สืบค้นงานวิจัย
การศึกษาฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันของ Subunit vaccine E2 ของโรคอหิวาต์สุกรที่ใช้ ระบบนำส่งผ่านทางจมูก
ชุตินันท์ ประสิทธิ์ภูริปรีชา - มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
ชื่อเรื่อง: การศึกษาฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันของ Subunit vaccine E2 ของโรคอหิวาต์สุกรที่ใช้ ระบบนำส่งผ่านทางจมูก
ชื่อเรื่อง (EN): Study forimmunostimulating activity of subunit vaccine E2 of classical swine fever Combine with intranasal delivery system in swine
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: ชุตินันท์ ประสิทธิ์ภูริปรีชา
บทคัดย่อ: ไคโตแซนนาโนพาร์ทิเคิลเป็นระบบนำส่งวัคซีนทางจมูกที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งขนาดของอนุภาคเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการนำส่ง และเสริมฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาขนาดที่เหมาะสมของไคโตแซนนาโนพาร์ทิเคิล สำหรับการนำส่งวัคซีนทางจมูก โดยใช้โอวัลบูมินเป็นแอนติเจนต้นแบบ เตรียมตำรับไคโตแซนนาโนพาร์ทิเคิล ด้วยวิธี ionotropic gelation ปรับเปลี่ยนความเข้มข้นของสารละลายไคโตแซน ตั้งแต่ 1-3 mg/ml และสัดส่วนโดยมวลของการเกิดอันตรกิริยาระหว่างไคโตแซนกับ sodium tripolyphosphate (TPP) ตั้งแต่ 3:1 - 5: 1 ได้ตำรับไคโตแซนนาโนพาร์ทิเคิล จำนวน 9 ตำรับ ประเมินคุณสมบัติทางกายภาพของไคโตแซนนาโนพาร์ทิเคิล ด้วยการวัดขนาดและประจุที่ผิวอนุภาค วิเคราะห์การกักเก็บและการบรรจุแอนติเจนใน ไคโตแซนนาโนพาร์ทิเคิล และการปลดปล่อยแอนติเจนที่ pH ต่างๆ ด้วยวิธี BCA Protein Assay ทดสอบความคงตัวทางกายภาพของไคโตแซนนาโนพาร์ทิเคิล และความคงตัวของแอนติเจนที่กักเก็บในไคโตแซนนาโนพาร์ทิเคิล ด้วยวิธี SDS-PAGE คัดเลือกตำรับที่มีขนาดอนุภาคต่างกัน คือ ขนาดเล็ก (< 500 nm) ขนาดกลาง (500 – 1,000 nm) และขนาดใหญ่ (1,000 – 5,000 nm) เพื่อประเมินฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันของไคโตแซนนาโนพาร์ทิเคิลในหนูทดลอง โดยให้โอวัลบูมิน ทางจมูก ปริมาณ 20 ?g ปริมาตร 20 ?L ในสัปดาห์ที่ 0, 3 และ 6 และฆ่าหนูในสัปดาห์ที่ 9 ของการทดลอง เก็บตัวอย่างเลือด มูล น้ำลาย น้ำล้างโพรงจมูก และน้ำล้างช่องคลอด ประเมินการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันแบบ humoral immune response (HIR) จากระดับ Immunoglobulin G (IgG)ในซีรัม ซึ่งเป็น systemic immune response และระดับ secretory Immunoglobulin A (sIgA) ในมูล น้ำลาย สารคัดหลั่งบริเวณเยื่อบุโพรงจมูกและเยื่อบุช่องคลอด ซึ่งเป็น mucosal immune response และประเมินการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันแบบ cell-mediated immune response (CMIR) จากระดับ Interleukin-4 (IL-4) และ Interferon-? (IFN-?) ที่หลั่งจาก splenocytes เมื่อเทียบกับสารละลายโอวัลบูมิน ด้วยวิธี enzyme-linked immunosorbent assay (ELISA) ผลการวิจัยพบว่า สารละลายไคโตแซนความเข้มข้นเท่ากับ 3 mg/mL ทำให้ตำรับมีความคงตัวทางกายภาพ และเมื่อเพิ่มสัดส่วนโดยมวลของ ไคโตแซนต่อ TPP เท่ากับ 3:1, 4:1 และ 5:1 จะได้อนุภาคที่มีประจุที่ผิวอนุภาคเป็นบวก และมีขนาดใหญ่ขึ้น คือ ขนาดเล็ก (249.67 ? 29.6 nm) ขนาดกลาง (559 ? 17.21 nm) และขนาดใหญ่ (1,240 ? 62.45 nm) ตามลำดับ แต่การกักเก็บและการบรรจุแอนติเจนของไคโตแซนนาโนพาร์ทิเคิลมีค่าลดลง คือ ร้อยละของการกักเก็บแอนติเจน เท่ากับ 76.49 ? 4.72, 68.52 ? 6.01 และ 66.77 ? 7.95 ตามลำดับ และร้อยละของการบรรจุแอนติเจน มีค่าเท่ากับ 31.62 ? 1.52, 27.61 ? 1.68 และ 27.03 ? 1.27 ตามลำดับ การปลดปล่อยแอนติเจนจากไคโตแซนนาโนพาร์ทิเคิลมีลักษณะคล้ายคลึงกัน คือ ปลดปล่อยแอนติเจนได้ดีที่ pH 4.5 โดยมีค่าร้อยละของการปลดปล่อยแอนติเจนในวันที่ 2 เท่ากับ 86.62 ? 1.52, 85.20 ? 1.44 และ 83.02 ? 1.36 ตามลำดับ ส่วนการปลดปล่อยแอนติเจนที่ pH 6.8 และ pH 7.4 มีค่าลดลง เมื่อเก็บ ไคโตแซนนาโนพาร์ทิเคิลในรูปผงแห้งไว้ที่อุณหภูมิ 4 ?C นาน 3 เดือน พบว่าทั้งสามขนาดมีความคงตัวทางกายภาพ และแอนติเจนที่กักเก็บไม่เสียสภาพ ผลการศึกษาฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันของไคโตแซนนาโนพาร์ทิเคิลที่กักเก็บโอวัลบูมิน เมื่อเทียบกับสารละลายโอวัลบูมิน พบว่าไคโตแซนนาโนพาร์ทิเคิลทั้งสามขนาด สามารถเสริมฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันแบบ HIR ได้ดีกว่าสารละลายโอวัลบูมิน โดยประสิทธิภาพในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของไคโตแซนนาโนพาร์ทิเคิลไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่พบแนวโน้มของระดับ sIgA ในน้ำลาย สารคัดหลั่งจากเยื่อบุโพรงจมูก และเยื่อบุช่องคลอดที่เพิ่มขึ้นตามขนาดอนุภาคที่ลดลง ไคโตแซนนาโนพาร์ทิเคิลสามารถเสริมฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันแบบ CMIR ได้ดีกว่าสารละลายโอวัลบูมินเช่นกัน โดยไคโตแซนนาโนพาร์ทิเคิลขนาดเล็ก และขนาดกลาง สามารถกระตุ้นการหลั่ง IL-4 และ IFN-? ได้ดีกว่าขนาดใหญ่ งานวิจัยนี้สามารถสรุปได้ว่า ไคโตแซนนาโนพาร์ทิเคิลขนาดเล็ก และขนาดกลางเป็นขนาดอนุภาคที่เหมาะสมสำหรับการเตรียมเป็นระบบนำส่งวัคซีนทางจมูกมากกว่าอนุภาคขนาดใหญ่ เนื่องจากมีคุณสมบัติทางกายภาพที่ดี มีประจุที่ผิวอนุภาคเป็นบวก สามารถกักเก็บแอนติเจนได้สูง มีการปลดปล่อยแอนติเจนได้ดีที่ pH 4.5 แอนติเจนที่กักเก็บไม่เสียสภาพ ระบบนำส่งมีความคงตัวทางกายภาพ และสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันแบบ HIR ทั้ง mucosal immune response และ systemic immune response และสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันแบบ CMIR ได้ดีอีกด้วย
บทคัดย่อ (EN): Chitosan nanoparticles are potential system for nasal vaccine delivery. The important factor that influences the efficacy of delivery system and immune response is size of particles. The objective of this research was to study of the optimal size of chitosan nanoparticles encapsulated with ovalbumin (OVA) as model antigen for nasal vaccine delivery. Chitosan nanoparticles were prepared by ionotropic gelation method with changing of chitosan concentrations from 1-3 mg/mlL and the mass ratio of chitosan to sodium tripolyphosphate (TPP) from 3:1 to 5:1. Nine formulas were examined for physicochemical properties such as size and zeta potential of particles, entrapment efficiency, loading and releasing capacity by BCA Protein Assay, stability of antigen and nanoparticles by SDS-PAGE. Three formulas represented small (< 500 nm), medium (500 – 1,000 nm) and large size (1,000 – 5,000 nm) of chitosan nanoparticles encapsulated with ovalbumin were evaluated for in vivo immunostimulating activity related to ovalbumin solution by enzyme-linked immunosorbent assay (ELISA). 20 ?L of each formula containing 20 ?g of ovalbumin were intranasal given to Balb/c mice at the week of 0, 3, 6 and killed at the week of 9. Blood, feces, saliva, nasal lavage and vaginal lavage were selected. Humoral immune response (HIR) was evaluated from Immunoglobulin G (IgG) levels in serum as systemic immune response and secretory Immunoglobulin A (sIgA) levels in fecal extract, saliva, nasal lavage and vaginal lavage as mucosal immune response. Cell-mediated immune response (CMIR) was evaluated from splenocyte Interleukin-4 (IL-4) and Interferon-? (IFN-?). The results showed that formulas composed of 3 mg/mL chitosan were stable. When the mass ratio of chitosan to sodium tripolyphosphate (TPP) was increased from 3:1, 4:1 and 5:1, the sizes of chitosan nanoparticles were also increased from small (249.67 ? 29.6 nm), medium (559 ? 17.21 nm) and large size (1,240 ? 62.45 nm). But the percentages of entrapment efficiency (76.49 ? 4.72, 68.52 ? 6.01 and 66.77 ? 7.95) and loading capacity 31.62 ? 1.52, 27.61 ? 1.68 and 27.03 ? 1.27) were decreased, respectively. The antigen releasing capacity from nanoparticles of these three formulas were all better at pH 4.5 than pH 6.8 and pH 7.4. The percentages of releasing capacity in pH 4.5 within 2 days were 86.62 ? 1.52, 85.20 ? 1.44 and 83.02 ? 1.36, respectively. After kept those lyophilized formulas at 4 ?C for 3 months, they were still stable both antigen and chitosan nanoparticles. The result of immunostimulating activity exhibited that chitosan nanoparticles encapsulated with ovalbumin stimulated HIR better than ovalbumin solution. But there were no significantly difference between the particles sizes. However, the trends of sIgA levels in small and medium size were found to increase in saliva, nasal lavage and vaginal lavage. CMIR immunostimulating activity of chitosan nanoparticles encapsulated with ovalbumin was also more than ovalbumin solution. Small and medium size of nanoparticles had IL-4 and IFN-? level more than large size. In conclusion, the optimal sizes of chitosan nanoparticles for nasal vaccine delivery are small and medium sizes. Because they had better physicochemical property such as positive surface charge, high entrapment efficiency, high releasing capacity especially at pH 4.5 and good stability both of antigen and delivery system. Moreover, they also stimulated HIR both mucosal immune response and systemic immune response and CMIR.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
คำสำคัญ: ภูมิคุ้มกันชนิดสารน้ำ
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การศึกษาฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันของ Subunit vaccine E2 ของโรคอหิวาต์สุกรที่ใช้ ระบบนำส่งผ่านทางจมูก
มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
30 กันยายน 2554
การทดสอบ subunit vaccine E2 ของโรคอหิวาต์สุกรที่ใช้ระบบนำส่งทางจมูก ผลของระดับการใช้น้ำส้มควันไม้ต่อการใช้ประโยชน์ได้ของอาหารในสุกร ผลของโปรไบโอติกส์ Entrococcus italicus ต่อการเจริญเติบโตและระดับภูมิคุ้มกันของการทำวัคซีนโรคพีอาร์อาร์เอสและโรคมัยโคพลาสม่าในสุกร โครงการนำร่องการจัดทำระบบคอมพาร์ทเมนต์สุกร เพื่อรับรองสถานภาพปลอดโรคปากและเท้าเปื่อยและโรคอหิวาต์สุกรเพื่อการส่งออก การใช้เนื้อในเมล็ดปาล์มน้ำมันอบแห้งไขมันเต็มในอาหารสุกรขุน การใช้ระบบ Fisheries Map เพื่อการบริหารจัดการข้อมูลเชิงพื้นที่จับสัตว์น้ำ ผลงานนำเสนอประชุมวิชาการกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ครั้งที่ 23 เรื่อง ฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันและทำลายเซลล์มะเร็งของสารสกัดสมุนไพรไทย การพัฒนาระบบนำส่งทางจมูกของสับยูนิตวัคซีนอีทูโดยเทคโนโลยีนาโน ลักษณะโมเลกุลและระดับการแสดงออกของไมโครอาร์เอ็นเอที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันในปลานิล มาตรการเฝ้าระวังและป้องกันโรคอหิวาต์สุกรอัฟริกันสำหรับประเทศไทย
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก