สืบค้นงานวิจัย
โครงการวิจัยการศึกษาผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศต่อการผลิตพืชไร่และพืชทดแทนพลังงาน
กรมวิชาการเกษตร - กรมวิชาการเกษตร
ชื่อเรื่อง: โครงการวิจัยการศึกษาผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศต่อการผลิตพืชไร่และพืชทดแทนพลังงาน
ชื่อเรื่อง (EN): Climate Change Impact to Field and Energy Renewable Crop Production
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: กรมวิชาการเกษตร
บทคัดย่อ: กิจกรรมวิจัยที่ 1 เพื่อศึกษาผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อการผลิตพืชไร่และพืชทดแทนพลังงาน โดยสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง เป็นสาเหตุสำคัญให้ผลผลิตพืชไร่ลดลง ความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศที่เกี่ยวข้องนับวันจะรุนแรงมากขึ้น คาดการณ์ได้ยากขึ้น การศึกษาผลกระทบต่อการผลิตพืชจึงจำเป็นอย่างยิ่งในการใช้เพื่อปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลง โดยหาความสัมพันธ์กับภูมิอากาศ และมองหาแนวทางปรับเทคโนโลยีการผลิตให้เหมาะสม การศึกษาทำโดยการสำรวจ เก็บตัวอย่าง สัมภาษณ์เกษตรกรในแหล่งปลูกพืชไร่ที่สำคัญในพืชแต่ละชนิด จำนวน 5 ชนิด คือ ถั่วเขียว (ภาคเหนือตอนล่าง และภาคกลาง) ถั่วเหลือง (ภาคเหนือตอนบน) ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (ภาคกลาง: นครสวรรค์ และเพชรบูรณ์) ข้าวโพดหวาน (ภาคเหนือ และภาคกลาง) และงา (ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง) เพื่อให้ได้ข้อมูลเทคโนโลยีการผลิต การระบาด และการจัดการศัตรูพืช (แมลงศัตรู โรคพืช และวัชพืช) คุณภาพผลผลิต การวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยง การประเมินวัฏจักรชีวิตเพื่อศึกษาผลกระทบจากการปลูกพืชต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดำเนินการระหว่างปี 2557-2559 ผลการศึกษา พบว่า อุณหภูมิสูงสุด และต่ำสุดของทุกสถานที่ที่ศึกษา สูงขึ้นจากค่าปกติซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยของ 30 ปีฐาน (2514-2543) ที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้เสนอ แต่ปริมาณน้ำฝนรายปี มีทั้งที่น้อยกว่า และมากกว่าค่าปกติ แต่ที่แตกต่างชัดเจน คือ จำนวนวันฝนตกน้อยลง ดังนั้น การตกของฝนครั้งหนึ่ง ๆ จะมีปริมาณมากขึ้น ทำให้การจัดการผลิตพืชมีปัญหา กระทบผลผลิต และมีฝนทิ้งช่วงบ่อยขึ้น แมลงศัตรู พวกเพลี้ยอ่อน และเพลี้ยไฟ ระบาดมากในหลายพืช และการเริ่มต้นฤดูฝน แปรปรวน คาดการณ์ได้ยาก เกษตรกรมีการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีการผลิตเนื่องจากภูมิอากาศที่เปลี่ยนไป ได้แก่ ช่วงปลูกในฤดูฝนของถั่วเขียว จะปลูกก่อนเก็บเกี่ยวข้าวโพดที่ปลูกก่อน เพื่อใช้ความชื้นในดิน เกษตรกรไถเตรียมดินก่อนปลูก เพราะจะทำการคราดกลบเมล็ดที่หยอดไว้ได้เพื่อรักษาความชื้น ซึ่งปกติเกษตรกรไม่ได้เตรียมดิน การใช้สารเคมีป้องกันกำจัดแมลงศัตรูเพิ่มชนิดของสารเคมี และจำนวนครั้งของการพ่น การปลูกงาในสภาพก่อนนาจะปลูกในเดือนกุมภาพันธ์ โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเคยมีฝนหล่อเลี้ยงพอให้โตได้ แต่ปัจจุบันมักไม่มีฝนตกในช่วงดังกล่าว ทำให้เมล็ดงาที่ปลูกไม่งอก พื้นที่ปลูกงาจึงลดลง หรือในบางพื้นที่ปลูก เช่น ภาคกลาง เลื่อนการปลูกออกไปเป็นเดือนมีนาคม แมลงศัตรูมีการระบาดมากขึ้นในช่วงที่แล้งหรือฝนทิ้งช่วง ทำให้เกษตรกรต้องใช้สารเคมีกำจัดหลายชนิด และบ่อยครั้งขึ้น หรือเข้มข้นขึ้น แมลงศัตรูที่พบระบาด มีทั้งที่เป็นแมลงศัตรูหลัก (key pests) ของพืชนั้น ๆ และไม่ใช่แมลงศัตรูหลัก เช่นในถั่วเหลือง พบการทำลายของแมลงหวี่ขาว (เป็น key pests) หนอนกระทู้ผัก และหนอนม้วนใบ ในช่วงอากาศแห้งแล้ง ทั้งในฤดูฝน และฤดูแล้ง (2 ชนิดหลัง ไม่ได้เป็นแมลงศัตรูหลัก แต่เข้าทำลายได้ทุกฤดูในปัจจุบัน) ซึ่งอาจทำให้มีคำแนะนำการป้องกันกำจัดศัตรูพืชเพิ่มขึ้น แมลงศัตรูบางชนิดเคยทำลายที่ระยะกล้าระยะเดียว แต่ปัจจุบันตรวจพบการทำลายในระยะติดดอกด้วย เช่น หนอนแมลงวันเจาะลำต้นในถั่วเหลือง ด้านโรคพืช พบว่า สภาพภูมิอากาศที่มีความเหมาะสมกับการระบาดของโรคสำคัญ เกิดบ่อยขึ้นแม้ในฤดูที่ไม่เคยเกิด เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ในช่วงฝนตกหนักติดต่อกัน พบโรคใบจุด โรคจุดสีน้ำตาล โรคกาบและใบไหม้อย่างรุนแรง แต่ในช่วงที่มีอุณหภูมิสูง จะพบโรคราสนิม และโรคใบไหม้แผลใหญ่บ้าง พืชงา พบโรคใบจุดจากเชื้อรา Curvularia sp. ซึ่งไม่เคยเข้าทำลายมาก่อน โดยพบในสFigureมีอุณหภูมิระหว่าง 23–37 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศ 73-89% ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน แม้จะไม่กระทบกระเทือนถึงผลผลิต ก็ควรได้บันทึกไว้เพื่อการเฝ้าระวังในสภาพอากาศที่เกิดขึ้น และวางแผนการป้องกันกำจัด การศึกษานี้เป็นข้อมูลสำคัญที่นักวิจัยจะใช้วางแผนปรับการป้องกันโรคได้โดยอาจใช้และผลิตพันธุ์ต้านทานโรคต่าง ๆให้เหมาะสม ส่วนการระบาดของวัชพืชในพืชไร่ ยังไม่เห็นชัดว่ามีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอย่างไร พบการระบาดของวัชพืชใบแคบ ใบกว้าง และกก มากน้อยตามสภาพพื้นที่ ความชื้นดินในฤดูปลูก และการป้องกันกำจัดในระยะสำคัญของเกษตรกร แต่ถ้าแยกเป็นวัชพืชประเภท C3 และ C4 พบว่า ประเภท C4 พบมากกว่า (ในสภาพความเข้มข้นของ CO2 สูงขึ้น พืช C4 จะเจริญเติบโตได้ดีกว่าพืช C3) กิจกรรมที่ 2 การศึกษาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศต่อการตอบสนองทางสรีรวิทยา เทคโนโลยีการผลิต และคุณภาพผลผลิตของพืชไร่และพืชทดแทนพลังงาน กิจกรรมที่ 2 เป็นการศึกษาการตอบสนองของพืชไร่ต่อสภาพการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบ ได้แก่ การทนต่อขาดน้ำของข้าวโพดหวาน ช่วงการปลูกที่เหมาะสมของข้าวโพดหวาน และงา และการระบาดของโรคมันสำปะหลังในสภาพไร่ในช่วงต่าง ๆของปี เพื่อหาวิธีการปรับตัวของการปลูกพืช โดยทำในศูนย์วิจัย การศึกษาเรื่องช่วงปลูกในฤดูแล้ง วางแผนการทดลองแบบ RCB 3-4 ซ้ำ กรรมวิธีประกอบด้วยช่วงปลูกตั้งแต่ปลายเดือน พ.ย. ถึงต้นเดือน เม.ย. ในข้าวโพดหวาน (ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่ชัยนาท) และเดือน พ.ย.ถึง มี.ค. ในงาฤดูแล้ง และเดือน เม.ย. ถึง ก.ย. ในงาฤดูฝน (ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี) วันปลูกห่างกัน 15 วัน การให้ปุ๋ยข้าวโพดหวานในสภาพขาดน้ำ (ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่ชัยนาท) วางแผนการทดลองแบบ Split plot design มี 3 ซ้ำ Main plot คือ ระดับน้ำในดิน 2 ระดับ คือ 1) Control ข้าวโพดที่ปลูกได้รับน้ำพอเพียงตลอดฤดูปลูก 2) สภาพขาดน้ำ ที่อายุ 14 28 และ 34 วันหลังงอก และเริ่มให้น้ำพอเพียงอีกครั้งตั้งแต่อายุ 35 วันหลังงอก Subplot ประกอบด้วยการใส่ปุ๋ย N และ P2O5 ให้กับข้าวโพดในระยะฟื้นตัว โดยใส่ที่ 2 วันหลังเริ่มฟื้นตัว (37 วันหลังงอก) 4 ระดับ ได้แก่ 1) ไม่ใส่ปุ๋ย N และ P 2) ใส่ปุ๋ย N อย่างเดียว อัตรา 15 กิโลกรัม N/ไร่ 3) ใส่ปุ๋ย P อัตรา 15 กิโลกรัม P2O5/ไร่ 4) ใส่ปุ๋ย N และ P อัตรา 15 และ 15 กิโลกรัม N และ P2O5/ไร่ เรื่องการขาดน้ำของงา (ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่อุบลราชธานี) วางแผนการทดลองแบบ RCB มี 4 ซ้ำ กรรมวิธี คือ ช่วงอายุของงาที่ขาดน้ำ (โดยงดให้น้ำ) มี 9 กรรมวิธี ได้แก่ การงดให้น้ำเมื่อต้นงาอายุ 14 21 28 35 42 49 56 63 และ 70 วันหลังงอก และเรื่องการประเมินการระบาดของโรคมันสำปะหลังในสภาพไร่ (ที่ศูนย์วิจัยพืชไร่ระยอง) โดยปลูกมันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 5 ระยอง 9 ระยอง 11 และเกษตรศาสตร์ 50 และสุ่มประเมินโรคพันธุ์ละ 50 ต้น ได้แก่ โรคใบไหม้ โรคแอนแทรกโนส และโรคใบจุดสีน้ำตาล สัปดาห์ละ 1 ครั้ง จนถึงเก็บเกี่ยว ระดับการประเมินโรคใบจุดสีน้ำตาล 3 ระดับ โรคใบไหม้ 5 ระดับ และโรคแอนแทรกโนส 5 ระดับ ผลการทดลองในข้าวโพดหวาน สรุปได้ว่า 1) ช่วงปลูกข้าวโพดหวานในฤดูแล้งที่ให้ผลผลิตสูง สามารถปลูกได้ตั้งแต่กลางเดือน พ.ย.ถึงต้นเดือน ก.พ. ผลผลิตเฉลี่ย 2,798-3,673 กก./ไร่ ในปี 2557 และ 1,843-3,234 กก./ไร่ ในปี 2558 และไม่ควรปลูกตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป เพราะได้ผลผลิตต่ำ 2) การปลูกข้าวโพดหวานในดินร่วนปนเหนียว ในฤดูแล้ง ช่วงเดือน พ.ย.ถึง ม.ค. หากข้าวโพดหวานประสบภาวะขาดน้ำ ในช่วงอายุ 14-35 วัน การใส่ปุ๋ยไนโตรเจน อัตรา 15 กิโลกรัม N ต่อไร่ หรือปุ๋ยไนโตรเจนร่วมกับปุ๋ยฟอสเฟต อัตรา 15-15 กิโลกรัมของ N-P2O5 ตามลำดับ ในช่วงที่ข้าวโพดฟื้นตัวจากการให้น้ำ (อายุ 37 วันหลังงอก) ช่วยทำให้ข้าวโพดหวานให้ผลผลิตคุ้มค่ากับการลงทุน โดยให้ผลผลิตฝักทั้งเปลือก 2,733-2,919 กก./ไร่ และ 2,654-3,319 กก./ไร่ ตามลำดับ ในมันสำปะหลัง ปี 2557/2558 พบการเกิดโรคใบไหม้ และใบจุดสีน้ำตาลมากกว่าในปี 2558/2559 และ 2559/2560 การเกิดโรคมีความสัมพันธ์กับปริมาณฝนที่ตกและอายุของมันสำปะหลัง ช่วงเดือน ก.ค. ถึงเดือน พ.ย. 2557 พบปริมาณโรคใบไหม้มากที่สุด ในพันธุ์ระยอง 5 ในระดับความรุนแรง โดยเริ่มตั้งแต่อายุ 1-2 เดือน และในเดือน ก.ค.- ส.ค.ที่มีฝนตกมาก ส่วนโรคใบจุดสีน้ำตาล พบมากในพันธุ์ระยอง 5 และเกษตรศาสตร์ 50 และพบระบาดในช่วงหลังจากเดือน ต.ค. เป็นต้นไป เพราะมันสำปะหลังมีทรงพุ่มใหญ่ทำให้มีความชื้นใต้ทรงพุ่ม ผลผลิตหัวสดของพันธุ์เกษตรศาสตร์ 50 สูงที่สุด 3,991 กก./ไร่ ส่วนพันธุ์ระยอง 5 ระยอง 9 และระยอง 11 มีผลผลิตหัวสดไม่แตกต่างกันเฉลี่ย 3,209 3,084 และ 2,799 กก./ไร่ แต่ %แป้งในหัวสดของพันธุ์ระยอง 9 และระยอง 11 สูงที่สุดเท่ากับ 23.4 และ 24 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ไม่พบการระบาดของโรคแอนแทรกโนส การศึกษาในงา พบว่า 1) การปลูกงาในฤดูแล้งที่เหมาะสม คือ ช่วงกลางเดือน ก.พ.ถึงกลางเดือน มี.ค. โดยให้ผลผลิตสูงสุด 61.7-103.0 กก./ไร่ ในปี 2557 และในปี 2558 ปลูกปลายเดือน มี.ค. ให้ผลผลิตสูงสุด 94.0 กก./ไร่ โดยทั้ง 2 ปี การปลูกเดือน มี.ค. งาให้ความสูง และน้ำหนักต้นแห้งต่อต้นสูงที่สุดด้วย เฉลี่ย 140 ซม. และ 13.1-15.6 กรัมต่อต้น ส่วนการปลูกงาในฤดูฝนที่เหมาะสม คือ กลางเดือน เม.ย. ถึงต้น พ.ค. และต้นเดือน ก.ย. ในปี 2557 ให้ผลผลิตสูงสุด 67.0-68.7 และ 54.0 กก./ไร่ ตามลำดับ ส่วนปี 2558 ปลูกกลางเดือน เม.ย. ให้ผลผลิตสูงสุด 64.3 กก./ไร่ และปลูกช่วงต้นเดือนถึงกลางเดือน พ.ค. ให้ความสูงต้นสูงสุด 155 ซม. ค่าความร้อนสะสม (growing degree days: GDD) ที่เหมาะสมในการปลูกงา (ช่วงที่ให้ผลผลิตสูงสุด) อยู่ในช่วง 860-1,250 องศาเซลเซียส 2) สำหรับการปลูกงาเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ ในช่วงฤดูแล้ง วันปลูกที่เหมาะสม คือ ปลายเดือน ม.ค. ถึงกลางเดือน ก.พ. ซึ่งทำให้ได้ผลผลิตและเมล็ดมีคุณภาพดีที่สุด โดยผลผลิต 36-54 กก./ไร่ ให้ความงอก 85-94% ค่าความร้อนสะสม (growing degree days: GDD) ในช่วงนี้อยู่ในช่วง 918-1,011 องศาเซลเซียส ส่วนในฤดูฝน ไม่สามารถปลูกเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ได้ จนกว่าจะถึงต้นเดือน ส.ค. และต้นเดือน ก.ย. ซึ่งให้ความงอกสูงสุด 89-91% แต่ให้ผลผลิตต่ำมาก 10-30 กก./ไร่ การปลูกในฤดูฝนตั้งแต่เดือนเมษายน เป็นต้นมา ให้ความงอกของเมล็ดต่ำ เพราะเมล็ดยังมีการพักตัวหลังเก็บเกี่ยว 3) การศึกษาขาดน้ำของงาตั้งแต่อายุ 14 -70 วันหลังงอก ไม่มีผลให้ผลผลิตงาแตกต่างกัน เนื่องจากมีฝนตกมาสมทบตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม และเมษายน และการขาดน้ำในช่วงระยะแรกของการเจริญเติบโต (14-35 วันหลังงอก) ต้นงาจะชะงักการเจริญเติบโต ต้นเตี้ย และให้ผลผลิตไม่เต็มที่ กิจกรรมวิจัยที่ 3 การศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตพืชไร่และพืชทดแทนพลังงาน เพื่อการปรับตัวในภาวะการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เพื่อศึกษาผลของดินขาวเกาลินในการให้ผลผลิต และคุณภาพผลผลิตของมันสำปะหลัง รวมทั้งลดการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช จึงทำการทดลองขึ้น 4 การทดลอง โดยวางแผนการทดลองแบบ RCB (Randomized Complete Block Design) มี 4 ซ้ำ 7 กรรมวิธี คือ 1) ไม่มีการพ่นสารใดๆ 2) พ่นน้ำเปล่า 3) ฉีดพ่นสารไทอะมีโทแซม (25% WG) 4 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร 4-7) พ่นดินขาวเกาลินอัตรา 20 40 60 และ 80 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ใช้มันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 5 และระยอง 9 ระยะปลูก 1x 1 เมตร พื้นที่แปลงย่อย 8x5 เมตร ทุกกรรมวิธีใส่ปุ๋ยเคมีเกรด 15-7-18 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ เมื่อมันสำปะหลังอายุ 1 เดือน กรรมวิธีที่ 2-7 พ่นสารต่าง ๆทุกเดือน จำนวน 6 ครั้ง การทดลองที่ 1 วัดอุณหภูมิผิวใบ และการเจริญเติบโตด้านความสูงต้น ทุกเดือน การทดลองที่ 2 วัดการให้ผลผลิต และคุณภาพผลผลิต (%แป้ง) การทดลองที่ 3 ตรวจวัดการระบาดของแมลงศัตรู คือ เพลี้ยแป้ง ไรแดง และแมลงหวี่ขาวใยเกลียว และการทดลองที่ 4 ตรวจวัดการระบาดของโรคมันสำปะหลัง ได้แก่ โรคใบไหม้ โรคใบจุดสีน้ำตาล และโคแอนแทรกโนส ใน 3 สภาพแวดล้อม คือ ศูนย์วิจัยพืชไร่ระยอง ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรสุโขทัย และศูนย์วิจัยพัฒนาเมล็ดพันธุ์พืชพิษณุโลก ทุกการทดลองเก็บเกี่ยวผลผลิตมันสำปะหลังเมื่ออายุ 12 เดือน ดำเนินการในปี 2557-2559 ผลการทดลอง พบว่า การพ่นเกาลินอัตรา 20 40 60 และ 80 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ทุกเดือนหลังปลูก เป็นเวลา 6 เดือน ไม่เห็นผลกระทบที่ชัดเจนต่ออุณหภูมิผิวใบ และการเจริญเติบโตของมันสำปะหลัง โดยอุณหภูมิผิวใบแปรปรวนไปตามอุณหภูมิของอากาศ อยู่ระหว่างอุณหภูมิสูงสุด และต่ำสุดของวัน โดยการพ่นดินขาวเกาลินไม่มีผลควบคุมอุณหภูมิผิวใบ ส่วนความสูงของมันสำปะหลังไม่แตกต่างกันทางสถิติ ทุกกรรมวิธี ทั้งการพ่นเกาลิน ไม่พ่นสารใด ๆ พ่นด้วยน้ำ และการใช้สารเคมีกำจัดแมลง thiamethoxam ทั้งในพันธุ์ระยอง 5 และระยอง 9 ทั้ง 3 สถานที่ ด้านการให้ผลผลิต การพ่นเกาลิน ให้ผลผลิตหัวสดมันสำปะหลัง ไม่แตกต่างจากกรรมวิธีพ่นสารเคมี thiamethoxam การพ่นด้วยน้ำ และไม่พ่นสารใด ๆ โดยพันธุ์ระยอง 5 ให้ผลผลิตหัวสด ในช่วง 1.5-16.2 กก./ไร่ และพันธุ์ระยอง 9 ให้ผลผลิตหัวสด ในช่วง 5.8-15.7 กก./ไร่ เปอร์เซ็นต์แป้งของพันธุ์ระยอง 5 อยู่ในช่วง 20.4-28.1% พันธุ์ระยอง 9 อยู่ในช่วง 26.7-30.1% และดัชนีการเก็บเกี่ยวของพันธุ์ระยอง 5 อยู่ในช่วง 0.42-0.65 ส่วนพันธุ์ระยอง 9 อยู่ในช่วง 0.53-0.66 ใน 3 สถานที่ ด้านการป้องกันแมลงศัตรู การใช้ดินขาวเกาลินพ่น ไม่มีผลให้การเข้าทำลายของแมลงศัตรูมันสำปะหลังทั้ง 3 ชนิด คือ เพลี้ยแป้ง ไรแดง และแมลงหวี่ขาวใยเกลียว แตกต่างกัน เนื่องจากพบการเข้าทำลายของศัตรูพืชในแต่ละกรรมวิธีมีปริมาณใกล้เคียงกัน โดยเพลี้ยแป้ง ไรแดงจะระบาดมากในช่วงที่อากาศแห้งแล้ง ฝนทิ้งช่วง เช่น ในเดือนเมษายน-พฤษภาคม เดือนธันวาคม-เมษายน เป็นต้น แต่แมลงหวี่ขาวใยเกลียว พบระบาดได้ทั้งในช่วงแล้ง และมีฝนตก และด้านการควบคุมโรค พบว่า การพ่นเกาลิน ไม่มีผลต่อการควบคุมโรคใบไหม้ และ โรคใบจุดสีน้ำตาล และไม่เพิ่มผลผลิต เมื่อเปรียบเทียบกับการพ่นสารเคมี thiamethoxam การพ่นด้วยน้ำ และไม่พ่นสารใด ๆ โดยการเกิดโรคอยู่ในปริมาณใกล้เคียงกัน ซึ่งทั้ง 2 โรคจะระบาดมากในช่วงที่มีฝนตก ทำให้ใต้ทรงพุ่มมีความชื้น เช่นเดียวกันทั้ง 3 สถานที่ทดลอง ดังนั้น การใช้ดินขาวเกาลินพ่นต้นมันสำปะหลัง อาจนำมาใช้ในการผลิตมันสำปะหลังได้ โดยไม่ต้องใช้สารเคมีกำจัดแมลง thiamethoxam เพื่อลดการใช้สารเคมี หรือเพียงการพ่นด้วยน้ำก็ให้ผลผลิตได้ดี แต่ยังขาดการคิดผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ที่จะช่วยให้ตัดสินใจเลือกวิธีการได้ดีขึ้น หากมีการศึกษาต่อไป ควรศึกษาเชิงลึกทางสรีรวิทยาพืชว่ามีผลต่อการทนแล้งของพืชหรือไม่
บทคัดย่อ (EN): The study was carried out during 2014 and 2016 to identify the effect of climate change on field and energy renewable crops production in farmer level in the major cropping areas of each crop. The objectives were lied on the change in farmer’s production technology to adapt to the situation, insect pest, crop disease occurrence, weed incidence, yield quality, risk analysis in crop production and Life Cycle Assessment (LCA) of some field crops. Economic crops studied were composed of mungbean, soybean, field corn, sweet corn and sesame. The tools for the study were surveying, interviewing with questionaire, sampling and climatic data collection both primary and secondary. Target sites for each crop were considered based on major cropping areas in the country, mungbean in the Lower North and Central, soybean in the Upper North, corn in the Central (Nakhon Sawan and Phetchabun), sweet corn in the Upper North and Central and sesame in the North, Northeast and Central. The results showed that change in concerning climate was realized by higher maximum and minimum temperatures than normal (30 based year average: 1971-2000), both lower and higher annual rainfall, less number of annual rainy days causing heavier rain each time, finally, waterlogging and lower yield. Rainfall pattern have varied to unexpectable amount and start in the dry, early rainy and late rainy seasons, frequent dry spells during rainy season. Farmer’s adaptation in production technology already happened such as shifting planting date until there was rain in sesame, sowing mungbean before harvesting corn in relay cropping to use soil moisture left, soil preparation before growing mungbean, more frequent chemical insecticide spraying. It was found that aphids and thrips always appeared in several crops grown in drought condition such as in soybean (Mae Hong Son), sesame, sweet corn and drought often occurred many times in a year. Leaf roller was not an important key pest for soybean but it occurred in every year including white fly which is a key one. Climatic change promoted several diseases in field corn, Curvularia leaf spot, maize dwarf mosaic, brown spot, banded leaf and sheath blight, southern corn leaf blight, southern rust, downy mildew, charcoal stalk rot, bacterial stalk rot, Penicillium and Fusarium ear rot and smut. Disease severity ranged from low to moderate depending on weather conditions within locations. Leaf spot, brown spot and banded leaf and sheath blight were found to be more severe in heavy rainfall or continuous rain. Curvularia leaf spot attacked sesame for the first time in Mae Hong Son. Weed occurrence did not show major relationship with climatic change but was well known to be important constraint for cropping in the Tropic which needed to control. Possible relationship could be the more growth of C4 weed in the higher concentration of CO2 than C3 weed and shift of some weeds’ habitat to higher topography. This study provided useful data for adaptation to climate change condition and need more and longer studies. In this sub-project, the objective was to study the response of field crops and improve the crop production to adapt to climate change. The experiments were carried out in the Research Centers on sweet corn (Chai Nat Field Crops Research Center), cassava (Rayong Field Crops Research Center), and sesame (Ubon Ratchathani Field Crops Research Center). They consisted of 6 experiments of planting date studies in the dry and rainy seasons, yield response in drought condition and accompanied fertilization (sweet corn and sesame) and cassava disease incidence all year round. The first one was planting date study in the dry season of sweet corn (2014-2015), RCB with 4 replications of 10 treatments, planting from November 15 – April 1 at 15- day interval. From two year experiments, it was showed that mid-November planting to beginning of February was optimum planting date range for sweet corn as it provided highest fresh ear yield (with husk) of 2,798-3,673 and 1,843-3,234 kg/rai and planting from mid-February was not recommended because of giving low yield. The second experiment was the response of sweet corn to drought and N and P fertilization in 2014-2015. Split plot design was applied with 3 replications. Main plot was surface ground water level of 2 levels, (1) sufficient water for sweet corn growing season (control) and (2) induced drought condition (by stop watering at 14, 28 and 34 days after emergence (DAE) and water sufficiently again after 35 DAE. Subplot was N and P fertilization practices in the recovery stage or at 37 DAE of 4 levels i.e. (1) no N and P fertilizers (2) 15 kg/rai of N fertilizer (3) 15 kg/rai of P2O5 fertilizer (4) 15 - 15 kg/rai of N and P2O5 fertilizer. Sweet corn was sown in November and harvested in February. It was concluded that after sweet corn was in drought during 14-35 DAE, fertilization with 15 kg/rai of N fertilizer or 15 - 15 kg/rai of N and P2O5 fertilizers was recommended at the recovery stage (37 DAE) as this provided worthy high yield (2,654-3,319 kg/rai of fresh ear with husk). The third experiment was cassava diseases evaluation in the field which was conducted in 2014-2015. It was done without experimental design but by growing 4 cassava varieties, Rayong 5, Rayong 9, Rayong 11 and Kasetsart 50, in large plots and evaluated disease incidence randomly every month until harvesting. The cassava diseases interested were cassava bacterial blight, cassava brown leaf spot and anthracnose. It was revealed that bacterial blight and brown leaf spot attacked cassava in 2014 more than in 2015 and 2016. The reason was more rainfall amount in 2014 (1,381.6 mm) than in 2015 (1,228.5 mm) and 2016 (1,119.8 mm) causing higher humidity in the cassava canopy. The more mature cassava was, the more leaf blight attacked. Leaf blight was found in July to August most and Rayong 5 variety was more susceptible than the others. Brown leaf spot occurred in October onwards and Rayong 5 and Kasetsart 50 were more susceptible than the others. Anthracnose was not found in the experiments. The fourth and fifth experiments were planting date in the dry and rainy seasons of sesame for grain and seed in 2014-2015. RCB with 3 replications was applied and red seeded Ubon Ratchathani 84-4 sesame variety was studied. There were 10 treatments of planting date from mid-November to end of March, 15-day interval for the dry season and from mid-April to end of August for the rainy season. It was found that mid-February to mid-March planting was suitable for sesame in the dry season according to higher yield, 61.7-103.0 kg/rai, in 2014 but end of March planting was good in 2015 (yielded 94.0 kg/rai). In the rainy season, mid-April to beginning of May (64.3-68.7 kg/rai) and beginning of September (54.0 kg/rai) plantings gave higher sesame yield in 2014 and 2015. Growing degree days (GDD) suitable for planting sesame effectively was in the range of 860-1,250?C (planting to harvesting). For sesame seed production, planting on the end of January to mid-February was optimal in the dry season as providing higher yield and seed germination (36-54 kg/rai and 85-94% of germination). The beginning of September planting was optimal for sesame seed production in the rainy season (low yield of 10-30 kg/rai but 89-91% of germination) whereas the other planting dates from April to August gave higher seed yield with very poor germination). The sixth experiment was to study sesame growth and yield response in drought condition by applying RCB with 4 replications and 9 treatments of the start of drought by stop watering in the dry season at 14, 21, 28, 35, 42, 49, 56, 63 and 70 DAE. It was concluded that drought happened from 14-35 DAE caused slow growth, stunt and low yielding. To study the effect of kaolin-clay in producing cassava without or less chemical pesticides, four experiments were conducted in 3 sites, Rayong Field Crops Research Center, Sukhothai Agricultural Research and Development Center and Phitsanulok Seed Research and Development Center in 2014-2016. There were reports that kaolin-clay could reduce some insect egg laying, reducing dragon fruit disease, promote crop photosynthesis and yielding in apple, grapefruit and mango. RCB was applied to the experiment with 4 replications and 7 treatments of spraying substances, consisting of 1) not spray anything 2) spray water 3) spray insecticide thiamethoxam (4 g/ 20 l) 4-7) spray kaolin-clay at the rate of 20 40 60 and 80 g/ 20 l of water. Cassava varieties studied were Rayong 5 and Rayong 9, plant spacing was 1x1 m. Plot size was 8x5 m and 15-7-18 of N-P2O5-K2O for 50 kg/rai was applied to each treatment at 1 month age. The spraying was done every month for 6 months. Data collected were leaf surface temperature and plant height each month until harvest for the first experiment, yield and starch percentage for the second one, insect pests occurrence for the third one and cassava diseases incidence for the fourth one. Climatic data in the experimental sites were also collected. It was concluded that all rates of kaolin spraying could not control leaf surface temperature as it varied in between maximum and minimum temperatures in every treatment. Plant height was not significantly different for all type of sprayings. For yield and yield quality, kaolin did not cause any statistical difference in cassava yield, % starch and harvest index (HI). Cassava yield was lied between 1.5-16.2 kg/rai for Rayong 5 and 5.8-15.7 kg/rai for Rayong 9 in all sprayings and spray nothing treatment from 3 sites. Starch percentage was 20.4-28.1% in Rayong 5 and 26.7-30.1% in Rayong 9. Finally harvest index was 0.42-0.65 in Rayong 5 and 0.53-0.66 in Rayong 9. For insect pest control, mealy bug, red mite and whitefly were not significantly different for all treatments, so kaolin did not affect in decreasing insect pest spread but drought condition promoted it. Red mite and mealy bug increased spreading when drought or dry spells happened such as in April to May or December to April whereas whitefly increased in both drought and a little rainy condition. For disease control, cassava bacterial leaf blight and brown leaf spot were not significantly different because of type of spraying therefore kaolin did not have the effect in controlling disease. Both diseases occurred after raining when there was humidity under the leaf canopy. In other word, kaolin can be used by spraying in cassava production without using chemical pesticide or even spraying water, they gave the same results. Better choice of technology will be made easily if cost and income analysis has been done. Further studies should be focused on using kaolin to help in drought tolerance.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: กรมวิชาการเกษตร
คำสำคัญ: คาร์บอนไดออกไซด์
เจ้าของลิขสิทธิ์: ฐานข้อมูล NRMS
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
โครงการวิจัยการศึกษาผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศต่อการผลิตพืชไร่และพืชทดแทนพลังงาน
กรมวิชาการเกษตร
30 กันยายน 2559
การศึกษาผลกระทบของงานส่งเสริมเคหกิจเกษตรในภาคเหนือ การศึกษาหาขนาดและรูปร่างเนื้อที่เก็บเกี่ยวที่เหมาะสมของพืชไร่บางชนิด การศึกษาการผลิตและผลตอบแทนการผลิตต้นไหลสตรอเบอรี่ การศึกษาผลกระทบของบรรจุภัณฑ์ที่มีต่อคุณภาพเมล็ดพันธุ์ถั่วเหลือง การศึกษาและสำรวจสภาพการผลิตและการตลาดถั่วนิ้วนางแดง การผลิตและการใช้ประโยชน์จากบอระเพ็ด การผลิตและการตลาดน้ำผึ้งในจังหวัดขอนแก่น การศึกษาศักยภาพการผลิตถั่วเหลืองฝักสดเพื่อการบริโภคในภาคใต้ตอนล่าง การศึกษาผลกระทบโครงการส่งเสริมการจัดไร่นาสวนผสมแก่เกษตรกรและเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร ปี พ.ศ. 2534-2536 โครงการวิจัยการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิตทุเรียนคุณภาพและการกระจายการผลิต
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก