สืบค้นงานวิจัย
กำลังรับแรงอัดอัดของก้อนของเสียหล่อแข็งกากตะกอนจากโรงชุบที่ใช้กากแคลเซียมคาร์ไบด์และเถ้าแกลบดำเป็นวัสดุยึดประสาน และใช้ปูนซีเมนต์ และโซเดียมซิลิเกตในการกระตุ้นปฎิกิริยาปอซโซลาน
สมเกียรติ หะยาจันทา - มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
ชื่อเรื่อง: กำลังรับแรงอัดอัดของก้อนของเสียหล่อแข็งกากตะกอนจากโรงชุบที่ใช้กากแคลเซียมคาร์ไบด์และเถ้าแกลบดำเป็นวัสดุยึดประสาน และใช้ปูนซีเมนต์ และโซเดียมซิลิเกตในการกระตุ้นปฎิกิริยาปอซโซลาน
ชื่อเรื่อง (EN): Compressive Strength of Plating Sludge Solidified Waste Using Calcium Carbide
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: สมเกียรติ หะยาจันทา
บทคัดย่อ: งานวิจัยนี้ศึกษากำลังรับแรงอัดและการรั่วไหลของโลหะหนักของก้อนของเสียหล่อแข็งกากตะกอน จากโรงชุบที่มีการใช้กากแคลเซียมคาร์ไบด์และเถ้าแกลบดำเป็นวัสดุยึดประสาน และใช้ปูนซีเมนต์ และโซเดียมซิลิเกตในการกระตุ้นปฏิกิริยาปอซโซลาน โดยมีตัวแปรในการศึกษา ได้แก่ 1) อัตราส่วน ระหว่างกากแคลเซียมคาร์ไบด์ : เถ้าแกลบดำ (70:30 60:40 50:50 และ 40:60) 2) ชนิดของสาร กระตุ้นปฏิกิริยาปอซโซลาน (ปูนซีเมนต์แทนที่ร้อยละ 10 และโซเดียมซิลิเกตเติมในปริมาณร้อยละ 2 โดยน้ำหนัก) และ 3) ปริมาณกากตะกอนจากโรงชุบ (ร้อยละ 0 30 และ 50 โดยน้ำหนัก) ผลการ ทดสอบแสดงให้เห็นว่า ก้อนของเสียหล่อแข็งที่มีอัตราส่วน กากแคลเซียมคาร์ไบด์ : เถ้าแกลบดำที่ 60:40 มีการพัฒนากำลังรับแรงอัดดีที่สุด การเติมโซเดียมซิลิเกตในประมาณร้อยละ 2 โดยน้ำหนัก ทำ ให้ก้อนของเสียหล่อแข็งมีค่ากำลังรับแรงอัดช่วงต้นดีกว่าในขณะที่การแทนที่ปูนซีเมนต์ในปริมาณ ร้อยละ 10 ทำให้มีค่ากำลังรับแรงอัดสูงที่อายุการบ่มหลังจาก 14 วัน การเติมกากตะกอนจากโรงชุบ เพิ่มขึ้มีผลให้ค่ากำลังรับแรงอัดมีค่าลดลงและมีค่าการรั่วไหลของโลหะหนักเพิ่มขึ้น เมื่อพิจารณา เกณฑ์มาตรฐานของการฝังกลบอย่างปลอดภัยแล้ว พบว่าก้อนของเสียหล่อแข็งที่มีกากตะกอนจากโรง ชุบในปริมาณร้อยละ 30 โดยน้ำหนักเท่านั้นที่มีกำลังรับแรงอัดผ่านเกณฑ์มาตรฐานตั้งแต่อายุ 3 วัน และมีปริมาณการรั่วไหลของโครเมียมไม่เกินกว่าเกณฑ์มาตรฐาน โดยไม่ต้องมีการกระตุ้นปฏิกิริยา ปอซโซลาน
บทคัดย่อ (EN): This research studied the compressive strength and leachability of solid waste which used Calcium Carbide residue and black rice husk ash mixture as binders and used ordinary Portland cement (OPC) and Sodium Silicate as Pozzolanic reaction activators. The parameters used in this study were 1) Calcium Carbide residue to black rice husk ash ratio (70:30, 60:40, 50:50, and 40:60), 2) types of Pozzolanic reaction activators (substitution of OPC by 10% or addition of Sodium Silicate by 2% of binder weight), and 3) plating sludge content (0, 30, and 50% by weight of solid waste). The results showed that the use of Calcium Carbide to black rice husk ash ratio of 60:40 gave the highest strength development and shortest setting time. The addition of Sodium Silicate by 2% gave the high early strength while the substitution of OPC by 10% gave the higher strength after 14 days. The increase of plating sludge content resulted in a reduction in compressive strength and an increase in leachability of solid waste. To meet standard for landfill safety, only solid waste with 30% of plating sludge content must be used, with or without Pozzolanic reaction activators, since the test results showed that both its 3-day compressive strength and its lecchability met standard requirement.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
คำสำคัญ: ก้อนของเสียหล่อแข็ง
เจ้าของลิขสิทธิ์: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
รายละเอียด: This research studied the compressive strength and leachability of solid waste which used Calcium Carbide residue and black rice husk ash mixture as binders and used ordinary Portland cement (OPC) and Sodium Silicate as Pozzolanic reaction activators. The parameters used in this study were 1) Calcium Carbide residue to black rice husk ash ratio (70:30, 60:40, 50:50, and 40:60), 2) types of Pozzolanic reaction activators (substitution of OPC by 10% or addition of Sodium Silicate by 2% of binder weight), and 3) plating sludge content (0, 30, and 50% by weight of solid waste). The results showed that the use of Calcium Carbide to black rice husk ash ratio of 60:40 gave the highest strength development and shortest setting time. The addition of Sodium Silicate by 2% gave the high early strength while the substitution of OPC by 10% gave the higher strength after 14 days. The increase of plating sludge content resulted in a reduction in compressive strength and an increase in leachability of solid waste. To meet standard for landfill safety, only solid waste with 30% of plating sludge content must be used, with or without Pozzolanic reaction activators, since the test results showed that both its 3-day compressive strength and its lecchability met standard requirement.
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
กำลังรับแรงอัดอัดของก้อนของเสียหล่อแข็งกากตะกอนจากโรงชุบที่ใช้กากแคลเซียมคาร์ไบด์และเถ้าแกลบดำเป็นวัสดุยึดประสาน และใช้ปูนซีเมนต์ และโซเดียมซิลิเกตในการกระตุ้นปฎิกิริยาปอซโซลาน
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
2556
อิทธิพลของชนิของสารกระตุ้นประเภทด่างที่มีต่อกำลังรับแรงอัดของก้อนของเสียหล่อแข็งกากตะกอนจากโรงชุบที่ใช้กากแคลเซียลคาร์ไบด์และเถ้าแกลบดำเป็นวัสดุประสาน การใช้ไทโอยูเรียในการสกัดทองจากแร่ชาโคไพไรด์และการดูดซับทองไทโอยูเรีย โดยใช้ Chlorella vulgaris และแกลบ การชะละลายของตะกั่วและกำลังรับแรงอัดจากการหล่อแข็งกากตะกอนของโรงงานแบตเตอรี่โดยใช้กากแคลเซียมคาร์ไบด์และขี้เถ้าแกลบ การเปลี่ยนแปลงตามเวลาของ Biogenic Silicate ในดินตะกอนบริเวณบางปะกงเอสทูรี สมบัติของก้อนหล่อแข็งกากตะกอนโลหะหนักที่ใช้ปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์และเถ้าแกลบดำเป็นวัสดุยึดประสาน กำลังอัดและความทนทานของคอนกรีตที่ใช้จากแคลเซียมคาร์ไบด์บดร่วมกับเถ้าชานอ้อยเป็นวัสดุประสาน ผลของสารตะกอนที่มีต่อการเก็บเกี่ยวสาหร่ายและการเจริญหลังการเก็บเกี่ยว การหล่อแข็งกากตะกอนตะกั่วโดยใช้ปูนซีเมนต์ขี้เถ้าแกลบและขี้เถ้าลอย ผลกระทบของขนาดอนุภาคขี้เถ้าแกลบและกากตะกอนของเสียจากโรงงานแบตเตอร์รี่ต่อกำลังรับแรงอัดและการชะละลายของแท่งหล่อแข็ง การตรึงกากตะกอนโลหะหนักโดยการกระตุ้นเถ้าแกลบด้วยสารเคมีและความร้อน : ความสามารถในการชะโลหะหนัก
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก