สืบค้นงานวิจัย
การประเมินศักยภาพและความเหมาะสมของพื้นที่และดินเพื่อกำหนดชุดเทคโนโลยีการจัดการในการปลูกอ้อยที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างของประเทศไทย
ทิมทอง ดรุณสนธยา - สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
ชื่อเรื่อง: การประเมินศักยภาพและความเหมาะสมของพื้นที่และดินเพื่อกำหนดชุดเทคโนโลยีการจัดการในการปลูกอ้อยที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างของประเทศไทย
ชื่อเรื่อง (EN): Potential and suitability assessment of lands and soils to develop management technology package for effective and sustainable sugarcane cropping in Lower Northeast Thailand
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: ทิมทอง ดรุณสนธยา
บทคัดย่อ: แผนงานวิจัยเรื่องการประเมินศักยภาพและความเหมาะสมของพื้นที่และดิน เพื่อกำหนดชุดเทคโนโลยี การจัดการดิน-ปุ้ยในการปลูกอ้อยที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างและ ตอนกลางของประเทศไทย มีวัตถุประสงค์ 2 อย่างคือ 1. เพื่อประเมินศักยภาพพื้นที่และคุณภาพของดิน เพื่อพัฒนาเทคโนโสยีการปลูกและการจัดการที่มี ประสิทธิภาพและยั่งยืนในการปลูกอ้อย และสามารถในการจัดการดิน-ปุ๋ย เพื่อการปลูกอ้อยในภาคตะวันออก เฉียงหนือตอนล่างได้ และ 2.. เพื่อกำหนดแนวทางการจัดการธาตุอาหารอย่างมีประสิทธิภาพในดินที่มีการปลูกอ้อย ในพื้นที่ที่ เกี่ยวข้องกับโรงงานน้ำตาลในจังหวัดกาฬสินธุ์ มหาสารคาร และร้อยเอ็ด (เพื่อยืนยันผลที่ได้จากการทดลอง แปลงอ้อยตอที่ 1 ที่ได้เสนอผลไปแล้ว) การประเมินศักยภาพของพื้นที่และคุณภาพของดิน เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการปลูกและการจัดการดิน- ปุ๋ยที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ในการปลูกอ้อยพื้นที่จังหวัดนคราชสีมา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างของ ประเทศไทยประกอบด้วย การทบหวนเอกสารและผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การออกศึกษาภาคสนามเพื่อ วิเคราะห์พื้นที่ และเก็บตัวอย่างดินเพื่อการวิเคราะห์สมบัติทางฟิสิกส์ เคมี แร่วิทยา โดยวิธีมาตรฐานใน ห้องปฏิบัติการ ประกอบด้วย การเก็บตัวอย่างดิน 3 ระดับความลึก คือ ดินบน ฐานของดินบนถึงระดับความ สึก 60 เซนติเมตร และช่วงความลึก 60-100 เซนติเมตร จำนวน 62 บริเวณในพื้นที่ปลูกอ้อย และการศึกษา หน้าตัดดินจำนวน 15 บริเวณ วิเคราะห์ตัวอย่างดินทางด้านฟิสิกส์และเคมี แร่วิทยา และวิเคราะห์ข้อมูลเชิง สถิติ ประเมินความอุดมสมบูรณ์ของดิน จำแนกสมรรถนะความอุดมสมบูรณ์ของดิน จำแนกดินตามระบบ อนุกรมวิธานดิน และสรุปผลการศึกษา เพื่อใช้ในการพัฒนาการปลูกอ้อย ผลจากการศึกษาพบว่า ดินที่ใช้ปลูกอ้อยในจังหวัดนครราชสีมาอยู่ในพื้นที่ที่เป็นตะพักที่ราบขั้นต่ำถึง ตะพักที่ราบขั้นกลางเป็นส่วนใหญ่ ดินมีลักษณะเนื้อดินหลากหลายตั้งแต่เป็นทรายถึงดินเหนียว โดยดินใน ตอนบนจะมีเนื้อหยาบกว่า (มีอนุภาคทรายมากกว่า) ดินในตอนล่าง และพบว่าดินส่วนใหญ่มีการสะสมดิน เหนียวในชั้นดินล่าง ดินส่วนใหญ่มีพัฒนาการในขั้นปานกลางขึ้นป ลักษณะของเนื้อดินไม่เป็นข้อจำกัดต่อการ ปลูกอ้อย ดินมีสมบัติทางเคมีไม่เป็นข้อจำกัดต่อการปลูกอ้อย คือมีพี่เอชส่วนใหญ่ไม่ต่ำเกินไป (pH >5.5) หรือ สูงเกินไป (PH <7.3) ดินมีพี่เอชในน้ำ (1:1 H.0) สูงกว่าพีเอซในโพแทสเชียมคลอไรด์ (1:1 KcI) แสดงว่า สามารถจัดการธาตุอาหารที่เป็นธาตุประจุบวกได้ ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำเป็นส่วนใหญ่ มีอินทรียวัตถุต่ำ มี เบสที่เป็นแคตไอออนต่ำ และดินมีสมรรถะความอุดมสมบูรณ์ที่แสดงว่ามีโพแทสเซียมสำรองต่ำ ดินส่วนใหญ่ (8หน้าตัดดิน) เป็นดินในกลุ่มดินย่อย Typic Paleustults และกลุ่มดินย่อยอื่น ๆ ที่พบอย่างละ 1 หน้าตัดดิน คื อ Typic Haplustalfs, Arenic Haplustalfs, Typic Plinthustults, Typic Plinthustalfs, Typic Endoaqualfs และ พบ Kanhaplic Haplustalfs 2 หน้าตัดดิน ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์จากการศึกษาทั้ง 2 ลักษณะชี้ว่า สมบัติของดินที่จะต้องมีการจัดการคือ อินทรียวัตถุ โพแทสเชียมสำรอง และจุลธาตุที่เป็น ประโยชน์คือ ทองแดง และสังกะสี เพื่อให้ดินสามารถรองรับการปลูกอ้อยที่ยั่งยืนได้ และข้อเสนอแนะที่สำคัญ คือ ไม่ควรปลูกอ้อยในพื้นที่ที่ต่ำ และมีน้ำขังเป็นช่วงเวลานานในฤดูฝน สำหรับการจัดการปุ้ยครบสูตรใน ปัจจุบันในการปลูกอ้อย เหมาะสมดีอยู่แล้ว แต่การจัดการดิน-ปุ้ยในอ้อยตอ โดยเฉพาะอ้อยตอที่ 1 ควร พิจารณาการจัดการอินทรียวัถุ โพแทสเชียมสำรอง และจุลธาตุที่เป็นประโยชน์ จากผลการศึกษาการจัดการปุยโพแทสเชียม ธาตุอาหารรอง และธาตุอาหารเสริมสำหรับอ้อยตอ 1 ใน ปี 2560 พบว่าทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นและได้กำไรเพิ่มขึ้น ในการศึกษานี้จึงประเมินแนวทางการจัดการปุย โพแทสเซียม แมกนีเชียม สังกะสีและโบรอนในชุดดินโคราช ซึ่งเป็นดินเนื้อหยาบและใช้ปลูกอ้อยมากในจังหวัด กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด และมหาสารคาม โดยร่วมกับโรงงานน้ำตาลคัดเลือกแปลงอ้อยตอที่ 1 พันธุ์ขอนแก่น 3 ใน เกษตรกรจำนวน 4 แปลง และมีแนวทางการจัดการปุ้ย 8 วิธี จำนวน 3 ซ้ำ ประกอบด้วย 8 ตำรับการทตลอง ดังนี้ (1) 21N-7P.0-18K3O (2) 21N-7P.Q-18K3O + 696Mg0+4%5 (3) 21N-7P.Os-18KO + 0.19%Zn +0.17%B (4) 21N-7P2Qs25K.O + 6%MgO+4%S +0.1%Zn+0.17%B (5)21N-7P20s-25K,O (6)21N- 7P205-25K2O + 6%MgO+4%S(7)21N-7P205-25K2O+0.1%Zn+0.17%B(8)21N-7P20s-25K20+ 6%MeO + 4%S + 0.1%Zn+0.17%B จากผลการวิเคราะห์ดินก่อนการทดลอง พบว่า ดินส่วนใหญ่มีสภาพเป็นกรดจัดถึงกรดปานกลาง มี ปริมาณอินทรียวัตถุในดินต่ำมากถึงต่ำ ปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ค่อนข้างต่ำถึงสูงมาก ส่วนใหญ่ดินมี ปริมาณโพแทสเชียมที่เป็นประโยชน์อยู่ในระดับต่ำมากถึงปานกลาง มีปริมาณแคลเซียมที่เป็นประโยชน์ต่ำถึง ปานกลาง มีปริมาณแมกนีเซียมที่เป็นประโยชน์ต่ำถึงปานกลาง และดินมีปริมาณกำมะถันที่เป็นประโยชน์ต่ำ กว่า 10 มก/กก. ส่วนปริมาณธาตุอาหารเสริมที่เป็นประโยชน์ พบเหล็กที่เป็นประโยชน์สูงมาก แมงกานีสที่ เป็นประโยชน์สูงถึงสูงมาก ทองแดงปานกลางถึงต่ำ และสังกะสีที่เป็นประโยชน์ตั้งแตไม่พบถึงปานกลาง และ ปริมาณโบรอนต่ำมากถึงสูง ดังนั้นจากการจัดการอัตราปุ้ยโพแทสเซียมตามค่าวิเคราะห์ดิน จะพบว่า การใส่ปุ๋ย สูตร 21-7-18 อัตรา 100 กก/ไร่ ร่วมกับปุยแมกนีเซียมซัลเฟต อัตรา 25 กก/ไร่ หรือการใส่ปุ๋ยสูตร 21-7-25 อัตรา 100 กก./ไร่ ร่วมกับปุยสังกะสีซัลเฟต (35%Zn) อัตรา 1 กก./ไร่ และปุยเฟอติบอร์ (15%B) อัตรา 176 กรัม/ไร่ นดินที่มีโพแทสเซียมที่เป็นประโยชน์ปนกลางและมีสังกะสีที่เป็นประโยชน์และโบรอนที่เป็นประโยชน์ ระดับต่ำมากถึงต่ำจะทำให้ผลผลผลิตเพิ่มขึ้นและได้กำไรสูงสุด แต่ถ้าดินมีโพแทสเซียมที่เป็นประโยชน์ต่ำมาก ควรใส่ปุ๋ยโพแทสเซียมในอัตรา 25 กก.K.O/ไร่ จะทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นและได้กำไรสูงขึ้น ดังนั้นการจัดการปุ๋ย โพแทสเซียม ปุ้ยสังกะสีและปุ้ยโบรอนในดินที่มีโพ พแทสเชียม สังกะสี และโบรอนที่เป็นประโยชน์ต่ำมากถึงต่ำ โดยเฉพาะในดินเนื้อหยาบจะช่วยเพิ่มผลผลิตอ้อยและผลผลิตน้ำตาลในการผลิตอ้อยตอที่ที่ 1 ได้
บทคัดย่อ (EN): Research plan on potential and suitability assessment of lands and soils to develop soilfertilizer management technology package for effective and sustainable sugarcane cropping in Lower and Central Northeast Thailand has two objectives; 1. Assessment on potential of lands and soil quality to develop technology packages for effective and sustainable sugarcane growing enabling for soil and fertilizer management for growing sugarcane in Lower Northeast Thailand and, 2. Assessment on effective approaches on effective soil nutrient management in sugarcane growing in lands related to sugar factories in Kalasin, Maha Sarakham and Roi Et Provinces. Assessment on potential of lands and soil quality to develop soil-fertilizer technology package for effective and sustainable sugarcane cropping in Nakhon Ratchasima Province, Lower Northeast Thailand included activities on literature review on related matters, field works to study the land characteristics and collecting soil samples at three depths: surface soil, base of surface soil to 60 centimeters and 60-100 centimeters depth. Soil sampling was carried out at 62 locations along with soil profile study of 15 locations in sugarcane planting area. The activities also included analyses of soil samples for their physicochemical properties based on standard laboratory analytical methods and procedures, statistical analysis on the analytical data soil fertility assessment, fertility capability soil classification, taxonomic classification of soils and combining conclusive results to be used in sugarcane cropping. Results of the study revealed that sugarcane growing soils in Nakhon Ratchasima Province are mainly located on lower plain terrace and middle plain terrace areas. The soils have variable textures from sandy to clayey and normally the soils on the upper part of the profile are coarser (having more sand separates) than the soils in the lower part of the profile and the evidence of clay accumulation in the lower part of the profile is generally observed. Mainly, the soils show stages of development from moderately developed and higher. Soil textures do not pose any limitation for sugarcane growing and soil chemical properties also do not show any limitation for growing sugarcane. Soil pH values are mainly not too low (pH >5.5) or too high ( pH <7.3) . The soil pH in water ( 1:1 H2O) is higher than the soil pH in potassium chloride (1:1 KCl) indicating that the soils can accept cation fertilizer management. Mainly, the soils have low fertility and low organic matter, low basic cations. The results on fertility capability assessment indicated that the soils have low potassium reserve. Majority of soils (8 profiles) are Typic Paleustults and other subgroups of these soils include one of Typic Haplustalfs, Arenic Haplustalfs, Typic Plinthustults, Typic Plinthustalfs, Typic Endoaqualfs and two Kanhaplic Haplustalfs. Analytical data from both studies on data from three depths of soils and data from profile study indicated that the sugarcane growing soils in Nakhon Ratchasima Province needs management on organic matter, potassium reserve, and available micronutrients including copper and zinc to support soils for sustainable sugarcane growing. In addition, another important recommendation is to avoid growing sugarcane in too low areas แผนงานวิจัย Abstract -2 with long period of water stagnancy during rainy season. The present complete N-P-K fertilizer management in planting cane is generally suitable, however, the soil-fertilizer management in ratoon cane particularly for the 1st ratoon cane should consider management on organic matter, potassium reserve, and available micronutrients. For assessment on effective nutrient management results of study on potassium, secondary nutrients and micronutrient fertilizer management in soils for the first ratoon sugarcane in 2017 showed increasing yield and profit. Therefore, this research aimed at assessing effective approaches for potassium, zinc and boron fertilizer management on Korat soil series, a coarse texture soil and it covers most area of sugarcane production in Kalasin, Maha Sarakham and Roi Et Provinces. Ratoon 1 of KK3 sugarcane variety at 4 locations were chosen by sugar mill factory for the experiment. Soil samples were collected for nutrient analysis and evaluation for fertilizer management. The fertilizer managements were composed of 8 treatments with 3 replications: (1) 21N-7P2O5 -18K2O (2) 21N-7P2O5 -18K2O + 6%MgO+4%S (3) 21N-7P2O5 -18K2O + 0.1%Zn + 0.17%B (4) 21N-7P2O5 -25K2O + 6%MgO + 4%S + 0.1%Zn + 0.17%B (5) 21N-7P2O5 -25K2O (6) 21N-7P2O5 -25K2O + 6%MgO+4%S (7) 21N-7P2O5 -25K2O + 0.1%Zn + 0.17%B (8) 21N-7P2O5 -25K2O + 6%MgO + 4%S + 0.1%Zn + 0.17%B. Soil analysis results before starting the experiment showed that the soils were mainly strongly to moderately acid, having very low to low organic matter, moderately low to very high phosphorus. The soils had very low to moderate available potassium, low to high available calcium, low to moderate available magnesium, and in most soils available sulfur was less than 10 mg/kg. For micronutrients, soils had very high available iron, high manganese, low to moderate copper, not detectable to moderate zinc and not detectable to very high boron. Therefore, management of potassium, magnesium, sulfur, zinc and boron fertilizers based on soil analysis result should maintain fertilizer formula 21-7-18 at 100 kg/rai plus MgSO4 25 kg/ rai, or using fertilizer formula 21-7-25 at 100 kg/ rai with ZnSO4 ( 35%Zn) 1 kg/rai and Fertibor (15%B) 176 g/rai particularly for soils that had medium available potassium and very low to low available zinc and boron to increase yield and the best profit for farmers. However, for soils that have very low available potassium, potassium fertilizer should be applied at least at 25 K2O kg/ rai to increase yield and profit. Therefore, potassium, zinc and boron fertilizer should be applied for sugarcane production in coarse texture with very low to low available potassium, zinc and boron in soil that can increase yield and sugar yield for 1 ratoon sugarcane.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เอกสารแนบ: https://elibrary.trf.or.th/project_content.asp?PJID=RDG62T0092
เผยแพร่โดย: สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
คำสำคัญ: ความอุดมสมบูรณ์ของดิน
คำสำคัญ (EN): Soil fertility
หมวดหมู่:
หมวดหมู่ AGRIS:
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การประเมินศักยภาพและความเหมาะสมของพื้นที่และดินเพื่อกำหนดชุดเทคโนโลยีการจัดการในการปลูกอ้อยที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างของประเทศไทย
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
2563
เปรียบเทียบการใช้ชนิดและปริมาณปุ๋ยอินทรีย์ในการปลูกอ้อยเพื่อเกษตรกรรายย่อยใน อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ การประเมินศักยภาพพื้นที่และดินเพื่อกำหนดชุดเทคโนโลยีการจัดการ ในการปลูกอ้อยที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลางของประเทศไทย ทดสอบเทคโนโลยีการผลิตยางพาราที่เหมาะสม ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ทดสอบเทคโนโลยีการผลิตยางพาราที่เหมาะสมในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง การประเมินศักยภาพ ปริมาณพื้นที่และคุณภาพของดินเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการปลูก และการจัดการที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนในการปลูกอ้อยพื้นที่จังหวัดชัยภูมิและนครราชสีมา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างของประเทศไทย การประเมินศักยภาพเชิงพื้นที่ และความเหมาะสมของดินนาที่มีผลิตภาพต่ำ เพื่อการปลูกและการจัดการธาตุอาหารอ้อย ในจังหวัดหนองบัวลำพู ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนของประเทศไทย การใช้ประโยชน์ของดินชุดยโสธรเพื่อการเกษตรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การศึกษารูปแบบที่เหมาะสมการเลี้ยงหมูหลุม ของเกษตรกรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง การประเมินปริมาณพื้นที่และคุณภาพของดินเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีการปลูกและการจัดการที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนในการปลูกอ้อย ในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด และมหาสารคาม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง การจัดทำระบบฐานข้อมูลสารสนเทศพื้นที่ความเหมาะสมและการจัดการดินสำหรับการปลูกอ้อยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก