สืบค้นงานวิจัย
สถานการณ์ระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในประเทศไทย
วันทนา ศรีรัตนศักดิ์ - กรมการข้าว
ชื่อเรื่อง: สถานการณ์ระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในประเทศไทย
ชื่อเรื่อง (EN): Brown planthopper outbreaks situation in Thailand
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: วันทนา ศรีรัตนศักดิ์
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ (EN): Wantana Sriratanasak
บทคัดย่อ: เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล (Brown Planthopper, Nilaparvata lugens) นับได้ว่าเป็นแมลงศัตรูข้าวที่สำคัญของระบบการปลูกข้าวในพื้นที่นาชลประทานเขตภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง จากการสัมภาษณ์เกษตรกรในพื้นที่ระบาด 6 จังหวัด ได้แก่ พิษณุโลก ชัยนาท อ่างทอง สุพรรณบุรี นนทบุรี และนครนายก ในฤดูนาปี 2553 พบว่า เกษตรกรในพื้นที่ระบาดรุนแรง (สุพรรณบุรี อ่างทอง และชัยนาท)ปลูกข้าวพันธุ์ปทุมธานี 1 ร้อยละ 28-70 จังหวัดที่การระบาดไม่รุนแรง (พิษณุโลก นนทบุรี และนครนายก)เกษตรกรปลูกข้าวพันธุ์พิษณุโลก 2 และกข 31 ร้อยละ 26-75 เกษตรกรมีการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดแมลงที่มีพิษสูงต่อสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศนาข้าว ได้แก่ สารอะบาเม็กติน และสารไซเพอร์เมทริน ทั้งในรูปสารเดี่ยวและสารผสม ใช้สารผสมตั้งแต่ 2-6 ชนิดรวมกัน โดยใช้สารผสมร้อยละ 38.4 และใช้สารชนิดเดี่ยวร้อยละ 26.06 ใช้สารที่ทางราชการแนะนำทั้งในรูปสารเดี่ยวและสารผสม และใช้สารที่ชักนำให้เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลระบาดเพิ่มขึ้นเกือบทุกระยะการเจริญเติบโตของต้นข้าว ซึ่งผลจากการสัมภาษณ์ครั้งนี้ได้ทำการศึกษาประสิทธิภาพและความต้านทานต่อสารเคมีป้องกันกำจัดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในพื้นที่ระบาดดังกล่าว พบว่า สารแนะนำเกือบทุกชนิดมีประสิทธิภาพไม่แตกต่างจากการไม่ใช้สาร ในสภาพที่มีการระบาดรุนแรง ถึงแม้ว่าจะแตกต่างทางสถิติแต่ไม่คุ้มค่าต่อการใช้ เพราะต้องใช้สารอย่างน้อยถึง 3 ครั้งต่อฤดูปลูก จึงจะสามารถรักษาผลผลิตข้าวได้ 100-110 กิโลกรัมต่อไร่ และเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ประชากรในพื้นที่ระบาด ส่วนใหญ่มีความต้านทานต่อสารแนะนำ ฟีโนบูคาร์บ อิมิดาโคลพริด คลอไทอะนิดิน ไทอะมิโทแซม อิทิโพรล และไดโนทีฟูแรน นอกจากนี้ประชากรเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลส่วนใหญ่ในพื้นที่ระบาด สามารถทำลายพันธุ์ข้าวต้านทานที่มียีนต้านทาน Bph1, bph2, Bph3 และ bph4 และข้าวพันธุ์ค่อนข้างต้านทานที่ปรับปรุงโดยกรมการข้าว ได้แก่ กข23 กข29 ชัยนาท 1 ปทุมธานี 1 สุพรรณบุรี 1 สุพรรณบุรี 3 สุพรรณบุรี 60 สุพรรณบุรี 90 และพิษณุโลก 2 ทั้งนี้เป็นเพราะเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลรวบรวมจาก 75-82 ประชากรใน 16 จังหวัดของพื้นที่ระบาด มีความหลากหลายทางพันธุกรรมแม้ในประชากรเดียวกัน ซึ่งปัจจัยภายในตัวแมลงดังกล่าวนี้เหล่านี้ เป็นสาเหตุทำให้การระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในประเทศไทย จะยังคงดำเนินต่อไปในอนาคต โดยความรุนแรงของการระบาดจะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดแมลงของเกษตรกรในแต่ละพื้นที่เป็นปัจจัยเร่งการระบาด
บทคัดย่อ (EN): Brown Planthopper, Nilaparvata lugens is an important insect pest of irrigated rice areas in central and lower northern region of Thailand. The interviews of farmers in the outbreak areas of 6 provinces, Phitsanulok, Chai Nat, Ang Thong, Suphan Buri, Nonthaburi and Nakhon Nayok during the wet season of 2010 found that the majority of the rice variety grown in the severe outbreak areas (Suphan Buri, Ang Thong and Chai Nat provinces) was Pathum Thani 1 (28-70%). Whereas in non severe outbreak areas (Phitsanulok, Nonthaburi and Nakhon Nayok provinces) about 26-75% of the farmers grew Phitsanulok 2 and RD31 varieties. At that time, farmers in the outbreak areas applied insecticides which were hazardous to living organisms in the rice ecosystem namely abamectin and cypermethrin both in form of single and mixed applications. Mixed insecticides (38.4%) which composed of 2-6 types of pesticides were applied higher than single insecticide (26.06%). They also applied insecticides which induced resurgence of the BPH population. From this interviewing results, the efficacy of recommended insecticides and resistance monitoring of the outbreak populations were determined. The results showed that under the massive BPH outbreaks situation, most of recommended insecticides are not effective. Although the yield had a statistical difference from unsprayed plot but the return was uneconomical. The farmers had to spray as high as 3 times per crop in order to protect their plants and keep the rice yield of about 100-110 kg/rai. In addition, most of the BPH populations showed resistant to recommended insecticides such as fenobucarb, imidacloprid, clothianidin, thiamitoxam, ethiprole and dinotefuran. Besides that, BPH population collected from 75-81 location in 16 provinces could feed on not only the rice varieties which carry resistant gene Bph1, bph2, Bph3 and bph4 but also the certified varieties namely RD23, RD29, CNT 1, PTT 1, SPR 1, SPR 3, SPR 60, SPR 90 and PSL 2. Occurrences of massive BPH outbreaks may result from the genetical diversity of the BPH even in the same population. The intrinsic factor of the insect itself then causes the continue outbreak of the BPH. However the severity of the outbreaks can be stimulated by farmer’s pesticide application behaviors.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เอกสารแนบ: https://agkb.lib.ku.ac.th/rd/search_detail/result/329729
เผยแพร่โดย: กรมการข้าว
คำสำคัญ: ความรุนแรงการระบาด
คำสำคัญ (EN): Outbreak
เจ้าของลิขสิทธิ์: กรมการข้าว
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
สถานการณ์ระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในประเทศไทย
กรมการข้าว
2553
กรมการข้าว
มุมมองเรื่องชีวชนิดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล อิทธิพลของขนาดเพลี้ยอ่อนถั่ว (Aphis cracciuora) ที่มีผลต่อขนาด ระยะเวลาการพัฒนา อัตราส่วนทางเพศของตัวเบียน และจำนวนตัวเบียน (Aphidius colemani) ที่เกิดจากเพลี้ยอ่อน สาเหตุของความต้านทานในข้าวพันธุ์ต่าง ๆ ต่อเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล Nilaparuata lugens (Stal) การพัฒนาแบบจำลองสถานการณ์ประชากรของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในข้าว การจัดการพันธุ์ข้าวเพื่อลดการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล การศึกษาชีวชนิดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลจากแหล่งระบาดภาคเหนือตอนล่างเพื่อการคัดเลือกพันธุ์ข้าวต้านทาน CNT96024-61-1-PSL-1-2: สายพันธุ์ข้าวต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในภาคเหนือตอนล่าง ประสิทธิภาพในการกำจัดเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลของสารสกัดจากบอระเพ็ดในข้าว การสร้างระบบนิเวศน์ของนาข้าวให้มีความสมดุลอย่างยั่งยืน เพื่อลดการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล การติดตามความต้านทานต่อสารเคมีป้องกันกำจัดแมลงของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก