<0.05) การทดลองที่ 2 การเพาะเลี้ยง สไปรูลินาแต่ละถิ่นกำเนิด ในบ่อซีเมนต์กลม เก็บข้อมูลการเจริญเติบโต คุณค่าทางโภชนาการ สารสี และคุณภาพน้ำ ระยะเวลา 120 วัน พบว่า T3Spi. MJU2 มีปริมาณเซลล์ของสาหร่ายที่เป็นเกลียว จำนวนเซลล์ ความหนาแน่นของเซลล์ ปริมาณผลผลิตโดยน้ำหนักแห้ง 0.42?0.03 g/l สารสีแคโรทีนอยด์ 706.47?53.72 mg/g สารสี C-phycocyanin 5.10 mg/g และ โปรตีนมีค่า 43.34?1.37% ซึ่งมากกว่า T1Spi.CMU1 และT2Spi.MJU1 แต่ T2Spi.MJU1 มีต้นทุนผันแปรในการผลิตสาหร่ายแห้ง 517.13?27.73 บาท/กิโลกรัม ปริมาณเถ้า 3.95?0.26% เยื่อใย 1.89?0.06% และคาร์โบไฮเดรต 31.48?1.14% ซึ่งมากกว่า T1Spi.CMU1 และT3Spi.MJU2 แต่T1Spi.CMU1 มีค่าวัตถุแห้ง 71.11?1.32% ความชื้น 28.89?1.32% ไขมัน 2.28?0.40% มากกว่า T2 Spi.MJU1 และ T3Spi.MJU2 (p<0.05) การทดลองที่ 3 การเพาะเลี้ยง สไปรูลินาแต่ละถิ่นกำเนิด ในบ่อแบบลู่วิ่ง (raceway pond) เก็บข้อมูลการเจริญเติบโต คุณค่าทางโภชนาการ สารสี และคุณภาพน้ำ ระยะเวลา 120 วัน พบว่า T3Spi.MJU2 มีปริมาณเซลล์สาหร่ายที่เป็นเกลียว จำนวนเซลล์ ความหนาแน่นของเซลล์ โปรตีน 46.91?0.80% และต้นทุนผันแปรในการผลิตสาหร่ายแห้ง 377.80?43.38 บาท/กิโลกรัม ซึ่งมากกว่า T1Spi.CMU1 และT2Spi.MJU1 แต่ T2Spi.MJU1 มีผลผลิตสาหร่ายโดยน้ำหนักแห้ง 0.35?0.05 g/l สารสี C-phycocyanin 9.45?0.84 mg/g ความชื้น 23.87?0.89% คาร์โบไฮเดรต 24.97?1.46% ซึ่งมากกว่าT1Spi.CMU1 และ T3Spi.MJU2 แต่ T1Spi.CMU1 มีสารสี แคโรทีนอยด์ 675.19?22.24 mg/g วัตถุแห้ง 76.13?0.88% ไขมัน 3.17?0.88% เถ้า 4.02?0.19% เยื่อใย 1.97?0.03% ซึ่งมากกว่า T3Spi.MJU2 และT2Spi.MJU1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) สรุปได้ว่า การเพาะเลี้ยงไปรูลิน่าแต่ละถิ่นกำเนิด ในห้องปฏิบัติการ บ่อซีเมนต์กลม และบ่อแบบลู่วิ่ง (raceway pond) พบว่า T3Spi.MJU2 ที่เพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการ และบ่อซีเมนต์กลม มีปริมาณเซลล์สาหร่ายที่มีลักษณะเป็นเกลียว จำนวนเซลล์ ความหนาแน่นของเซลล์ ผลผลิตโดยน้ำหนักแห้ง 0.40-0.42 g/l สารสีแคโรทีนอยด์ 706.47?53.72 mg/g มากกว่า T1Spi.CMU1 และ T2Spi. MJU1 แต่การเพาะเลี้ยงสไปรูลิน่า (T3Spi.MJU2) ในบ่อแบบลู่วิ่ง (raceway pond) พบว่ามีโปรตีน 46.91?0.80% และมีสารสี C-phycocyanin 9.36?0.55 mg/g มากกว่า T1Spi.CMU1 และT2Spi. MJU1
(3) งานวิจัยนี้ได้ทดลองเสริมอาหารด้วยสารสกัดด้วยน้ำและเอทานอลของสมุนไพรไทย 4 ชนิด ได้แก่ กระเทียม (Allium sativum) กวาวเครือขาว (Pueraria candollei) กวาวเครือแดง (Butea superba) และมะขามป้อม (Phyllanthus emblica) โดยคาดว่าสารสกัดสมุนไพรจะมีประสิทธิภาพต่อการเจริญพันธุ์ของพ่อแม่ปลานิล และสามารถช่วยให้เพาะเลี้ยงลูกปลานิลได้ตลอดทั้งปี ทำการเลี้ยงปลานิลขนาดเฉลี่ย 30 กรัม ด้วยอาหารปลานิล โดยเสริมสารสกัดสมุนไพรที่ความเข้มข้น 0, 0.5, 1.0, 3.0 และ 5.0% ทำการเลี้ยงในกระชังในบ่อดิน เก็บตัวอย่างปลาเวลา 1 และ 2 เดือน เพื่อหาค่าดัชนีสมบูรณ์เพศ (gonodosomatic index, GSI) ของปลาเพศผู้และเพศเมีย ความดกไข่ (fecundity) ของปลาเพศเมีย สำหรับปลาเพศผู้ พบว่ากลุ่มปลาที่ได้รับสารสกัดสมุนไพรแล้วมีค่า GSI สูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ (p < 0.05) มี 4 กลุ่ม ได้แก่ สารสกัดกวาวเครือขาว ที่ความเข้มข้น 0.5 และ 1.0% สารสกัดกระเทียม ที่ความเข้มข้น 1.0% และสารสกัดมะขามป้อม ที่ความเข้มข้น 0.5% โดยมีค่า GSI เท่ากับ 0.521, 0.600, 0.219 และ 0.170 % ตามลำดับ สำหรับปลาเพศเมีย พบว่ากลุ่มปลาทุกกลุ่มที่ได้รับสารสกัดสมุนไพรไทย 4 ชนิด ที่ความเข้มข้นต่างๆ มีค่า GSI สูงกว่ากลุ่มควบคุม โดยกลุ่มสารสกัดกระเทียมและมะขามป้อม จะมีแนวโน้มของค่า GSI เพิ่มขึ้นตามความเข้มข้นที่ได้รับเพิ่มขึ้น ส่วนกลุ่มสารสกัดกวาวเครือขาวและกวาวเครือแดง จะมีแนวโน้มของค่า GSI เป็นแบบระฆังคว่ำ โดยจะมีค่าสูงสุดที่ความเข้มข้นหนึ่ง มีค่าสูงขึ้นที่ความเข้มข้นต่ำและมีค่าลดลงเมื่อได้รับสารสกัดเกินกว่าค่าสูงสุด กลุ่มที่มีค่า GSI สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ สารสกัดกวาวเครือแดง ที่ความเข้มข้น 0.5% สารสกัดมะขามป้อม ที่ความเข้มข้น 3.0% และสารสกัดกวาวเครือขาว ที่ความเข้มข้น 0.3% ส่วนค่าความดกไข่ของปลานิลเพศเมีย พบว่า กลุ่มปลาที่ได้รับสารสกัดที่มีผลให้ค่าความดกไข่เพิ่มขึ้น ได้แก่ สารสกัดกระเทียม สารสกัดกวาวเครือขาว และสารสกัดมะขามป้อม โดยมีค่าความดกไข่เพิ่มขึ้นในกลุ่มปลาที่ได้รับสารสกัดสมุนไพร ดังนี้ สารสกัดกระเทียม เพิ่มขึ้น 4-8 เท่า ซึ่งที่ความเข้มข้น 0.3 – 1.0% เพิ่มขึ้น 7.95 – 8.38 เท่า สารสกัดกวาวเครือขาว เพิ่มขึ้น 1.7 – 2.1 เท่า ซึ่งที่ความเข้มข้น 3.0% เพิ่มขึ้น 2.08 เท่า และสารสกัดมะขามป้อม เพิ่มขึ้น 1.2 – 2.2 เท่า ซึ่งที่ความเข้มข้น 0.3% เพิ่มขึ้น 2.2 เท่า ส่วนสารสกัดกวาวเครือแดง มีผลให้ความดกไข่ลดลง 0.4 – 0.8 เท่า ซึ่งที่ความเข้มข้น 0.3% ลดลง 0.82 เท่าจะเห็นได้ว่าสารสกัดสมุนไพรไทยทั้ง 4 ชนิด มีผลเร่งการเจริญพันธุ์ในปลานิลได้ทั้งเพศผู้และเพศเมีย และยังมีผลเพิ่มความดกไข่ในปลาเพศเมียได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะได้ทำการวิจัยต่อเนื่องจนถึงการนำปลาไปเป็นพ่อแม่พันธุ์ต่อไป
(4) การศึกษาผลของการใช้ยีสต์ (Saccharomyces cerevisiae) เป็นโปรไบโอติกต่อการเจริญเติบโตและระบบภูมิคุ้มกันแบบไม่จำเพาะของลูกปลานิลแดง โดยผลิตอาหารทดลอง 4 สูตร ได้แก่ อาหารเสริมยีสต์ 0.1, 0.5 และ 1.0% ของน้ำหนักอาหาร อนุบาลลูกปลานิลแดงในกระชังอัตราการปล่อย150 ตัว/ตร.ม.ให้อาหาร 5% ของน้ำหนักตัวต่อวันเป็นระยะเวลา 75 วัน เมื่อสิ้นสุดการทดลอง พบว่าลูกปลานิลแดงที่อนุบาลด้วยอาหารที่เสริม ยีสต์ 0.5 และ 1.0% มีอัตราการเจริญเติบโตจำเพาะและอัตราการรอดสูงกว่าชุดควบคุม (P<0.05) ผลเมื่อสิ้นสุดการทดลองพบว่า ภูมิคุ้มกันแบบไม่จำเพาะของลูกปลานิลแดงในกลุ่มที่ได้รับอาหารที่เสริมยีสต์ 0.5% และ 1.0% มีปริมาณเม็ดเลือดขาวและซีรัมไลโซไซม์ สูงกว่าชุดควบคุม (P<0.05)
(5) การศึกษาประสิทธิภาพของปลานิลต่อการลดแพลงก์ตอนพืชในน้ำ และการลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในน้ำ โดยทำการทดลองเลี้ยงปลานิลขนาด 15.0 ? 0.95 กรัม ในถังพลาสติกขนาด 200 ลิตร อัตรา 30 ตัวต่อถัง เป็นระยะเวลา 10 วัน โดยใช้ความเข้มข้นแพลงก์ตอนพืชในรูปคลอโรฟิลล์ เอ 138.63?7.80, 359.42?25.80, 650.07?27.84 และ 1373.33?53.64 ไมโครกรัมต่อลิตร และได้ทำการทดลองเลี้ยงปลานิลขนาด 20.6?3.4 กรัม ในกระชังในบ่อเลี้ยงปลาเผาะที่ระดับความหนาแน่นปลานิล 0, 0.5 และ 1 ตัวต่อลูกบาศก์เมตร เป็นเวลา 6 เดือน ผลการศึกษาพบว่าปลานิลสามารถกรองกินสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินได้ทุกชุดการทดลอง และคลอโรฟิลล์ เอ มีปริมาณลดลง ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาการเลี้ยงปลานิลในกระชังในบ่อเลี้ยงปลาเผาะ โดยปลานิลสามารถกรองกินแพลงก์ตอนพืชในบ่อได้ ส่งผลให้ปริมาณกลิ่นไม่พึงประสงค์ (geosmin) ในน้ำลดลง จากผลการวิจัยในครั้งนี้จะเห็นได้ว่าปลานิลมีประสิทธิภาพในการกรองกินสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดกลิ่นโคลน ซึ่งลดการสะสมกลิ่นไม่พึงประสงค์ในน้ำได้
(6) การใช้ระบบชีววิถีเพื่อลดปริมาณสารกลิ่นสาบโคลนในเนื้อปลาดุก Clarias gariepinus (Linnaeus, 1758) เพื่ออาหารปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนี้ ทำการศึกษานาน 12 เดือน โดยแบ่งกลุ่มทดลองออกเป็น 3 กลุ่มๆละ 3 ซ้ำรวมทั้งหมด 9 ซ้ำ ดังนี้ กลุ่มที่ 1 บ่อคอนกรีตไม่ใช้เทคนิคชีววิถีผักตบชวา (บ่อควบคุม) กลุ่มที่ 2 บ่อคอนกรีตใช้เทคนิคชีววิถีผักตบชวา 30 เปอร์เซ็นต์ และกลุ่มที่ 3 บ่อคอนกรีตใช้เทคนิคชีววิถีผักตบชวา 50 เปอร์เซ็นต์ ผลการศึกษาพบว่า บ่อคอนกรีตที่ใช้เทคนิคชีววิถีทั้งสองกลุ่ม ไม่สามารถตรวจพบสารกลิ่นสาบโคลนทั้งสองชนิด แต่บ่อคอนกรีตที่ไม่ใช้เทคนิคชีววิถีผักตบชวา พบปริมาณสารกลิ่นสาบโคลนชนิด Geosmin เฉลี่ยระหว่าง 42.85 – 47.23 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม และ 2-methyl lisoborneol เฉลี่ยระหว่าง 0.781 – 0.915 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม ตามลำดับ
(7) เป็นการทดลองเลี้ยงปลานิลร่วมกับปลาช่อนในระบบน้ำหมุนเวียนแบบอควาโปนิกส์ในบ่อซีเมนต์ขนาด 1 x 1 x 1.5 เมตร รวมระยะเวลา 3 เดือน แบ่งการทดลองเป็น 4 ชุด ชุดการทดลองละ 3 ซ้ำโดยให้ชุดการทดลองที่ 1 เลี้ยงปลานิลเพียงอย่างเดียวที่อัตราความหนาแน่น 50 ตัว/บ่อ เป็นชุดควบคุม โดยใช้ปั๊มน้ำให้หมุนเวียนผ่านระบบอควาโปนิกส์และเติมอากาศตลอดเวลา ส่วนชุดการทดลองที่ 2,3 และ 4 เลี้ยงปลานิลร่วมกับปลาช่อนและระบบการปลูกพืชผักรวม 4 ชนิด (ผักกาดหอม ผักบุ้งจีน ขึ้นช่าย และมะเขือเทศ) โดยปล่อยปลาช่อน ความหนาแน่น 0, 15} 20 และ 25 ตัวต่อตารางเมตร ตามลำดับ เมื่อสิ้นสุดการทดลองพบว่า น้ำหนักปลานิลเมื่อสิ้นสุดการทดลองมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 155.94?14.38, 150.22?7.03, 149.09?9.58 และ 144.89?14.14 กรัม ตามลำดับ ปลานิลในชุดการทดลองที่ 1 ให้น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 78.57?3.09 กรัม ส่วนชุดการทดลองที่ 2, 3 และ 4 ให้น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ย เท่ากับ 74.12?8.81, 71.39?9.98 และ 68.38?2.19 กรัม ตามลำดับ ความยาวเมื่อสิ้นสุดการทดลองเท่ากับ 22.35?0.79, 21.43?0.48, 21.32?0.63 และ 21.27?1.51 เซนติเมตร ตามลำดับ อัตราการเจริญเติบโตต่อวัน มีค่าเฉลี่ย 0.87?0.77, 0.82?0.29, 0.79?0.33 และ 0.76?0.39 กรัมต่อวัน ตามลำดับ อัตราการรอดตายของปลานิลในชุดการทดลองที่ 1 สูงสุดคือ 98.25?0.70 % ในขณะที่ชุดการทดลองที่ 2, 3 และ 4 มีอัตราการรอดตายเท่ากับ 97.63?0.57 % , 97.41?0.38 % และ 97.26?0. 56 % ตามลำดับ ผลผลิตรวมมีค่าเท่ากับ 8.31?1.27, 7.84?1.54, 7.32?1.53 7.10?1.17 กิโลกรัม ตามลำดับ ปลาช่อนในชุดการทดลองที่ 2 ให้น้ำหนักเพิ่มสูงสุดที่ 80.91+5.06 กรัม ส่วนชุดการทดลองที่ 3 และ 4 ให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นเท่ากับ 79.34+4.84 และ 74.28+5.42 กรัม ตามลำดับ ความยาวเมื่อสิ้นสุดการทดลองเท่ากับ 21.58+3.1621.07+2.25 และ 20.40+2.70 เซนติเมตร ตามลำดับ อัตราการเจริญเติบโตต่อวันมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 0.80+0.09, 0.79+0.06 และ 0.73+0.07 กรัม/วัน ตามลำดับ อัตราการรอดตายของปลาช่อนในชุดการทดลองที่ 1 สูงสุดคือ 74.42+2.15 % ในขณะที่ชุดการทดลองที่ 2, 3 และ 4 มีอัตราการรอดตายเท่ากับ 64.54+3.12 และ 61.20+4.41 ตามลำดับ ผลผลิตรวมมีค่าเท่ากับ 1.10+0.12 , 1.03+0.33 และ 1.11+0.22 กิโลกรัม ตามลำดับ ด้านผลผลิตพืชผัก 4 ชนิด พบว่า ผักกาดหอมเมื่อสิ้นสุดการทดลอง ชุดการทดลองที่ 3 มีค่าสูงที่สุดที่ 209.29 กรัม รองลงมาคือชุดการทดลองที่ 4, 2 และ 1 ตามลำดับ มีค่าเท่ากับ 206.07, 205.09 และ 204.04 กรัมตามลำดับ ผลผลิตผักบุ้งของชุดการทดลองที่ 3 มีค่าสูงที่สุดที่ 339.23 กรัม รองลงมา คือชุดการทดลองที่ 2, 4 และ 1 ตามลำดับ มีค่าเท่ากับ 315.67, 306.0 และ 269.33 กรัมตามลำดับ ผลผลิตผักขึ้นช่ายของชุดการทดลองที่ 4 มีค่าสูงที่สุดที่ 202.70 กรัม รองลงมาคือชุดการทดลองที่ 2, 3 และ1 ตามลำดับ มีค่าเท่ากับ 200.19, 199.28 และ 194.84 กรัม ตามลำดับ และ ความสูงที่เพิ่มขึ้นของมะเขือเทศ ในชุดการทดลองที่ 4 ชุดการทดลองที่ 3 ชุดการทดลองที่ 2 และ ชุดการทดลองที่ 1 (ชุดควบคุม) มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 58.10?4.83, 52.67?5.44, 46.77?5.13 และ 45.80?5.64 เซนติเมตร ตามลำดับ (p<0.05) จากผลการทดลองในครั้งนี้สรุปได้ว่าอัตราส่วนที่เหมาะสมกับการเลี้ยงปลานิลร่วมกับปลาช่อน การปลูกพืชผัก 4 ชนิด อยู่ที่ 15 ตัวต่อตารางเมตร ที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นสูงสุด และมีอัตราการเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อต่ำสุด ซึ่งเหมาะที่จะนำอัตราส่วนนี้ไปเป็นแนวทางส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงปลานิลร่วมกับปลาช่อนและผลิตพืชผักให้กับเกษตรกร ผู้ประกอบการ หรือผู้สนใจ ในการเลี้ยงปลานิลเชิงพาณิชย์ในระบบน้ำหมุนเวียนแบบอควาโปนิกส์ให้มีคุณภาพได้มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับต่อไป
(8) การเลี้ยงกุ้งฝอยในระบบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยเลี้ยงร่วมกับปลา และพรรณไม้น้ำ มีวัตถุประสงเพื่อผลผลิตและความเป็นไปได้ในการเลี้ยงกุ้งฝอยร่วมกับสัตว์น้ำบางชนิดในบ่อที่มี และไม่มีพรรณไม้น้ำ และความคุ้มทุนทางเศรษฐศาสตร์ วิธีการทดลอง 1 ศึกษาผลผลิตของกุ้งฝอยที่เลี้ยงเดี่ยวและร่วมกับปลานิล ปลาตะเพียนขาว และปลาบู่ พบว่าผลผลิตกุ้งฝอยในบ่อที่เลี้ยงร่วมกับปลานิลมีผลผลิตสูงสุด รองลงมา คือการเลี้ยงกุ้งฝอยร่วมกับปลาตะเพียน การเลี้ยงกุ้งฝอยร่วมกับปลาบู่ การเลี้ยงกุ้งฝอยอย่างเดียว ส่วนผลผลิตของปลาที่เลี้ยงร่วมกับกุ้งฝอยพบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (p?0.05) โดยผลผลิตปลาในบ่อที่เลี้ยงกุ้งฝอยร่วมกับปลานิลมีผลผลิตสูงสุด รองลงมาคือการเลี้ยงกุ้งฝอยร่วมกับปลาบู่ การเลี้ยงกุ้งฝอยร่วมกับตะเพียน และการเลี้ยงกุ้งฝอยอย่างเดียว ผลการทดลองการทดลองย่อยที่ 2 ศึกษาผลผลิตของกุ้งฝอยที่เลี้ยงร่วมกับพรรณไม้น้ำ คือผักบุ้ง ผักกระเฉด และจอก พบว่าผลผลิตของกุ้งฝอยมีความแตกต่างกัน (p?0.05) โดยผลผลิตกุ้งฝอยในบ่อที่เลี้ยงร่วมกับจอกมีผลผลิตสูงสุดรองลงมาคือการเลี้ยงกุ้งฝอยร่วมกับผักกระเฉด การเลี้ยงกุ้งฝอยร่วมกับผักบุ้ง และการเลี้ยงกุ้งฝอยอย่างเดียว
(9) งานวิจัยนี้มุ่งศึกษาถึงผลของการถนอมรักษาอาหารโดยวิธีการทำแห้งต่อความสามารถในการต้านออกซิเดชันของสาหร่ายสไปรูลินา วิธีการทำแห้งในการวิจัยนี้มีด้วยกัน 5 วิธี ได้แก่ การทำแห้งด้วยตู้อบพลังงานแสงอาทิตย์ การทำแห้งด้วยตู้อบลมร้อน การทำแห้งด้วยตู้อบสุญญากาศ การทำแห้งด้วยเครื่องทำแห้งแบบฉีดพ่นฝอย และการทำแห้งด้วยเครื่องทำแห้งแบบแช่เยือกแข็ง ให้สาหร่ายสไปรูลินาแห้งที่ได้มีความชื้นไม่เกินร้อยละ 7.0 ซึ่งสอดคล้องตาม มผช. 542/2549 เรื่องสาหร่ายสไปรูลินาแห้ง ทำการเปรียบเทียบความสามารถในการต้านออกซิเดชันของสาหร่ายสไปรูลินาแห้งที่ได้ทั้ง 5 ตัวอย่างกับสาหร่ายสไปรูลินาแห้งที่มีจำหน่ายในทางการค้า 2 ตัวอย่าง ได้แก่ สาหร่ายสไปรูลินายี่ห้อ A และยี่ห้อ B พบว่าวิธีการทำแห้งด้วยตู้อบสุญญากาศทำให้มีปริมาณพอลิฟีนอลทั้งหมดมีค่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับตัวอย่างสาหร่ายสไปรูลินาแห้งที่ทำแห้งโดยวิธีอื่นและที่จำหน่ายในทางการค้า (p?0.05) โดยมีค่าเท่ากับ 10.30 มิลลิกรัมสมมูลย์ของกรดแกลลิก/น้ำหนักแห้ง 1 กรัม รองลงมาเป็นวิธีการทำแห้งด้วยตู้อบพลังงานแสงอาทิตย์และวิธีการทำแห้งด้วยตู้อบลมร้อนโดยมีค่าเท่ากับ 8.17 และ 7.74 มิลลิกรัมสมมูลย์ของกรดแกลลิก/น้ำหนักแห้ง 1 กรัม ส่วนสาหร่ายสไปรูลินาที่จำหน่ายในทางการค้า ยี่ห้อ A และยี่ห้อ B มีปริมาณพอลิฟีนอลทั้งหมดเท่ากับ 1.33 และ 0.96 มิลลิกรัมสมมูลย์ของกรดแกลลิก/น้ำหนักแห้ง 1 กรัม ตามลำดับ และจากการศึกษาขั้นต้นพบว่า 2 วิธีการทำแห้งที่มีปริมาณฟีนอลิคและความสามารถในการต้านออกซิเดชันสูงสุดจะนำมาศึกษาอายุการเก็บรักษา ซึ่งพบว่าตัวอย่างที่ทำแห้งด้วยตู้อบลมร้อน และทำแห้งด้วยตู้อบสุญญากาศถูกนำมาศึกษาอายุการเก็บร่วมกับสาหร่าย สไปรูลินาที่จำหน่ายในทางการค้า ยี่ห้อ A และยี่ห้อ B และพบว่า เมื่อเวลาผ่านไปทั้งคุณภาพ ปริมาณฟีนอลิค และความสามารถในการต้านออกซิเดชันมีแนวโน้มลดลง
ผลการนำความรู้ถ่ายทอดให้แก่เกษตรกรพบว่า มีการถ่ายทอดแก่เกษครกร ครั้งในจังหวัดเชียงใหม่ พะเยาและลำพูน ได้ตีพิมพ์และนำเสนอผลงาน 16 ชิ้น และได้ผลิตนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาและนักวิจัย รุ่นใหม่ จำนวน 6 คน มีการพัฒนาฐานเรียนรู้ คณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ จำนวน 2 ฐาน
คำสำคัญ: ปลานิล, in vitro digestibility, เอนไซม์ย่อยอาหารม สไปรูลินา, แคโรทีนอยด์, ดัชนีสมบูรณ์เพศ, ความดกไข่, ยัสต์, กระเทียม, กวาวเครือ, มะขามป้อม, โปรไบโอติก, ระบบภูมิคุ้มกันแบบไม่จำเพาะ, จีออสมิน, ระบบชีววิถี, ปลาดุก, ปลาช่อน, ระบบควาโปนิกส์, กุ้งฝอย, การทำแห้ง, ออกซิเดชัน, พอลิฟีนอล |
บทคัดย่อ (EN): |
The main objectives of the research on eco-friendly aquaculture for food safety and value added of fishery resources are 1) to develop the fisheries product to safety level and value added, 2) to transfer the findings to fish famers both farms and industrial level, 3) to serve on capacity building policy by training graduate students and young researchers and 4) to establish the prototypes on eco-friendly concept. The main project consists of 8 sub projects (SP). (1) This study determined the digestibility of local material feed for the purpose of developing feed for Nile Tilapia using an in vitro digestibility method. The digestibility of 15 types of local material feed: soybean milk meal, Spirulina, fish meal, katin meal, green beans, rice bran, brewer’s yeast, sunflower seed, peanuts, black beans, Enteromopha intestinalis, red kidney beans, soybean meal, swine manure from anaerobic digestion and broken rice. The results were found that the digestive enzymes from fingerlings could be digesting the highest carbohydrate in brewer’s yeast. The highest protein digestion was broken rice. The adult Nile Tilapia enzyme was found that the stomach enzyme could digest Enteromopha intestinalis. The intestine enzyme was found that the highest of carbohydrate digestion was soybean milk meal. The highest of protein digestion was Enteromopha intestinalis.
(2) The research aims to comparison: growth, nutrition value, pigments and water quality of Spirulina platensis individual habitats, in Eco friendly aquaculture. The Algae and Plankton Knowledge Base, Faculty of Fisheries Technology and Aquatic Resources, Maejo University. The three experiments: the first experiment of S. platensis individual habitats cultured in laboratory, the second experiment of S. platensis individual habitats cultured in the cement pond and the third experiment of S. platensis individual habitats cultured in raceway pond. The three experiments conducted CRD divided into three treatment, with 3 replications: 1). S. platensis commonly been cultured (T1 Spi.CMU1) 2) cultivation of S. platensis was native of central Thailand (T2 Spi.MJU1) and 3) the cultivation of S. platensis originated from Maejo University (T3 Spi.MJU2). The first experiment of S. platensis individual habitats cultured in laboratory to compare growth for a 90-day period: showed that T3 Spi.MJU2 with spiral cell, cell number, optical density, dry weight yield was 0.40 g/l and carotenoid more than T2 Spi.MJU1 and T1 Spi.CMU1 statistically significant (p0.05) in the temperature, pH, ammonia, nitrate and phosphorus among treatments. However, the value of nitrite was significant differences (p<0.05) ranging between 0.972 – 1.384 mg/l. The results showed that appropriate density of recirculating system Nile tilapia(50 fish/tank) and Striped snakehead fish aquaponics culture were 15 fish/tank. which trended to provide the highest mean weight gain with lowest food conversion ratio. The findings about suitable fish stocking density for recirculating aquaponic system will be promoted to farmers, entrepreneurs or anyone who are interested in commercially raising fish in recirculating system to meet quality standards.
(6) Use of the “Biological-Ways-of-Life” system (BWL) for earthy-musty odors reducing in the catfish , Clarias gariepinus (Linnaeus,1958), fillet for food safety and environmental friendly was conducted 12 months between January and December 2013 at the Faculty of Fisheries Technology and Aquatic Resource, Maejo University. The study was divided in 3 treatments and 9 replications ; Treatment 1 (control) was designed by without the BWL system, Treatment 2 was designed by the BWL system of 30 percentages of water hyacinth, and Treatment 3 was also designed by the BWL system of 50 percentages of water hyacinth, respectively. Result showed that both of the 2 treatments of BWL system were not detected geosmin and 2-methyl lisoborneol. In contrast to Treatment 1, which showed both of geosmin (42.85 – 47.23 microgram per kilogram) and 2-methyl lisoboeneol concentrations (0.781 – 0.915 microgram per kilogram), respectively.
(7) The presence of blue-green algae blooms in fish ponds can impart off-flavor to water and fish. The application of Nile Tilapia to control blue green algae is an attractive alternative because it is safer than using chemicals to kill algae. This study evaluated the effectiveness of Nile tilapia (Oreochromis niloticus) in reducing phytoplankton and off-flavor in algal-rich water contained in twelve 200-L polyethylene tanks for 10 days and in Thai panga ponds using varying densities (0, 0.5 and 1.0 m-3 density at an initial weight of 20.6?3.4 g) of Nile tilapia in cages for 6 months. Nile tilapias (15.0?0.95 g) were stocked at 30 fish per tank containing algal-rich water at 138.63?7.80, 359.42?25.80, 650.07?27.84 and 1373.33?53.64 ?g/L concentrations. Results show that Nile tilapia could filter blue-green algae and reduce chlorophyll-a concentrations in all treatments. Field experiments in Thai hybrid panga earthen ponds similarly showed that Nile tilapia in pond cages can feed on phytoplankton which led to the reduction of geosmin levels in water. These indicate that Nile tilapias are capable of controlling blue-green algae especially those that cause off-flavor, minimizing the accumulation of odors in water.
(8) A study on riceland prawn (Macrobrachium lanchesteri, de Man) cultured in Eco friendly system with some and aquatic plants in concrete tank. The purposes of this study were aim to know the production of riceland prawn and some fish cultured with some fish and some aquatic plants in concrete tank. The experiment was designed in Completely Randomized Design (CRD) with three replications. Two separate experiments were conducted to evaluate the production of riceland prawn and fish. Experiment 1 to study on the production of riceland prawn cultured without and with some fish. Four treatments were divided with consist of without and with tilapia, silver barb and sand goby fish. The result of this experiment showed the production of shrimp cultured with tilapia was significance higher (P<0.05) than with silver barb, sand goby and without fish by the total weight of shrimp were 83.33 ? 1.96 g , 63.67 ? 1.45 g , 50.00 ? 1.04 g , 38.17 ? 1.88 g, respectively. Experiment 2 to study on the production of riceland prawn cultured with some aquatic plants. Four treatments were divided with consist of without and with water morning glory, water mimosa, and water lettuce. The result of this experiment showed the production of shrimp cultured with water lettuce was significance higher (P<0.05) than water mimosa and water morning glory and without aquatic plant with the total weight of shrimp were 39.67 ? 2.33 g , 36.17 ? 2.03 g , 35.33 ? 0.88 g, 34.33 ? 0.67 g, respectively.
(9) This research aims to study the effect of preserving food by different drying methods on antioxidant activities of spirulina. The five different drying methods were employed in this study, i.e., solar drying, hot air oven drying, vacuum oven drying, spray drying and freeze drying. The algae, Spirulina is dried until the moisture contents did not exceed 7.0 percent in accordance with TCPS 542/2549 of dried Spirulina powder. The antioxidant activities of five dried spirulina samples were compared with two samples of commercially-available dried spirulina powder, namely brand A and brand B. It was found that dried spirulina powder with vacuum oven drying had the highest total polyphenol contents of 10.30 mg GAE/g dry weight when compared with others (p<0.05) followed by the samples with solar drying and hot air oven with a value equal to 8.17 and 7.74 mg GAE/g dry weight, respectively. The samples of brand A and brand B had the total polyphenol contents of 1.33 and 0.96 mg GAE/g dry sample, respectively. The two best samples, i.e. dried spirulina powder from hot air and vacuum drying, were carried out for keeping quality study compared with two commercial samples namely sample A and B. It was found that the qualities, total phenolic content and antioxidant activity of all dried spirulina samples decreased when storage time increased.
The knowledge dissemination to farmer were 1) technology transfers, conference presentation, publications, capacity builing of new researchers and graduate students and knowledge bases development. Local technology transfers had been done for 6 times. Two knowledge bases; Apply algae and phytoplankton knowledge base and freshwater prawn knowledge base had been established.
Key words: nile tilapia, in vitro digestibility, digestive enzyme, spirulina, carotenoids, gonodosomatic index (GSI), fecundity, Saccharomyces cerevisiae, garlic, White Kwao Krua, Red Kwao Krua, Indian gooseberry, probiotic, innate immune system, geosmin, biological-ways-of-life” system, catfish, striped snake-head fish, aquaponics system, Macrobrachium lanchesteri, drying, antioxidant, polyphenols |