สืบค้นงานวิจัย
โครงการศึกษาชนิด/พันธุ์ไม้สนเพื่อปลูกเป็นสวนป่าและการอนุรักษ์ในพื้นที่โครงการหลวงวัดจันทร์
กอบศักดิ์ วันธงไชย - สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน)
ชื่อเรื่อง: โครงการศึกษาชนิด/พันธุ์ไม้สนเพื่อปลูกเป็นสวนป่าและการอนุรักษ์ในพื้นที่โครงการหลวงวัดจันทร์
ชื่อเรื่อง (EN): The study of pine species trails for economic and conservation at Watchan Royal Project
บทคัดย่อ: โครงการศึกษาชนิด/พันธุ์ไม้สนเพื่อปลูกเป็นสวนป่า และการอนุรักษ์ในพื้นที่โครงการหลวงวัดจันทร์ มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อที่จะศึกษาศักยภาพของพื้นที่ สถานภาพของไม้สนในพื้นที่ บ้านวัดจันทร์ ทั้งด้านปริมาณ และความต้องการใช้ไม้ รูปแบบการใช้ประโยชน์ รวมถึงศึกษาศักยภาพของไม้สนพื้นเมืองเปรียบเทียบกับไม้สนต่างถิ่น เพื่อส่งเสริมขยายผลการปลูกในพื้นที่ในอนาคต โดยทำการศึกษาบริเวณศูนย์พัฒนาโครงการหลวงวัดจันทร์ (หน่วยย่อยห้วยงู) อำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ และพื้นที่สวนป่าไม้สนของกรมป่าไม้ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยรายงานผลการดำเนินการในปีที่ 1 มีผลการศึกษาโดยสรุป ดังนี้ ผลการศึกษาสถานภาพพื้นที่จากการวางแปลงตัวอย่างวงกลม 33 แปลง พบว่า ไม้สนสองใบ มีค่าดัชนีความสำคัญสูงที่สุด รองลงมา ได้แก่ ยางเหียง รัก ก่อหม่น สารภีป่า ในขณะที่การสำรวจไม้รุ่น พรรณไม้ที่พบมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ ยางเหียง สนสองใบ ก่อแพะ ไคร้ และก่อหม่น ส่วนการสำรวจนับกล้าไม้ พบว่า พรรณไม้ที่พบมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ ก่อแพะ สนสองใบ กว้าว ยางเหียง และรัก ไม้สนสองใบที่สำรวจพบจากแปลงตัวอย่างจำนวน 33 แปลง มีจำนวน 507 ต้น โดยพบว่า มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางระหว่าง 4.5-98.4 เซนติเมตร และมีความสูงระหว่าง 2.3-40.5 เมตร ไม้สนมีความหนาแน่นเฉลี่ย 24.6 ต้นต่อไร สำหรับไม้หนุ่ม และลูกไม้ มีความหนาแน่นเฉลี่ย 17 และ 7.2 ต้นต่อไร่ ตามลำดับ ปริมาตรไม้สนในภาพรวมของพื้นที่หน่วยย่อยห้วยงู โดยคิดค่าเฉลี่ยต่อหน่วยพื้นที่จะมีปริมาตร เท่ากับ 16.217 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ มีมวลชีวภาพของส่วนที่อยู่เหนือพื้นดิน เท่ากับ 14.542 ตันต่อไร่ การแบ่งแปลงป่า เพื่อการวางแผนการตัดฟัน (compartment) ได้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 แปลง โดยใช้แนวถนน และอ่างเก็บน้ำเป็นขอบเขตพื้นที่ และได้มีการวางแผนการตัดฟัน (compartment) ทั้ง 2 พื้นที่ เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ไม้สนในแต่ละพื้นที่อย่างเหมาะสม และยั่งยืน โดยจากการแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 แปลง พบว่าในแปลงที่ 2 มีความหนาแน่นของ ไม้สนสองใบทั้งในส่วนของไม้ยืนต้น ไม้รุ่น และลูกไม้ อัตราการทดแทน อัตราการเติบโตที่มากกว่าแปลงที่ 1 และพื้นที่แปลงที่ 2 ยังพบการถูกเผาทำลาย เพื่อเก็บไม้เกี๊ยะไปใช้ประโยชน์มากกว่า แปลงที่ 1 ดังนั้นการเลือกตัดไม้ เพื่อใช้ประโยชน์ โดยพิจารณาจำนวนต้นที่ตัดจากขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ควรดำเนินการตัดฟันในพื้นที่แปลงที่ 2 ก่อน โดยเริ่มตัดจากไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่ถูกเผาทำลาย เพื่อเก็บไม้เกี๊ยะออกก่อน โดยพิจารณาจากปริมาณความต้องการใช้ไม้สน และเลือกจำนวนต้นที่เหมาะสมกับการตัดฟันจากตารางปริมาตรไม้ร่วมด้วย สมบัติของดินในภาพรวมของพื้นที่หน่วยย่อยห้วยงู พบว่า ดินเป็นดินร่วนปนทราย มีลักษณะเป็นกรดปานกลางถึงกรดจัด มีระดับอินทรียวัตถุที่ค่อนข้างสูง แต่ธาตุอาหารหลักของพืช ได้แก่ โพแทสเซียม และฟอสฟอรัสมีไม่มากนัก แต่มีปริมาณแคลเซียม และแมกนีเซียมที่เป็น ธาตุอาหารรองของพืชสูง ดินในพื้นที่มีความร่วนซุย และมีความลึกมาก ผลการศึกษาการพึ่งพิงทรัพยากรป่าไม้ของชุมชน จากการใช้แบบสอบถามสัมภาษณ์ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 315 ครัวเรือน พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุอยู่ในช่วง 20-39 ปี จบมัธยมศึกษาตอนปลาย มีสมาชิกครัวเรือนจำนวน 3-4 คน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรม มีที่ดินเพาะปลูกเฉลี่ย 5.5 ไร่ต่อครัวเรือน รายได้ครัวเรือนเฉลี่ย 67,148.20 บาทต่อปี รายจ่ายครัวเรือนเฉลี่ย 62,899.67 บาทต่อปี ส่วนใหญ่มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ในพื้นที่และระยะเวลาการตั้งถิ่นฐานอยู่ในช่วง 31-60 ปี ส่วนใหญ่ร้อยละ 58.1 มีความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ในระดับมาก กลุ่มตัวอย่างมีการพึ่งพิงทรัพยากรป่าไม้ ทั้งการใช้ไม้สร้างบ้าน ไม้ใช้สอย ไม้ฟืน และของป่า ส่วนการพึ่งพิงสัตว์ป่ายังมีอยู่น้อย การใช้ประโยชน์ไม้สนในรอบ 1 ปี พบว่า มีการใช้ไม้สนเพื่อสร้างบ้าน/ซ่อมแซม ต่อเติมบ้านค่อนข้างมาก เฉลี่ย 5.5 ต้นต่อครัวเรือน โดยเฉพาะไม้เกี๊ยะ มีปริมาณการเก็บเฉลี่ย 65.5 กิโลกรัมต่อครัวเรือน การศึกษาการใช้ประโยชน์จากไม้สนต้องดูคุณสมบัติด้านต่างๆ ของเนื้อไม้เป็นหลัก การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อหารูปแบบ และแนวทางการใช้ประโยชน์ไม้สนอย่างยั่งยืน โดยการศึกษาสมบัติของไม้สนพื้นเมือง และสนต่างถิ่นที่มีศักยภาพ เพื่อหารูปแบบการใช้ประโยชน์ ไม้สนในพื้นที่ศึกษา ได้แก่ สนสองใบ สนสามใบ สนคาริเบีย สนโอคาร์ปา และสนเทคูนูมานี่ ซึ่งไม้สนพื้นเมือง และสนต่างถิ่นทั้ง 5 ชนิด ถือว่าเป็นไม้ที่มีน้ำหนักเบาถึงปานกลาง ไม้สนต่างถิ่น เช่น สนคาริเบีย สนโอคาร์ปาและสนเทคูนูมานี่ จะมีค่าความแข็งแรง และความยึดหยุ่นมากกว่า สนพื้นเมืองพวกสนสองใบ และสนสามใบ อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบคุณสมบัติของสนพื้นเมือง จะเห็นว่าสนสามใบมีความแข็งแรงและความยึดหยุ่นดีกว่าสนสองใบ และเมื่อเปรียบเทียบคุณสมบัติของสนต่างถิ่นด้วยกันแล้วจะเห็นว่าสนโอคาร์ปามีคุณสมบัติที่โดดเด่นในแง่ของความแข็งแรง และความยึดหยุ่น ทั้งนี้อาจสรุปได้ว่า สนต่างถิ่นมีคุณสมบัติที่โดดเด่นในแง่ของการรับแรงเป็นโครงสร้างต่างๆ เช่น คาน ตง และโครงถักต่างๆ เป็นต้น ไม้สนต่างถิ่น และสนสามใบเหมาะที่จะใช้ทำเสาอาคาร เสาเข็ม คร่าวฝา และไม้รองหมอนรถไฟ เป็นต้น อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบค่าคุณสมบัติเชิงกลรอง เช่น ความแข็ง ความเหนียว ความต้านทานแรงฉีก และความต้านทานแรงถอนตะปู จะเห็นว่าไม้สนที่โดดเด่นยังเป็นสนต่างถิ่น และสนสามใบที่มีความเหมาะสนในการประโยชน์เป็นข้อต่อ ไม้พื้น และเครื่องเรือนต่างๆ ตามคุณสมบัติเชิงกลรองต่างๆ ในส่วนของการเตรียมกล้าไม้สน เพื่อปลูกทดสอบชนิดไม้ ได้ดำเนินการจัดหาเมล็ดไม้สน 5 ชนิด ได้แก่ เมล็ดสนสองใบ สนสามใบ สนคาริเบีย สนโอคาร์ปา และสนเทคูนูมานี่ ชนิดละ 2 ถิ่นกำเนิด โดยจะเน้นใช้เมล็ดพันธุ์ไม้สนต่างถิ่นที่เก็บได้จากถิ่นกำเนิดในประเทศไทย จากนั้นทำการเพาะเมล็ดไม้สนทั้ง 5 ชนิด พร้อมทั้งดูแลกล้าไม้ที่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) บ้านวัดจันทร์ ซึ่งกล้าไม้จะต้องอยู่ในแปลงเพาะชำประมาณ 6 เดือน เมื่อครบกำหนดจะปลูกกล้าในแปลง ซึ่งตรงกับช่วงต้นฤดูฝนในปีที่ 2 คือ ช่วงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2560 ส่วนการคัดเลือกพื้นที่สำหรับสร้างแปลงทดสอบชนิดไม้นั้น ได้คัดเลือกพื้นที่บริเวณหน่วยย่อยห้วยงู โดยกำหนดให้มี 4 ซ้ำ ในแต่ละซ้ำจะทำการหมายแนวเขตขอบแปลง ปักเสา เพื่อแบ่งแปลงเป็นหน่วยทดลอง จำนวน 10 หน่วยทดลอง/ซ้ำ โดยแต่ละหน่วยทดลองจะปลูกกล้าไม้ทั้งสิ้น 36 ต้น ใช้ระยะปลูก 3x3 เมตร โดยมีต้นไม้ที่อยู่รอบนอกเป็น buffer โดยจะเริ่มดำเนินการเตรียมพื้นที่ โดยตัดไม้ต่างๆ ออกยกเว้นไม้สนในเดือนมีนาคม-เมษายน พ.ศ. 2560
บทคัดย่อ (EN): The program “The study of pine for economic plantation and conservation at Wat Chan Royal Project” aimed to study the potential of the site as well as the pine status, i.e. productivity, increment, utilization, and timber consumption, for both indigenous and exotic pines. The study sites are located in Wat Chan Royal Project Development Center (Huai Ngoo substation), Galyani Vadhana district, Chiang Mai province, and pine genetic improvement experimental plots in Chiang Mai. The total study period is 5 years, starting from 2016 to 2020. The results below are of those studied in the 1st year. The results from 33 inventory sample plots showed that tree species with the highest IVI in this study area were Pinus. merkusii, Dipterocarpus obtusifolius, Melanorrhoea usitata, Lithocarpus elegans and Anneslea fragrans. The top five saplings were D. obtusifolius, P. merkusii, Quercus kerrii, Glochidion daltonii, and L. elegans, and the top five seedlings were Q. kerrii, P. merkusii, Tristania rufescens, D. obtusifolius and M. usitata The results from the 33 sample plots showed that there was 507 individuals of P. merkusii, which their dbh ranged from 4.5 to 98.4 cm and their height ranged between 2.3 to 40.5 m. Tree, sapling and seeding density of P. merkusii were 24.6, 17 and 7.2 individual/rai, respectively. Total volume and aboveground biomass of P. merkusii were 16.217 m3/rai and 14.542 tons/rai. The study area was stratified into two compartments based on physical attributes, including road and reservoir areas, for purposes of sustainable utilization. We found that pine trees, saplings, seedings and firewood were collected from Compartment 2 more than those in Compartment 1. This suggests that the timber harvesting by the communities should consider the number of trees based on tree diameter distributions and volume table, and trees that are most vulnerable to destruction from fire be selected first. A study of soil properties in this area found that the soil was sandy loam and strong to moderately acid. Organic matter levels were high but primary macronutrients, including potassium and phosphorus were not much. However, secondary macronutrients, including calcium and magnesium were high. The soil in the area is incoherent and deep. The results from the questionnaires interviewed 315 respondents in the study of dependence on forest resources of community found that the majority of respondents are male aged 20-39 years with a high school diploma. Their family members usually have 3-4 people and most of them are farmers with an average of 5.5 rais of agricultural area per household. These areas are the hometown for most of them and they have settled in the range of 31-60 years. Their average annual household income and expenditure was 67,148.20 baht/year and 62,899.67 baht/year, respectively. About 58.1 percent of the respondents have a good knowledge of forest resources conservation. Most of them (99.4%) depended on forest resources including using construction wood, woodlot, fuel wood and non-wood forest products. However, dependence of wildlife is very little. For the use of pine trees in a year round, it showed that the rate of pine use in housing or house repairing was quite high with an average of 5.5 pine trees per household. Especially, the wooden clogs were collected with an average of 65.5 kg per household. The study of pine timber utilization was considered from various wood properties. The purpose of this study was to investigate the guideline of proper pine use for sustained yield management. The five indigenous and exotic pine was used; P. merkusii, P. kesiya, P. caribaea, P. oocarpa, and P. tecunumanii. From the results, all pines in this study were low- to medium-density species. The exotic pines had more strength and stiffness than the indigenous pines. However, comparing properties within indigenous pines, the P. kesiya had more strength and stiffness than P. merkusii. For exotic pines, the P. caribaea had more strength and stiffnesss than others. In summary, the exotic pines were suitable for use as structural purposes such as roof framing, beam, column, wall framing and truss. When considering other minor properties, the exotic pines and P. kesiya can be used as joist or connector, floor framing and furniture. For pine seedling preparation, seeds from two provenance of five species of pine; P. kesiya, P. merkusii, P. caribaea P. oocarpa and P. tecunumanii were collected and propagated by using forest nursery at Ban Wat Chan Plantation, FIO. Seedling will remain in the nursery for 6 months after that will transplant in the trial on May 2017. Experimental site was selected with 4 blocks, edge of each replication was mark with a cements pole. Each replication consists of 10 experimental unit and each unit plant 36 trees with spacing 3 x 3 m. and will use 2 rows of pine as a buffer. Site preparation will start on March to April 2017 by remove all vegetation except big pine.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน)
คำสำคัญ: โครงการหลวงวัดจันทร์
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
โครงการศึกษาชนิด/พันธุ์ไม้สนเพื่อปลูกเป็นสวนป่าและการอนุรักษ์ในพื้นที่โครงการหลวงวัดจันทร์
สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน)
30 กันยายน 2559
การประเมินสายพันธุ์และเปรียบเทียบพันธุ์ถั่วแดงหลวง ในพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวง โครงการศึกษาชนิดไม้และการใช้ประโยชน์เพื่อการปลูกป่าชาวบ้าน สำรวจ รวบรวม อนุรักษ์เชื้อพันธุ์ไหมป่าเพื่อใช้ประโยชน์ การปลูกพืชสมุนไพรในสวนป่า การทดสอบพันธุ์กัญชงในพื้นที่โครงการหลวงที่มีระดับความสูงแตกต่างกัน การสำรวจและอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้ป่าในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ การยอมรับวิธีการปลูกพืชภายใต้มาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีและเหมาะสม (GAP) ของเกษตรกร ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงม่อนเงาะ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ โครงการอนุรักษ์พันธุ์กรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ การรวบรวมและอนุรักษ์พันธุ์ข้าว การถ่ายทอดและการยอมรับองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีการปรับปรุงดินในระดีบฟาร์มในพื้นที่โครงการหลวง
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก