สืบค้นงานวิจัย
การศึกษาประสิทธิภาพของตํารับยาสมุนไพรไทยที่มีคุณสมบัติกระตุ้นการเจริญของจุลินทรีย์ โพรไบโอติกในการเสริมภูมิคุ้มกัน และยับยั้งกลไกการเข้าสู่เซลล์ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) เพื่อนําประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมยาและอาหาร
ดร. ดาลัด ศิริวัน - สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)
ชื่อเรื่อง: การศึกษาประสิทธิภาพของตํารับยาสมุนไพรไทยที่มีคุณสมบัติกระตุ้นการเจริญของจุลินทรีย์ โพรไบโอติกในการเสริมภูมิคุ้มกัน และยับยั้งกลไกการเข้าสู่เซลล์ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) เพื่อนําประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมยาและอาหาร
ชื่อเรื่อง (EN): Study on efficiency of traditional Thai herbal medicine with probiotics growth stimulation potential to boost immune system and inhibit receptor mediated endocytosis mechanism of SARS-CoV-2 for application in food and drug industries
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: ดร. ดาลัด ศิริวัน
หน่วยงานสังกัดผู้แต่ง:
บทคัดย่อ: การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพของตำรับยาสมุนไพรไทย 2 ชนิด คือ จันทหฤทัย และ ประสะจันทน์แดง ในด้านการต้านการเข้าทำลายของเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ที่ก่อโรค COVID-19 ทั้งใน ส่วนของการกระตุ้นการเจริญของเชื้อจุลินทรีย์ชนิดดีและยับยั้งเชื้อก่อโรค การยับยั้งการจับกันของ spike protein และรีเซพเตอร์ชนิด ACE2 และคุณสมบัติลดการอักเสบและการหลั่งสาร cytokine ที่เกี่ยวข้อง โดยตัวอย่างทดสอบในการศึกษานี้เป็นสารสกัดในรูปแบสารสกัดหยาบจากดำรับยาทั้งสองชนิด ที่สกัดด้วยตัวทำละลายคือน้ำและเอทานอล 70% เมื่อเปรียบเทียบปริมาณสารสำคัญระหว่างทั้งสองตำรับยา พบว่าในสาร สกัดน้ำของยาจันทหฤทัยมีกรดฟืนอลิกสูงกว่า ขณะที่สารสกัดน้ำของยาประสะจันทน์แลงมีปริมาณฟลาโว นอยด์สูงกว่าสำหรับสารสกัดเอทานอลพบว่าสารสกัดจากยาประสะจันทน์แดงมีทั้งปริมาณกรดฟืนอลิก และฟลาโวนอยด์รวมสูงกว่ายาจันทหฤทัย เมื่อวิเคราะห์ปริมาณสารสำคัญในสารสกัดด้วยวิธี LC-ESI- MSIMS Wu galic acid, luteolin, quercetin, naringenin, apigenin และ isorhamnetin lนสารสกัดเอทา นอลของยาจันทหฤทัย แต่ไม่พบ apigenin ในสารสกัดน้ำ สำหรับยาประสะจันทน์แดง พบกรดฟืนอลิกและฟ ลาโวนอยด์ชนิดเดียวกันในทั้งสารสกัดน้ำและเอทานอล ได้แก่ gallic acid, 3,4-dihydroxybenzoic acid, quercetin, apigenin, naringenin, kaempferol Ma: isomamnetin แต่พบในปริมาณที่แตกต่างกัน และจาก การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ พบว่าสารสกัดน้ำและเอทานอลของยาจันทหฤทัยมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่ายาประสะจันทน์แดง เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH และ FRAP แต่สารสกัดทั้งสองชนิดจากยาประสะจันทน์แดงมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าเมื่อทดสอบด้วยวิธี ORAC ในส่วนของคุณสมบัติในการยับยั้งการเข้าสู่เซลล์ของเชื้อ SARS-CoV-2 พบว่าสารสกัดน้ำและเอทา นอลและน้ำของทั้งสองตำรับยาสามารถยับยั้งการจับกันของโปรตีนหนาม S1 และ ACE-2 receptor ได้ โดยสารสกัดน้ำของยาจันทหฤทัยมีประสิทธิภาพสูงกว่าสารสกัดประสะจันทน์แดง แต่ในสารสกัดเอทานอล 70% กลับให้ผลตรงกันข้าม ทั้งนี้อาจเป็นผลจากชนิดและปริมาณสารฟลาโวนอยด์ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ผลการ ทดสอบฤทธิ์ยับยั้งการอักเสบ พบว่าทั้งสารสกัดน้ำและเอทานอลของยาจันทหฤทัยมีผลดีกว่าว่าประสะ จันทน์แดงในการยับยั้งการผลิต NO ในเซลล์แมคโครฟาจ และสารสกัดน้ำของทั้งสองตำรับยาให้ผลดีกว่า สารสกัดเอทานอล โดยผลการศึกษาเป็นไปในแนวทางเดียวกันสำหรับฤทธิ์ยับยั้ง IL-6 และ TNF-C นอกจากนั้น การศึกษาคุณสมบัติในการส่งเสริมการเจริญของจุลินทรีย์โพรไบโอติก พบว่าสารสกัดจากดำรับ ยาทั้งสองชนิดทั้งที่ผ่านการย่อยและไม่ผ่านการย่อย สามารถกระตุ้นการเจริญของ Lactobacillus casei และ Lactobacillus mamnosus ได้ โดยสารสกัดน้ำจะมีคุณสมบัติการกระตุ้นได้ดีกว่ากว่าสารสกัดเอทานอล แต่สารสกัดเอทานอลให้ผลดีกว่าในการยับยั้งจุลินทรีย์ก่อโรค โดยเฉพาะแบคทีเรียแกรมบวก ผลจากการศึกษานี้ทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของตำรับยาจันทฤทัยและประสะจันทน์แดงใน การต่อยอดนำไปใช้ประโยชน์เพื่อบำบัดรักษาผู้ป่วยจากการติดเชื้อ SARS-CoV-2 เนื่องจากมีฤทธิ์ทั้งในการยับยั้งการเข้าทำลายของไวรัส การระงับการอักเสบซึ่งเป็นอาการต่อเนื่องจากการติดเชื้อ รวมถึงมีผลในการส่งเสริมจุลินทรีย์โพรไบโอติก นำไปสู่การสร้างสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ และช่วยยับยั้งจุลินทรีย์ก่อโรคที่ทำให้ เกิดอาการท้องเสียในผู้ป่วยโรคโควิด-19
บทคัดย่อ (EN): The objective of this study was to evaluate the potential of two traditional Thai medicine formulae, which were ‘Chanthaharuethai’ and ‘Saprachandaeng’, to inhibit SARS-CoV-2 infection that is the cause of COVID-19. The bioactivities determined in this study were promotion of probiotics growth, inhibition of pathogenic bacteria, inhibition of viral spike protein - ACE-2 receptor binding, inflammatory alleviation, and inhibition of inflammatory cytokines. Test samples used in this study were crude extracts from both drug formulae, extracted with water and 70% ethanol. Chemical constituents of both drug formulae were compared. The water extract of Chanthaharuethai formula comprised higher total phenolic content, while water extract of Saprachandaeng formula exhibited higher total flavonoid content. For ethanol extract, Saprachandaeng formula comprised higher content of both phenolic compounds and flavonoids. LC-ESI-MS/MS analysis indicated that gallic acid, luteolin, quercetin, naringenin, apigenin and isorhamnetin were detected in ethanol extract of Chanthaharuethai formula, while the water extract lacked apigenin. Similar phenolic and flavonoid profile were found in both water and ethanol extract of Prasachandaeng formula, which were gallic acid, 3,4-dihydroxybenzoic acid, quercetin, apigenin, naringenin, kaempferol and isorhamnetin. But the content of each compound was varied. Antioxidant evaluation by DPPH and FRAP assays indicated that water and ethanol extracts of Chantaharuethai formula possessed higher antioxidant activity than those of Prasachandaeng formula. However, the result of ORAC analysis was the opposite. Evaluation of potential to inhibit SARS-CoV-2 invasion indicated that water and ethanol extract from both drug formula could inhibit binding between viral S1 spike protein and ACE-2 receptor, and water extract of Chanthaharuethai formula exhibited higher activity than that of Saprachandaeng formula. However, the opposite result was found in ethanol extract of both formulae, which could be the result of difference in flavonoid content. The result of anti-inflammatory activity showed that ethanol and water extract of Chantaharuethai formula were more potent than those of Saprachandaeng formula in suppression of NO production from macrophages. The water extracts of both formulae showed better activity than the ethanol extracts. The result was a similar trend with inhibition of IL-6 and TNF-α. Furthermore, the study on probiotics promotion showed that growth of Lactobacillus casei and Lactobacillus rhamnosus were stimulated by digested and non-digested extracts of both drug formulae. Water extracts exhibited higher probiotic growth stimulation than ethanol extracts. But ethanol extracts were more potent in inhibition of pathogenic bacteria, especially gram-positive bacteria. All results from this study suggested the potential of Chanthaharuethai and Prasachandaeng traditional drug formulae in therapeutic applications in patients with SARS-CoV-2 infection. As these drug formulae were effective in inhibition of viral invasion mechanism, post-infection inflammatory suppression and promotion of probiotics growth which leads to modulation of intestinal normal flora, and inhibition of pathogenic microorganism that cause diarrhea in COVID-19 patients.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)
คำสำคัญ: โคโรนาไวรัส 2019 และ การปรับเปลี่ยนภูมิคุ้มกัน
คำสำคัญ (EN): Immunomodulation
เจ้าของลิขสิทธิ์: สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การศึกษาประสิทธิภาพของตํารับยาสมุนไพรไทยที่มีคุณสมบัติกระตุ้นการเจริญของจุลินทรีย์ โพรไบโอติกในการเสริมภูมิคุ้มกัน และยับยั้งกลไกการเข้าสู่เซลล์ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) เพื่อนําประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมยาและอาหาร
สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)
2564
การพัฒนาตํารับยาห้ารากชนิดสกัดเพื่อรักษาโรคลัมปีสกินในโค-กระบือ การพัฒนาแบคทีเรีย Lactobacillus plantarum ที่แยกได้จากมูลสุกรพันธุ์พื้นเมืองเพื่อใช้เป็นโพรไบโอติกแบคทีเรียที่มีคุณสมบัติในการป้องกันโรคพีอีดีในสุกร การสํารวจโรคติดเชื้อโคโรนาและโควิด 19 ในปศุสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ การใช้เศษเหลือจากการผลิตลำไยเพื่อผลิตเป็นอาหารเสริมทดแทนการขาดแคลนอาหารในธรรมชาติสำหรับเลี้ยงผึ้งพันธุ์ (Apis mellifera L.) ปรับปรุงพันธุ์ปลานิลทนโรคสเตรปโตคอคโคซิส (ต่อเนื่อง) และการทดสอบพันธุ์ การผลิตสารเสริมอาหารสําหรับสัตว์น้ําวัยอ่อนด้วยจุลินทรีย์ การวิจัยต่อยอดด้านความปลอดภัยของอาหารจากเชื้อแบคทีเรียก่อโรคอาหารเป็นพิษ: จากตลาดสู่โต๊ะอาหาร การวิจัยต่อยอดด้านความปลอดภัยของอาหารจากเชื้อแบคทีเรียก่อโรคอาหารเป็นพิษ: จากตลาดสู่โต๊ะอาหาร2 การวิจัยต่อยอดด้านความปลอดภัยของอาหารจากเชื้อแบคทีเรียก่อโรคอาหารเป็นพิษ: จากตลาดสู่โต๊ะอาหาร (ปีที่ 3) ผลเชิงป้องกันของโกฐจุฬาลัมพา (Artemisia vulgaris L.) ในการยับยั้งการก่อกลายของเซลล์เป็นเซลล์มะเร็ง
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก