สืบค้นงานวิจัย
สถานภาพและแนวทางการพัฒนานโยบายการจัดการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กกลุ่มชาติพันธุ์ กรณีศึกษา อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก
บูชิตา สังข์แก้ว - มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
ชื่อเรื่อง: สถานภาพและแนวทางการพัฒนานโยบายการจัดการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กกลุ่มชาติพันธุ์ กรณีศึกษา อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก
ชื่อเรื่อง (EN): Status and Approch to Early Childhood Education Policy Development for Children of Ethnic Group: The Case study of Mae Sot District, Tak Province
บทคัดย่อ: การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานภาพนโยบายการจัดการศึกษาปฐมวัยสำหรับ เด็กกลุ่มชาติพันธุ์ของประเทศไทยในภาพรวม เพื่อศึกษาสถานภาพ แนวทางการพัฒนา และตัวแบบนโยบายการจัดการศึกษาปฐมวัยกลุ่มชาติพันธุ์ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัย เชิงคุณภาพ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้มีบทบาทเกี่ยวข้องโดยตรงและโดยอ้อมกับนโยบายการจัดการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กกลุ่มชาติพันธุ์ การวิจัยนี้ใช้เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนาม ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วม และใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหาเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ผลการวิจัย ผลการวิจัยพบว่า 1) นโยบายการจัดการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กกลุ่มชาติพันธุ์มีพัฒนาการมาตั้งแต่ปี 2500 โดยกำหนดอยู่ในนโยบายขยายโอกาสทางการศึกษาแก่เด็กกลุ่มด้อยโอกาสในพื้นที่สูงพื้นที่ห่างไกลความเจริญ แต่ยังไม่ได้มีนโยบายเฉพาะด้านหรือนโยบายที่มีสาระบัญญัติระบุถึงเด็กกลุ่มชาติพันธุ์โดยตรง จนกระทั่ง พ.ศ. 2532 เมื่อประเทศไทยเข้าร่วมลงนามสัตยาบรรณสิทธิเด็ก ค.ศ. 1989 รวมถึงกติกาสากลสำคัญอีก 2 ฉบับ คือ ปฏิญญาแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการศึกษาเพื่อปวงชน ค.ศ. 1890 และปฏิญญาแห่งสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง ค.ศ. 2007 ซึ่งนำมาใช้เป็นหลักการพื้นฐานในการพัฒนานโยบายการจัดการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กกลุ่มชาติพันธุ์ของประเทศไทย โดยเฉพาะนโยบายที่เกี่ยวข้องโดยตรง ได้แก่ นโยบายการจัดการศึกษาสำหรับเด็กด้อยโอกาส พ.ศ. 2548 มติคณะรัฐมนตรี วันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 นโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาเด็กปฐมวัย (0-5 ปี) ระยะยาว พ.ศ. 2550-2559 แผนยุทธศาสตร์ชาติด้านเด็กปฐมวัย (แรกเกิด-ก่อนเข้าประถมศึกษา ปีที่ 1) พ.ศ. 2550-2559) และแผนแม่บทกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย พ.ศ. 2558-2560 2) ปัจจุบันการจัดการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กกลุ่มชาติพันธุ์ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก มีหลายหน่วยงานดำเนินการ โดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นองค์กรหลักในการให้บริการครอบคลุมทุกตำบล ซึ่งดำเนินนโยบายการจัดการศึกษาด้วยการให้สิทธิโอกาส การเข้าถึง และคุณภาพการศึกษาอย่างเสมอภาค และยึดหลักการไม่เลือกปฏิบัติ สิทธิมนุษยชน และมนุษยธรรม การจัดการศึกษาระดับพื้นที่ยังมีตัวแทนผู้ปกครอง ชุมชน องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรธุรกิจเอกชน และองค์กรภาครัฐอื่นเข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนการจัดการศึกษา อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบาย การจัดการศึกษาดังกล่าวยังประสบปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านโอกาส การเข้าถึง และคุณภาพการศึกษา และความไม่สอดคล้องกับบริบทพื้นที่มากนัก รวมถึงปัญหาประชากรแฝงของกลุ่มแรงงานต่างด้าว ปัญหาการเพิ่มขึ้นของจำนวนเด็กกลุ่มชาติพันธุ์ ปัญหาด้านสภาพภูมิศาสตร์พื้นที่เทือกเขาสูงและห่างไกล และปัญหาโรคติดต่อในพื้นที่ชายแดน ขณะเดียวกันเงื่อนไขบริบทการเปิดประชาคมอาเซียน การจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ และการเตรียมการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษมีผลต่อการดำเนินนโยบายการจัดการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กกลุ่มชาติพันธุ์ 3) แนวทางการพัฒนานโยบายการจัดการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กกลุ่มชาติพันธุ์ อำเภอ แม่สอด จังหวัดตาก ประกอบด้วย (1) ความสำคัญและความจำเป็นต่อการพัฒนานโยบายยึดหลักความเสมอภาค ความยุติธรรม ความสอดคล้องกับวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ การกระจายอำนาจและ การจัดการที่สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน (2) การพัฒนาเนื้อหานโยบาย ควรส่งเสริมและสนับสนุนโอกาสและการเข้าถึงการศึกษา โดยการกระจายสถานศึกษาให้ทั่วถึงและครอบคลุมทุกหมู่บ้าน พัฒนาอาคารสภาพแวดล้อมให้ถูกสุขลักษณะและปลอดภัยจากโรคติดต่อชายแดน ควรพัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยเพิ่มสัดส่วนหลักสูตรท้องถิ่นให้มากกว่าหลักสูตรแกนกลาง เน้นทักษะภาษาไทย อังกฤษ พม่า ชนเผ่าพื้นเมือง เพื่อรองรับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ จัดหลักสูตรให้สอดคล้องประเพณีวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ ปลูกฝังจิตสำนึกรักถิ่นฐาน ครอบครัว สิ่งแวดล้อม และมีจิตสาธารณะ (3) การพัฒนากระบวนนโยบาย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรเป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนานโยบาย โดยมีองค์กรภาครัฐอื่น ๆ ผู้ปกครอง ชุมชน องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรธุรกิจเอกชน เครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์มีส่วนร่วมสนับสนุนนโยบาย (4) แนวทางการนำนโยบายไปปฏิบัติสามารถดำเนินการจัดตั้งกลไกกลางของอำเภอแม่สอดเพื่อพัฒนานโยบายในรูปแบบเครือข่ายนโยบายการจัดการศึกษาปฐมวัยแก่เด็กกลุ่มชาติพันธุ์อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก (5) ปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญที่สุดคือวิสัยทัศน์ผู้นำหรือผู้บริหารท้องถิ่น 4) ตัวแบบนโยบายการจัดการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กกลุ่มชาติพันธุ์ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นการนำตัวแบบกระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะ (Public Policy Process: PDP) มาปรับใช้ในการพัฒนา ได้แก่ การทบทวนนโยบายและบริบท การระบุประเด็นนโยบาย การออกแบบนโยบาย และการมีส่วนร่วมในนโยบาย ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยนี้ ได้แก่ การพัฒนานโยบายการจัดการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กกลุ่มชาติพันธุ์ ควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมการศึกษาตากเขต 2 ควรเป็นหน่วยงานที่ปรึกษาหรือพี่เลี้ยงในการพัฒนานโยบาย สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาควรเป็นหน่วยงานกลางในการสนับสนุนการพัฒนานโยบาย โดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในทุกระดับ
บทคัดย่อ (EN): The research objectives aimed to study the status of Thailand’s national policy of early childhood education for children of ethnic groups in order to understand and develop an approach and model of early childhood education policy for children of ethnic groups living in Mae Sot District, Tak Province. Qualitative research methods were employed in this research. Target groups were people who were directly and indirectly involved with early childhood education policy for children of different ethnicities. Data was collected by interviews and non-participant observations; the data was analyzed by a content analysis technique. Findings are as follows. First, an early childhood educational policy for children of ethnic groups has been developed since 1957 under an education policy for vulnerable children living in highland and remote areas. However, specific policy content was not found prior to 1992. Thailand signed an agreement to embrace child rights, including the United Nations Declaration on the Education for All in 1989. Thailand also adopted the United Nations Declaration on the Rights of Indigenous Peoples in 2007. These international rules led to a Thai policy development of early childhood education for children of ethnic groups, especially the educational policy for vulnerable children B.E. 2548 (2005), a cabinet resolution on July 5, 2005, a policy and strategy for long-term early childhood development (0-5 years) B.E. 2550-2559 (2007-2016), a national strategic plan for children in a young age (new born to pre-Prathomsuksa 1) B.E. 2550-2559 (2007-2016), and Thailand Indigenous Peoples Master Plan B.E. 2558-2560 (2015-2017). Second, management of early childhood education for children of ethnic groups in Mae Sot District, Tak Province, was manly the responsibility of local governments. These authorities could guarantee equal rights, opportunities, accessibility and educational quality including indiscrimination, human rights and humanity. Also, representatives of parents, communities, NGOs, private and public organizations participated in educational provision at a local level. However, those local governments faced many problems during a service of early childhood education in their responsible areas such as an increased number of non-registered population who migrated from a neighboring country, an increased number of children of ethnic groups, geographical difficulties, contagious diseases in the borderland, conditions of ASEAN Economic Community, Thailand’s Specific Economic Zone and a future, specific form of local government. These problems had affected the policy implementation of early childhood education. Third, approaches for a policy development of early childhood education for children of different ethnicities living in Mae Sot District, Tak Province, should include five aspects. First, importance and necessity of policy development should emphasize equality, fairness, indigenous people lifestyles, decentralization, locally contextual management, and participation from all sectors. Second, development of policy content should embrace educational opportunity and accessibility. Establishing of local schools in all villages could be a solution. In addition, management of the following issues are important such as renovation of school buildings; improvement the environment, hygiene and safety from contagious diseases; improvement the local curriculum by focusing on Thai, English, Burmese and indigenous languages to support an economic growth in a Special Economic Zone; and curriculum management that is consistent with cultures and traditions of indigenous peoples and promotes local consciousness, family institution, environment and public mind. Third, the policy development process should be the direct responsibility of local governments while public organizations, parents, communities, NGOs, private enterprises and the indigenous people network should take part in supporting such policies. Fourth, a policy implementation approach could establish a central mechanism for the Mae Sot District in order to develop a policy regarding the network of early childhood education in its area. Fifth, a vision of local leaders or managers is the most important factor of success. Fourth, a policy model of early childhood education for children of ethnic groups in Mae Sot District, Tak Province, was developed from a public policy process (PDP) by reviewing the policy and context, identifying the policy agenda, designing a policy and participating in the policy. Suggestions of this research included three aspects. First, policy development of early childhood education in Mae Sot District should be responsibility of local governments. The Office of Tak Province Primary Educational Service Area 2 should act as a consultant or mentor for policy development, whilst the Office of the Education Council should perform as a central mechanism to support policy development through coordination with relevant authorities at all levels.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
คำสำคัญ: สิทธิเด็กสากล
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
สถานภาพและแนวทางการพัฒนานโยบายการจัดการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กกลุ่มชาติพันธุ์ กรณีศึกษา อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก
มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
30 กันยายน 2559
การศึกษาคัมภีร์อานิสงส์ของกลุ่มชาติพันธุ์ไท : ไทยวน ไทลื้อ ไทขึน และลาว พันธุศาสตร์ประชากรของโครโมโซมวายในกลุ่มชาติพันธุ์ไทยพวน การพัฒนาความเข้มแข็งของกลุ่มเกษตรกรการทำสวนยางจังหวัดสุราษฎร์ธานี การเชื่อมโยงนโยบายด้านพัฒนาการประมงไปสู่การปฏิบัต การพัฒนาศักยภาพวิสาหกิจชุมชนอัญมณีและเครื่องประดับเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ความหลากหลายทางพันธุกรรมข้าวที่สูงของกลุ่มชาติพันธุ์ในภาคเหนือตอนบน ความหลากหลายทางพันธุกรรมของข้าวพันธุ์พื้นเมืองที่สูง จากกลุ่มชาติพันธุ์ในภาคเหนือของประเทศไทย โครงการ “แนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตอ้อยและน้ำตาล” การศึกษาศักยภาพเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยววัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ผู้ไท บ้านหนองห้าง ตำบลหนองห้าง อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ การประเมินมาตรฐานสุขลักษณะที่ดีในการผลิตอาหารและความปลอดภัยของอาหารในกลุ่มชาติพันธุ์ในชุมชนพื้นที่สูงภูลังกา จังหวัดพะเยา
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก