สืบค้นงานวิจัย
การศึกษาการปรับเปลี่ยนอาหาร เพื่อเพิ่มปริมาณกรดลิโนลิอิคในเนื้อของแพะเนื้อ
เสมอใจ บุรีนอก - มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน
ชื่อเรื่อง: การศึกษาการปรับเปลี่ยนอาหาร เพื่อเพิ่มปริมาณกรดลิโนลิอิคในเนื้อของแพะเนื้อ
ชื่อเรื่อง (EN): Dietary Manipulation to increase conjugated linoleic acid (CLA) in meat goats
บทคัดย่อ: ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ เพื่อทดสอบชนิดของไขมันในอาหารผสมครบส่วนหมักสำหรับแพะเนื้อ โดยแบ่งออกแบ่งออกเป็น 2 งานทดลอง ดังนี้คือจากงานทดลองที่ 1 ผลของชนิดไขมันต่อกระบวนการทำงานของจุลินทรีย์และกระบวนการเกิดแก๊สเมทเทนในกระเพาะหมัก และสัมประสิทธิ์การย่อยได้ของโภชนะในแพะ สามารถสรุปผลได้ดังนี้คือ 1) ปริมาณการกินได้ในแพะที่ได้รับอาหารผสมครบส่วนที่มีไขมันไม่อิ่มตัวมีค่าสูงกว่าแพะได้รับอาหารผสมครบส่วนที่มีไขมันอิ่มตัว 2) ปริมาณการกินได้ของโภชนะ พบว่าปริมาณการกินได้ของวัตถุแห้ง ปริมาณการกินได้อินทรียวัตถุ ปริมาณการกินได้ของโปรตีน ปริมาณการกินได้ของไขมัน ปริมาณการกินได้ของเยื่อใย NDF ปริมาณการกินได้ของเยื่อใย ADF ปริมาณการกินได้ของแคลเซียม และปริมาณการกินได้ของฟอสฟอรัส มีค่าสูงในแพะที่ได้รับอาหารผสมครบส่วนที่มีไขมันไม่อิ่มตัวมีค่าสูงกว่าแพะได้รับอาหารผสมครบส่วนที่มีไขมันอิ่มตัว 3) ค่าการย่อยได้ของวัตถุแห้ง ค่าการย่อยได้ของอินทรียวัตถุ ค่าการย่อยได้ของโปรตีน ค่าการย่อยได้ของไขมัน ค่าการย่อยได้ของเยื่อใย NDF ค่าการย่อยได้ของเยื่อใย ADF ค่าการย่อยได้ของเยื่อใยแคลเซียมและฟอสฟอรัส ในแพะที่ได้รับอาหารผสมครบส่วนที่มีไขมันไม่อิ่มตัวมีค่าต่ำกว่าแพะได้รับอาหารผสมครบส่วนที่มีไขมันอิ่มตัว 4) ค่าความเป็นกรดเป็นด่าง ที่ชั่วโมงที่ 0 และ 4 แตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ค่าความเข้มข้นของแอมโมเนียไนโตรเจนที่ชั่วโมงที่ 0 แตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนในชั่วโมงที่ 4 ความเข้มข้นของแอมโมเนียไนโตรเจน แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยค่าความเข้มข้นของแอมโมเนียไนโตรเจนที่ชั่วโมงที่ 4 ในแพะที่ได้รับอาหารผสมครบส่วนที่มีไขมันไม่อิ่มตัวต่ำกว่าแพะได้รับอาหารผสมครบส่วนที่มีไขมันอิ่มตัว 5) ปริมาณของแบคทีเรียทั้งหมด ในชั่วโมงที่ 0 และ 4 หลังการให้อาหาร แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยพบว่าแพะที่ได้รับอาหารผสมครบส่วนที่มีน้ำมันลินซีด มีปริมาณของแบคทีเรียสูงที่สุด รองลงมาคือ น้ำมันทานตะวัน ไขสัตว์และน้ำมันถั่วเหลือง ส่วนปริมาณของโปรโตซัว แตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ และสัดส่วนระหว่างแบคทีเรียและโปรโตซัวในชั่วโมงที่ 0 แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยมีค่าต่ำที่สุดที่แพะที่ได้รับอาหารผสมครบส่วนที่มีน้ำมันลินซีด 6) ปริมาณของ Amylolytic bacteria และ Cellulolytic bacteria แตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ แต่พบว่าปริมาณของ Proteolytic bacteria มีค่าแตกต่างทางสถิติ ในชั่วโมงที่ 4 หลังการให้อาหาร แต่ในชั่วโมงที่ 0 แตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ 7) ปริมาณกรดไขมันที่ระเหยได้ทั้งหมด (total volatile fatty acids, TVFAs) กรดโพรพิออนิก กรดบิวทีริก และสัดส่วนระหว่างกรดอะซิติกและกรดโพรพิออนิก แตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ แต่พบว่าค่าความเข้มข้นของกรดอะซิติก ในชั่วโมงที่ 4 หลังการให้อาหาร แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 8) ปริมาณการกินได้ของไนโตรเจน ไนโตรเจนที่ขับออกในมูลและการดูดซึมไนโตรเจน แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ไนโตรเจนในปัสสาวะ สมดุลไนโตรเจน การดูดซึมไนโตรเจนและสมดุลไนโตรเจน เมื่อคิดจากปริมาณการกินได้ของไนโตรเจน แตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ 9) ปริมาณการกินได้ของกรดลอริก (C12:0) กรดไมริสติก (C14:0) กรดปาล์มมิติก (C16:0) กรดสเตียริก (C18:0) กรดโอลิอิก (C18:1) กรดลิโนเลอิก (C18:2) กรดลิโนเลนิก (C18:3) กรดอะราชิดิก (C20:0) และกรดลิกโนซีริก (C24:0) แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ปริมาณการขับออกของกรดลอริก (C12:0) กรดปาล์มมิติก (C16:0) กรดสเตียริก (C18:0) กรดโอลิอิก (C18:1) กรดลิโนเลอิก (C18:2) กรดลิโนเลนิก (C18:3) กรดอะราชิดิก (C20:0) และกรดลิกโนซีริก (C24:0) แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และการย่อยได้ของกรดลอริก (C12:0) กรดไมริสติก (C14:0) กรดปาล์มมิติก (C16:0) กรดสเตียริก (C18:0) กรดโอลิอิก (C18:1) กรดลิโนเลอิก (C18:2) กรดลิโนเลนิก (C18:3) กรดอะราชิดิก (C20:0) และกรดลิกโนซีริก (C24:0) แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 10) ชนิดและปริมาณของกรดไขมันในของเหลวจากกระเพาะรูเมน ในชั่วโมงที่ 0 พบว่ากรดไมริสติกและกรดลิโนเลอิกในของเหลวจากกระเพาะรูเมน แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนชนิดและปริมาณของกรดไขมันในของเหลวจากกระเพาะรูเมน ในชั่วโมงที่ 4 พบว่า กรดลอริก กรดไมริสติก กรดปาล์มมิติก กรดลิโนเลอิกและกรดลิกโนซีริก แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ดังนั้น จากผลงานทดลองที่ 1 สามารถสรุปได้ว่าชนิดของไขมันในอาหารมีผลต่อปริมาณการกินได้ การย่อยได้ของโภชนะ การใช้ประโยชน์ได้ของไนโตรเจน กระบวนการหมักในกระเพาะรูเมน และมีผลต่อชนิดและปริมาณของกรดไขมันในของเหลวจากกระเพาะรูเมน โดยพบว่าการเสริมไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ส่งผลต่อชนิดและปริมาณของกรดไขมันในของเหลวจากกระเพาะรูเมน จากงานทดลองที่ 2 อิทธิพลของแหล่งไขมันในอาหารต่อปริมาณการกินได้ คุณภาพซากและกรดไขมันในเนื้อของแพะเนื้อ สามารถสรุปผลได้ดังนี้คือ 1) ปริมาณการกินได้ของแพะที่ได้รับอาหารผสมครบส่วนที่มีไขสัตว์ น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันทานตะวันและน้ำมันลินซีด แตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ อัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยต่อวัน มีค่าระหว่าง 45.37-52.78 กรัมต่อวัน โดยแพะที่ได้รับอาหารผสมครบส่วนที่มีน้ำมันลินซีดมีอัตราการเจริญเติบโตสูงที่สุด แต่แตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนค่าการเปลี่ยนอาหารเป็นน้ำหนัก มีค่าต่ำที่สุดในแพะที่ได้รับอาหารผสมครบส่วนที่มีน้ำมันถั่วเหลือง แต่แตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ 2) ค่าการย่อยได้ของวัตถุแห้ง อินทรียวัตถุ โปรตีน ไขมัน เยื่อใย NDF และเยื่อใย ADF แตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ 3) ค่าเปอร์เซ็นต์ซากอุ่น องค์ประกอบทางโภชนะของเนื้อสัน ค่าแรงตัดผ่านเนื้อ ค่าพื้นที่หน้าตัดเนื้อสัน แตกต่างอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนค่าสีของเนื้อ พบว่าแพะที่ได้รับอาหารผสมครบส่วนที่มีไขสัตว์ มีค่า a* (redness) มีค่าสูงที่สุด แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 4) ในเนื้อสันที่มาจากแพะที่ได้รับอาหารผสมครบส่วนที่มีน้ำมันทานตะวัน มีการสะสมของกรดไมริสติกและ C16:1 มากที่สุด ส่วนการสะสมกรด C17:0 พบในเนื้อสันที่มาจากแพะที่ได้รับอาหารผสมครบส่วนที่มีน้ำมันถั่วเหลือง การสะสม C18:2c9t11พบมากในเนื้อสันที่มาจากแพะที่ได้รับอาหารผสมครบส่วนที่มีน้ำมันถั่วเหลืองและไขสัตว์ ส่วนการสะสม C18:2c11c13 พบมากในเนื้อสันที่มาจากแพะที่ได้รับอาหารผสมครบส่วนที่มีน้ำมันถั่วเหลือง นอกจากนั้น ยังพบว่าการสะสมของกรด C24:0 และ C24:1พบมากในเนื้อสันที่มาจากแพะที่ได้รับอาหารผสมครบส่วนที่มีน้ำมันถั่วเหลือง เมื่อพิจารณาการสะสมกรดไขมันอิ่มตัวทั้งหมดในเนื้อสัน พบว่าแพะที่ได้รับไขสัตว์มีการสะสมมากที่สุด เมื่อพิจารณาการสะสมกรดไขมันไม่อิ่มตัว MUFA ในเนื้อสัน พบว่าแพะที่ได้รับน้ำมันทานตะวันมีการสะสมมากที่สุด และเมื่อพิจารณาการสะสมกรดไขมันไม่อิ่มตัว PUFAในเนื้อสัน พบว่าแพะที่ได้รับน้ำมันถั่วเหลืองมีการสะสมมากที่สุด และเมื่อหาสัดส่วนระหว่างกรดไขมันอิ่มตัวต่อกรดไขมันไม่อิ่มตัว PUFA พบว่าน้ำมันถั่วเหลือง มีค่าต่ำที่สุด รองลงมาคือ น้ำมันลินซีด ไขสัตว์และน้ำมันทานตะวัน ตามลำดับ ดังนั้น จากผลงานทดลองที่ 2 สามารถสรุปได้ว่าชนิดของไขมันในอาหารมีไม่มีผลต่อปริมาณการกินได้ อัตราการเจริญเติบและการเปลี่ยนอาหารเป็นเนื้อ และพบว่าเนื้อสันจากแพะที่ได้รับอาหารที่มีไขสัตว์ ทำให้สีของเนื้อสันมีสีแดงเข้มที่สุด นอกจากนั้น พบว่าเนื้อสันของแพะที่มีคอนจุเกตลิโนเลอิกสูงสุดคือมาจากอาหารที่มีน้ำมันถั่วเหลืองและไขสัตว์ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวทั้งชนิด MUFA และ PUFA พบว่าน้ำมันถั่วเหลืองมีค่ามากที่สุด เมื่อรวบรวมข้อมูลทั้งสองงานทดลอง จึงสรุปได้ว่าน้ำมันถั่วเหลืองมีความเหมาะสมในการนำมาประกอบสูตรอาหารของแพะเนื้อเพื่อเพิ่มกรดคอนจุเกตลิโนเลอิกและกรดไขมันไม่อิ่มตัวในเนื้อสันของแพะ ซึ่งจะส่งผลทำให้ผู้บริโภคเนื้อแพะได้รับกรดไขมันที่มีประโยชน์และไม่ส่งผลต่อสุขภาพของผู้บริโภค
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน
คำสำคัญ: กรดไขมัน
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การศึกษาการปรับเปลี่ยนอาหาร เพื่อเพิ่มปริมาณกรดลิโนลิอิคในเนื้อของแพะเนื้อ
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน
30 กันยายน 2554
ผลของชนิดและระดับของกรดไขมันในอาหาร ต่อจุลินทรีย์ในรูเมนความสามารถในการย่อยได้ของโภชนะ การผลิตแก๊สมีเทน ประสิทธิภาพการให้ผลผลิต และคุณภาพเนื้อของแพะ ผลของเนื้อในเมล็ดยางพาราเพื่อเป็นแหล่งของกรดไขมันลิโนเลอิกและลิโนเลนิกต่อประสิทธิภาพการสืบพันธุ์ในโคนมสาว ผลของอาหารหยาบคุณภาพดีต่อคุณภาพเนื้อและสัดส่วนของกรดไขมันในเนื้อโค ผลของการเสริมน้ำมันถั่วเหลืองที่มีต่อปริมาณกรดไขมันเชื่อมต่อลิโนเลอิก และคุณภาพน้ำนมของแพะ งาขี้ม้อน: ทางเลือกอาหารสัตว์เพื่อเพิ่มปริมาณกรดไขมันโอเมกาสามในเนื้อสัตว์และไข่สำหรับเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ ผลของระดับกลีเซอรีนดิบในอาหารผสมเสร็จต่อสมรรถภาพการผลิต องค์ประกอบทางเคมี และปริมาณกรดไขมันในกล้ามเนื้อของแพะขุน การศึกษากระบวนการเปลี่ยนกรดไขมันจากภายนอกเพื่อประโยชน์ต่อการผลิตกรดแกมม่าลิโนเลนิคในรา Mucor rouxii การปรับเปลี่ยนชนิดอาหารในการอนุบาลลูกปลากระดี่นางวัยอ่อนในบ่อซีเมนต์ ผลของสัดส่วนของกรดไขมันโอเมก้า-6 ต่อโอเมก้า-3 (n-6:n-3)ในอาหารต่อประสิทธิภาพในการให้ผลผลิตและองค์ประกอบของไขมันในเนื้อแพะ การใช้เทคนิคการวิเคราะห์อัตราการไหลผ่านของคาร์บอนในแต่ละปฏิกิริยาเคมีและการเติมสารอาหารที่เกี่ยวข้อง ในการเพิ่มผลผลิตของชีวมวลและ กรดไขมันจำเป็นแกมม่าลิโนเลนิค ใน Spirulina platensis C1
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก