สืบค้นงานวิจัย
การอนุรักษ์พืชสมุนไพรและการใช้ประโยชน์ เพื่อการเกษตรแบบยั่งยืน เพื่อสนองพระราชดำริ โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯสยามบรมราชกุมารี
สนธิชัย จันทร์เปรม - มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ชื่อเรื่อง: การอนุรักษ์พืชสมุนไพรและการใช้ประโยชน์ เพื่อการเกษตรแบบยั่งยืน เพื่อสนองพระราชดำริ โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯสยามบรมราชกุมารี
ชื่อเรื่อง (EN): Conservation and utilizationof medicinal plant in sustainable agriculture in order to serve the Royal Initiated Plant Germplasm Conservation for Her Royal Highness Princess Maha Chakri Sirindhorn
บทคัดย่อ: สำรวจและเก็บตัวอย่างพืชวงศ์ขิงในพื้นที่ อพ. สธ. อ. ไทรโยค และพื้นที่ใกล้เคียงตั้งแต่ช่วงเดือน มิถุนายน 2550– มกราคม 2552 เพื่อทราบแหล่งทรัพยากรพืชและเก็บมาอนุรักษ์ไว้เพื่อการพัฒนาใช้ประโยชน์ในโอกาสต่อไป พบพืชวงศ์นี้จำนวนทั้งหมด 11 สุกล ทราบชื่อวิทยาศาสตร์ 36 ชนิด ในจำนวนนี้มีพืชที่อยู่ในสกุล Alpinia, Amomum, Boesenbergia, Curcuma, Elettariopsis, Etlingera, Globba, Geostachys, Hedychium, Kaempferia และ Zingiberพืชสกุล Curcuma ในกลุ่มที่มีชื่อเรียกในประเทศไทยว่าว่านชักมดลูกเป็นที่รู้จักกันมานานในประเทศแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในการเป็นสมุนไพรและเครื่องปรุงรสสำหรับอาหารและเครื่องดื่ม โครงการวิจัยนี้สำรวจโฉมหน้าใหม่ของว่านชักมดลูกทางด้านประสิทธิภาพการควบคุมโรคแอนแทรคโนสของผลพริก โดยนำสารสกัดหยาบของหัว (rhizome) ว่านชักมดลูกที่สกัดโดยการใช้ ethanol และ hexane เป็นตัวทำละลายมาทดสอบกับรา Colletotrichum capsici และ Colletotrichum gloeosporioides สาเหตุของโรค และทดสอบผลของ terpinolene ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักอย่างหนึ่งของน้ำมันระเหยของว่านชักมดลูกต่อการเกิดโรคแอนแทรคโนสบนผลพริกหลังเก็บเกี่ยวเมื่อเก็บรักษาในสภาพ modified atmosphere การดำเนินงานวิจัยที่ใช้สารสกัดหยาบได้นำ hydro-ennated castor oil มาใช้ละลายสารสกัดซึ่งมีสภาพข้นเหนียวและไม่ละลายน้ำ การทดสอบโดยตรงกับ spores ของรา แสดงให้เห็นว่าสารสกัดหยาบว่านชักมดลูกมีผลยับยั้งอย่างรุนแรงต่อการสร้าง appressoria ในขบวนการงอกของ spores ที่ทำการทดสอบบน cellophane sheet ตลอดจนขบวนการเข้าทำลายพืชของราเมื่อทดลองโดยการปลูกเชื้อแบบไม่ทำแผลด้วย spores ของราบนผิวของผลพพริก การคลุกเมล็ดพริกที่ได้จากผลพริกที่เป็นโรคแอนแทรคโนสมีผลในการลดเปอร์เซ็นต์เมล็ดที่มีรา Colletotrichum ทั้งสองชนิดติดมาได้อย่างมีนัยสำคัญ บรรยากาศการเก็บรักษาที่มีไอระเหย terpinolene (p-mentha-1,4(8)-diene) มีผลในการลดการพัฒนาและชะลอการปรากฏอาการของโรคแอนแทรคโนสที่เป็นผลของการเข้าทำลายในสภาพแปลงบนผลพริก Characteristic profiles ที่ได้จากกาวิเคราะห์ด้วย HPLC แสดงให้เห็นความแตกต่างกันขององค์ประกอบของสารสกัดหยาบที่ได้จากว่านชักมดลูกจากแหล่งต่างกัน. อย่างไรก็ตาม ไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบทางเคมีที่แตกต่างกันของสารสกัดกับคุณลักษณะในการต่อต้านราที่นำมาทดสอบ ได้เพาะเลี้ยงตาจากหัวว่านชักมดลูกบนอาหารสูตร MS ที่เติม BA 5 มก./ล. และน้ำตาลซูโครส 30 ก./ล. เพื่อเพิ่มจำนวนต้น จากนั้นนำไปให้สารโคลชิซินในสภาพปลอดเชื้อที่ความเข้มข้น 0.1 และ 0.2% เป็นเวลา 24 และ 48 ชม. พบว่า ต้นว่านชักมดลูกที่ได้รับสารโคลชิซินที่ความเข้มข้น 0.1% นาน 48 ชม. ทำให้จำนวนปากใบเฉลี่ยต่อพื้นที่น้อยที่สุด และมีขนาดใหญ่กว่าชุดควบคุม และเมื่อตรวจสอบปริมาณดีเอ็นเอในนิวเคลียด้วยเครื่อง flow-cytometer พบการเพิ่มขึ้นของปริมาณดีเอ็นเอในบางต้น แต่เมื่อนำไปวิเคราะห์ความแปรปรวนทางพันธุกรรมด้วยเทคนิค AFLP ไม่พบความแปรปรวนทางพันธุกรรม ได้ทดลองให้รังสีแกมมาแบบเฉียบพลันกับว่านชักมดลูกที่เพาะเลี้ยงในสภาพปลอดเชื้อ ในอัตราตั้งแต่ 0 ถึง 8 Krad พบว่า เมื่ออัตรารังสีเพิ่มมากขึ้นทำให้ความสูงของต้นมีแนวโน้มลดลง ในขณะที่จำนวนต้นตายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยอัตรารังสีที่ทำให้ต้นว่านชักมดลูกตาย 50% (LD50) คืออัตรารังสี 6 krad และเมื่อนำต้นว่านชักมดลูกออกปลูกในกระถาง พบว่า บางต้นที่ได้รับรังสี 3 krad มีสีของกาบใบเปลี่ยนเป็นสีแดง และเมื่อตรวจสอบความแปรปรวนทางพันุกรรมโดยเทคนิค AFLP พบว่า มีความแปรปรวนทางพันธุกรรมเกิดขึ้น ส่วนการวิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญอยู่ในระหว่างการดำเนินงาน ได้เก็บรวบรวมหัวของว่านชักมดลูกจากจังหวัดต่างๆ มาปลูกศึกษาลักษณะประจำพันธุ์ ใน3 ปีทดลองโดยใช้ ตัวอย่างที่แตกต่างกันในแต่ละครั้ง การทดลองปีที่ 1เก็บตัวอย่างจากจังหวัด เชียงใหม่ พิษณุโลก กาญจนบุรี ราชบุรี มุกดาหาร หนองคาย สุรินทร์ และ สกลนคร จำนวนทั้งสิ้น 10 สายต้น การทดลองปีที่ 2 เก็บตัวอย่างจากจังหวัดหนองคาย มุกดาหาร เชียงใหม่ สกลนคร สระแก้ว เลย ราชบุรี รวม 8 สายต้น การทดลองปีที่ 3 เก็บตัวอย่างจากจังหวัดเชียงใหม่ ราชบุรี ปราจีนบุรี สงขลา และสมุทรสงครามรวม 11 ตัวอย่าง ผลการตรวจสอบลายพิมพ์ดีเอ็นเอ โดยใช้เทคนิค RAPD (Random Amplified Polymorphic DNA) คัดเลือกไพรเมอร์ที่เหมาะสม 15 ชนิด จากการใช้ operon primers จำนวน 45 ชนิด และเทคนิค Amplified Fragment Length Polymorphism (AFLP) โดยใช้ไพรเมอร์ 6 ชนิด เมื่อนำค่าความแตกต่างของลายพิพ์ดีเอ็นเอมาวิเคราะห์จัดกลุ่มความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมพบว่า ผลการวิเคราะห์ของทั้งสองเทคนิคมีความสอดคล้องต้องกัน สามารถใช้เทคนิค RAPD หรือ AFLP อย่างใดอย่างหนึ่งระบุสายต้น และจัดกลุ่มความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมของว่านชักมดลูกได้แต่เทคนิค AFLP แสดงผลความหลากหลายทางพันธุกรรมสูงกว่าRAPD และ AFLP และให้ความจำเพาะในแต่ละสายต้นแม่นยำกว่า เมื่อนำข้อมูลทางสัณฐานวิทยามาพิจารณาประกอบกับผลการวิเคราะห์ลายพิมพ์ดีเอ็นเอทั้ง 3 ฤดูการทดลองให้ผลสอดคล้องกันว่าว่านชักมดลูกสายต้นในกลุ่มเดียวกันไม่มีความสัมพันธ์กันตามภูมิภาค และแหล่งที่มา เนื่องจากไม่ได้แบ่งกลุ่มความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมตามแหล่งที่มาแต่แบ่งกลุ่มตามลักษณะของสัณฐานวิทยาโดยเฉพาะการปรากฎสีแดงของก้านใบและเส้นกลางใบ และการปรากฏแขนงของเหง้า ภาษาพื้นบ้านทั่วไปเรียกว่านชักมดลูกตัวผู้ การไม่ปรากกฏเหง้าแขนงเป็นว่านชักมดลูกตัวเมียจากการวิเคราะห์ด้านพฤกษเคมีด้วยเครื่อง High Performance Liquid Chromatography (HPLC) พบว่าว่านชักมดลูกตัวผู้และ ว่านชักมดลูกตัวเมียมีชนิดและปริมาณของสารสำคัญแตกต่างกัน
บทคัดย่อ (EN): Survey and collection of Zingiberaceous plant genetic resources under the royal initiative of Her royal highness maha chakri sirindhorn; kanchanaburi and adjacent area were conducted during June 2007- January 2009, aims at finding the national plant resources. In addition to herbarium samples, life materials were collected and deposited at Horticulture department, Faculty of Agriculture, Kasetsart university, Bangkok for conservation and for future use in breeding projects. Eleven genera were discovered from the project areas. Thirty six species were identified. The genera distributed in the survey area include Alpinia, Amomum, Boesenbergia, Curcuma, Elettariopsis, Etlingera, Globba, Geostachys, Hedychium, Kaempferia and Zingiber.Group of Curcuma plant species named Wanchakmotluk has been well-known as local medicinal plants and seasoning for foods and drinks in the Southeast Asian countries. In this research project, Wanchakmotluk was investigated for its new feature on plant disease control activity towards anthracnose disease of chili fruit. Extracted crude obtained by using ethanol or hexane solvents from Wanchakmotluk rhizomes were tested upon Colletotrichum capsici and Colletotrichum gloeosporioi-des, anthracnose causing fungi, while activity of terpinolene, a main volatile constituent, was viewed on the incidence of anthracnose symptom on postharvest chili fruit among modified atmosphere storage condition. Working with the crude, hydrogenated castor oil was available as a solubilizer for dissolving viscous-water insolvable plant extracts. Determining directly on fungal spores, Wanchakmotluk crude inhibited strongly the appressorium formation of spore germination process occurred on cellophane sheet, and infection process of anthracnose fungi occurred by unwounded inoculation of detached chili fruit by the pathogen spore suspensions as well. Wanchakmotluk crude also worked well in seed treatment showing significant reduction in the percentage of seed-borne Colletotrichum spp. on seeds yielded in chili fruit showing anthracnose symptom. Exposed terpinolene (p-mentha-1,4(8)-diene) volatile in modified atmosphere demonstrated a noticeable activity in reduction and retardation in anthracnose symptom development of the quiescent field infection on chili fruit. Un-uniformity among the plants was indicated by characteristic profiles of the plant crude evaluated by HPLC. However, correlation between chemical constituents and anti fungal activity of the crude on tested fungi was not observed in this study Buds from Curcuma xanthorrhiza Roxb. under ground stem were cultured on MS basal medium supplemented with 5 mg/l BA and 30 g/l sucrose for multiplication. The plantlets were in vitro treated with 0.1 and 0.2% colchicines for 24 and 48 hr. It was found that the plantlets treated with 0.1 colchicine for 48 hr caused the least number of guard cell per unit area but were bigger in size than the control. Nuclear DNA content was determined using flow-cytometer , it was found that some plants were mixoploid. However, determination of genetic variation by AFLP technique revealed that no genetic variation among these plants. Acute irradiation (0-8 Krad) of gamma ray was applied to Curcuma xanthorrhiza Roxb. in vitro. It was found that when the doses of gamma ray were increased, the height of plants were decreased but the number of death plant were increased. The dose of gamma ray which caused LD50 in C. xanthorrhiza was 6 krad. It also found that some plants treated with 3 krad gamma ray caused red color of leave sheath. When AFLP was applied for genetic variation determination, it indicated that some genetic variation was induced among those plants. For secondary metabolite content analysis, it is on going experiment. Wan Chagmodlook (Curcuma spp) were collected from several provinces and planted to study on genetic character for 3 year. The samples were different in each experiment years. The first year, these were collected from Chiang Mai, Pitsanulok, Kanchana Buree, Mugdahan, Nong Khai ,Sakon Nakorn and Nakhon Pathom Provinces. The second year, from Nong Khai, Mookdahan, Chiang Mai, Sakolnakhorn, Sarkaew, Loei and Rajburi. The third year, from Chiang Mai, Rajburi, Prajeenburi, Samut Songkram and Songkla Provinces. DNA samples were extracted from leaved andemployed by random amplified polymorphic DNA (RAPD) by using 15 screening of 45 operon primers and confirmed by Amplified Fragment Length Polymorphism (AFLP) technique by using 6 kinds of primer. Both RAPD and AFLP markers expressed the same results of phylogenic of each clone and could divided genetic group of Curcuma spp in the same results. Both techniques could be used to identify genetic markers of each Curcuma spp clone, but AFLP showed more diversity of genetic markers and more precise than RAPD technique. Comparing between morphology and DNA-markers from three years of experiments had been proved that plant originate not related to their genetic phylogenic, since Curcuma spp, which located the same area or the same part of country were classified in difference groups. Their morphology especially occurrence of red leaf stalk, red midrib and tubercle. Local people named Wan Chagmodlook, the one which own tubercle as male Wan Chagmodlook and the other one without tubercle named female Wan Chagmodlook.. These own the difference of kind and quantitative of chemical component, when both of them were analyzed by High Performance Liquid Chromatography (HPLC)
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
คำสำคัญ: ก่อกลายพันธุ์
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การอนุรักษ์พืชสมุนไพรและการใช้ประโยชน์ เพื่อการเกษตรแบบยั่งยืน เพื่อสนองพระราชดำริ โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯสยามบรมราชกุมารี
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
30 กันยายน 2552
การอนุรักษ์พืชสมุนไพรและการใช้ประโยชน์ เพื่อการเกษตรแบบยั่งยืน เพื่อสนองพระราชดำริ โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ฤทธิ์ทางชีวภาพ เครื่องหมายโมเลกุล และการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของเปราะ เพื่อสนองพระราชดำริในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี การศึกษาอนุกรมวิธาน ความหลากหลาย และอนุรักษ์พันธุกรรมพืชที่ พบในพื้นที่โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีเขาวังเขมร จังหวัดกาญจนบุรี โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี การใช้ประโยชน์ทางด้านการแพทย์ และการเกษตรจากความหลากหลายของพืชและจุลินทรีย์เพื่อสนองพระราชดำริในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี การอนุรักษ์และขยายพันธุ์พืชหายากสกุลเปราะและสกุลหงส์เหิน (วงศ์ขิง) ด้วยเทคนิคการ เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ภายใต้โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมา ความหลากชนิดของสัตว์กลุ่มหอยในจังหวัดสระแก้ว (สนองพระราชดำริในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี) โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยขอนแก่น โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยขอนแก่น โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยขอนแก่น
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก