สืบค้นงานวิจัย
โครงการวิจัยและพัฒนาชีวภัณฑ์เกษตรและผลิตภัณฑ์สำหรับการปลูกพืชเพื่อลดการใช้สารเคมีบนพื้นที่สูง โครงการย่อยที่ 2 การศึกษาและพัฒนาต้นแบบชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดโรคขอบใบไหม้กะหล่ำปลีและใบจุดตากบผักกาดหอมห่อบนพื้นที่สูง
อังสนา อัครพิศาล - สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน)
ชื่อเรื่อง: โครงการวิจัยและพัฒนาชีวภัณฑ์เกษตรและผลิตภัณฑ์สำหรับการปลูกพืชเพื่อลดการใช้สารเคมีบนพื้นที่สูง โครงการย่อยที่ 2 การศึกษาและพัฒนาต้นแบบชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดโรคขอบใบไหม้กะหล่ำปลีและใบจุดตากบผักกาดหอมห่อบนพื้นที่สูง
ชื่อเรื่อง (EN): Research and Development of Agricultural Bio-products in order to Reduce Agro-Chemical on highland Plantations Subproject 2 Study of Formulation Development for Controlling Black Rot of Cabbage and Cercospora leaf spot of Head Lettuce on the Highland
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: อังสนา อัครพิศาล
บทคัดย่อ: การปรับสูตรการผลิตชีวภัณฑ์ในรูปแบบผง สำหรับใช้ในการป้องกันกำจัดโรคขอบใบไหม้ของกะหล่ำปลีที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Xanthomonas campestris และใบจุดตากบของผักกาดหอมห่อที่เกิดจากเชื้อรา Cercospoa sp. เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานและการเก็บรักษาและมีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคสูง เมื่อตรวจนับปริมาณเชื้อครั้งแรกหลังจากการผลิตเสร็จ และนับทุกเดือนเป็นระยะเวลานาน 3 เดือน พบว่ามีการลดลงของปริมาณเชื้อแบคทีเรียและยีสต์ปฏิปักษ์ เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณเริ่มต้นหลังการผลิตเพียงเล็กน้อย หลังจากนั้นได้พัฒนาและปรับสูตรใหม่ เพื่อให้ง่ายต่อการผลิต วัสดุอุปกรณ์หาซื้อได้ง่าย และราคาต้นทุนที่ต่ำลงกว่าเดิม โดยใช้น้ำตาลทรายแทนน้ำตาลซูโครส เมื่อตรวจนับปริมาณเชื้อทุกเดือนเป็นระยะเวลานาน 3 เดือน พบมีการลดลงของเชื้อแบคทีเรียและยีสต์ปฏิปักษ์ และเมื่อมีการปรับสูตรชีวภัณฑ์แล้ว นำชีวภัณฑ์ที่ได้มาทดสอบความประสิทธิภาพในการยับยั้งการเจริญของเชื้อรา Cercospora sp. สาเหตุโรคใบจุดตากบของผักสลัด และแบคทีเรีย X. campestris สาเหตุโรคขอบใบไหม้กะหล่ำปลี โดยมีเชื้อแบคทีเรียปฏิปักษ์ ไอโซเลท B6 B18 และเชื้อยีสต์ปฏิปักษ์ไอโซเลท Y2 พบว่า ชีวภัณฑ์ที่ผลิตได้จากเชื้อปฏิปักษ์ 3 ไอโซเลทนี้ มีเปอร์เซ็นต์การยับยั้งเชื้อราสาเหตุโรคใบจุดตากบของผักกาดหอมห่อได้ 62.22, 60.00 และ 58.89 เปอร์เซ็นตามลำดับ ไม่แตกต่างกัน และมีบริเวณใส คือ 11.7 12.0 และ 13.3 มิลลิเมตร ตามลำดับ ส่วนการเป็นปฏิปักษ์ต่อแบคทีเรียสาเหตุโรคขอบใบไหม้ของกะหล่ำปลี พบว่า ชีวภัณฑ์จากแบคทีเรียปฏิปักษ์ B6 มีประสิทธิภาพสูงสุด มีบริเวณใสความกว้างเฉลี่ย 4.10 มิลลิเมตร รองลงมา คือ B18 และ Y2 มีบริเวณใสความกว้างเฉลี่ย เท่ากับ 2.60 และ 2.40 มิลลิเมตรตามลำดับ จากการทดสอบการอยู่ร่วมกันระหว่างเชื้อจุลินทรีย์ปฏิปักษ์ทั้ง 6 ไอโซเลท ได้แก่ B6, B16, B18, T14, Y1 และ Y2 แสดงให้เห็นว่าแบคทีเรียปฏิปักษ์ T14 เกิดการยับยั้งการเจริญหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อเชื้อ B6, B16 และ B18 จึงไม่ควรใช้แบคทีเรียปฏิปักษ์ T14 ร่วมกับเชื้อแบคทีเรียปฏิปักษ์ B6, B16 และ B18 แต่แบคทีเรียปฏิปักษ์ทั้ง 3 ไอโซเลทไม่มีความเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน และแบคทีเรียปฏิปักษ์ B6, B16, B18 และ T14 มีผลยับยั้งการเจริญของยีสต์ปฏิปักษ์ Y1 และ Y2 จึงไม่ควรใช้ยีสต์ร่วมกับแบคทีเรียปฏิปักษ์ จากนั้นทดสอบความมีชีวิตรอดของจุลินทรีย์ปฏิปักษ์ทั้ง 6 ไอโซเลท คือ B6, B16, B18, T14, Y1 และ Y2 ในสารป้องกันกำจัดโรคพืช บนอาหารแข็ง NA (Nutrient Agar) ที่ผสมสารเคมีป้องกันกำจัดโรคพืช 3 ชนิด ได้แก่ carbendazim, copper oxychloride และ mancozeb ที่ระดับความเข้มข้น 1/4 ของอัตราแนะนำ, 1/2 ของอัตราแนะนำ และอัตราแนะนำ พบว่า แบคทีเรียปฏิปักษ์ทั้ง 4 ไอโซเลท ไม่สามารถเจริญบนอาหารแข็ง NA ที่ผสมสารเคมี copper oxychloride และ mancozeb ในทุกความเข้มข้น แต่สามารถเจริญบนอาหารแข็ง NA ที่ผสมสารเคมี carbendazim ในทุกความเข้มข้น ส่วนยีสต์ปฏิปักษ์ Y1 และ Y2 ไม่สามารถเจริญบนอาหารแข็ง NA ที่ผสมสารเคมี mancozeb ในทุกความเข้มข้น แต่สามารถเจริญได้บนอาหารแข็ง NA ที่ผสมสารเคมี carbendazim และ copper oxichloride ได้ในทุกความเข้มข้น อีกทั้งได้ทดสอบการมีชีวิตรอดของจุลินทรีย์ปฏิปักษ์ทั้ง 6 ไอโซเลท ในอาหารเหลวที่ผสมสารเคมี 4 ชนิด ได้แก่ carbendazim, captan, copper oxychloride และ mancozeb ที่ระดับความเข้มข้นต่างๆ คือ 1/4 ของอัตราแนะนำ, 1/2 ของอัตราแนะนำ และอัตราแนะนำของสารเคมีแต่ละชนิด พบว่า แบคทีเรียปฏิปักษ์ทั้ง 5 ไอโซเลท B6, B10, B16, B18 และ T14 สามารถมีชีวิตรอดได้ในสารเคมี carbendazim, captan, copper oxychloride และ mancozeb ในทุกระดับความเข้มข้นเป็นเวลา 3 วัน ในแต่ละความเข้มข้น อย่างไรก็ตามพบว่าปริมาณของแบคทีเรียปฏิปักษ์จะลดลงจากเดิมเล็กน้อย ส่วนยีสต์ปฏิปักษ์ พบว่า Y1 และ Y2 สามารถมีชีวิตรอดได้ในสารเคมีสาร carbendazim และ copper oxychloride ที่ทุกระดับความเข้มข้นเป็นเวลา 3 วัน เช่นกัน แต่ในสารเคมี captan และ mancozeb ยีสต์ปฏิปักษ์ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ ส่วนการทดสอบประสิทธิภาพในการควบคุมโรคของชีวภัณฑ์ในสภาพโรงเรือนต่อเชื้อแบคทีเรีย X. campestris ในกะหล่ำปลี ซึ่งมีการวางแผนการทดลองที่แตกต่างกันไป 4 ชุดการทดลองพบว่า การทดลองที่ 1 พบว่ากรรมวิธีที่ 6 หลังจากพ่นชีวภัณฑ์ B6, B18 และ Y2 สลับกัน สามารถลดการเกิดโรคได้ เช่นเดียวกับกรรมวิธีที่ 3 (พ่น B6 สลับกับ B18), กรรมวิธีที่ 4 (พ่น B6 สลับกับ Y2, กรรมวิธีที่ 5 (พ่น B18 สลับกับ Y2), กรรมวิธีที่ 7 (พ่น B6) และ กรรมวิธีที่ 9 (พ่น Y2) ส่วนการทดลองครั้งที่ 2 กรรมวิธีที่ 6 พ่น B6 B18 Y2 สลับกัน แสดงอาการของโรคในระดับใกล้เคียงกับกรรมวิธีที่ 7 (พ่น B6) แสดงอาการของโรครุนแรงไม่แตกต่างกัน ส่วนการทดลองที่ 3 กรรมวิธีที่ 5 พ่น Y2 แสดงอาการของโรคน้อยที่สุดคือ 1.88 ซึ่งไม่แตกต่างกับกรรมวิธีที่ 3 พ่น B6 และ กรรมวิธีที่ 4 พ่น B18 และการทดลองที่ 4 มีการใช้สารเคมีเปรียบเทียบในการทดลอง พบว่า กรรมวิธีที่ 5 ที่พ่น Y2 แสดงอาการของโรคน้อยเช่นเดียวกับกรรมวิธีที่ 4 พ่น B18 กรรมวิธีที่ 6 พ่นสารเคมี copper oxychoride และ กรรมวิธีที่ 7 พ่นสารเคมี mancocep ไม่แตกต่างกันทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 95% เมื่อชั่งน้ำหนักสดและน้ำหนักแห้งแต่ละกรรมวิธี กรรมวิธีที่มีการพ่นสารชีวภัณฑ์และ mancocep มีค่าของน้ำหนักสดและน้ำหนักแห้งมากกว่าชุดควบคุมที่ปลูกเชื้อสาเหตุ ส่วนการทดสอบประสิทธิภาพชีวภัณฑ์ ในการควบคุมโรคใบจุดตากบของผักกาดหอมที่มีสาเหตุจากเชื้อรา Cercospora sp.ในสภาพโรงเรือน ซึ่งมีการวางแผนการทดลองที่แตกต่างกันไป 2 ชุดการทดลอง พบว่า การทดลองที่ 1 กรรมวิธีที่ 5 คือพ่น Y2 แสดงอาการของรุนแรงโรคต่ำที่ระดับ 0.94 เช่นเดียวกับกรรมวิธีที่ 4 ที่พ่น B18 และการทดลองที่ 2 มีการใช้สารเคมีเปรียบเทียบในการทดลอง พบว่า กรรมวิธีที่ 6 และ 7 พ่นสารเคมีป้องกันกำจัดโรคพืช copper oxychloride และ mancozeb แสดงอาการของโรคต่ำที่ระดับ 0.47 – 0.67 ซึ่งไม่แตกต่างกัน รองลงมาพบว่ากรรมวิธีที่ 3, 4 และ 5 เกิดโรคที่ระดับ 0.76 – 0.97 ซึ่งไม่มีความแตกต่างกัน เมื่อเปรียบเทียบกับชุดควบคุมที่มีการปลูกเชื้ออย่างเดียว เกิดโรคสูงสุดที่ระดับ 1.4
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน)
คำสำคัญ: ผักกาดหอมห่อ
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
โครงการวิจัยและพัฒนาชีวภัณฑ์เกษตรและผลิตภัณฑ์สำหรับการปลูกพืชเพื่อลดการใช้สารเคมีบนพื้นที่สูง โครงการย่อยที่ 2 การศึกษาและพัฒนาต้นแบบชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดโรคขอบใบไหม้กะหล่ำปลีและใบจุดตากบผักกาดหอมห่อบนพื้นที่สูง
สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน)
30 กันยายน 2557
การวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวโดยใช้เทคโนโลยีชีวภาพภายใต้ความร่วมมือระหว่างกรมการข้าวกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ระยะที่ 2 วิธีดูแลตนเองจากเพลิงไหม้สารเคมี โครงการย่อยที่ 10: การวิจัยและพัฒนาชีวภัณฑ์ต้นแบบในการป้องกันโรคใบจุดสำหรับการปลูกพืช ตระกูลกะหล่ำบนพื้นที่สูง โครงการวิจัยและพัฒนาชีวภัณฑ์เกษตรและผลิตภัณฑ์สำหรับการปลูกพืชเพื่อลดการใช้สารเคมีบนพื้นที่สูง โครงการย่อยที่ 3 การศึกษาและพัฒนาต้นแบบชีวภัณฑ์ลดความเป็นกรดและความเป็นพิษโลหะหนักาซินิคในดินบนพื้นที่สูง โครงการวิจัยและพัฒนาชีวภัณฑ์เกษตรและผลิตภัณฑ์สำหรับการปลูกพืชเพื่อลดการใช้สารเคมีบนพื้นที่สูง โครงการย่อยที่ 1 การวิจัยและพัฒนาชีวภัณฑ์ป้องกันกำจัดศัตรูพืชและผลิตภัณฑ์สำหรับการปลูกพืชเศรษฐกิจบนพื การติดตามตรวจสอบสารกลุ่มโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนในอากาศริมถนนโดยใช้ใบไม้ในเขตจังหวัดนนทบุรี ฐานข้อมูลจีโนไทป์ของเชื้อพันธุกรรมพืชตระกูลแตง โครงการวิจัยและพัฒนาชีวภัณฑ์เกษตรและผลิตภัณฑ์สำหรับการปลูกพืชเพื่อลดการใช้สารเคมีบนพื้นที่สูง โครงการย่อยที่ 3 การวิจัยและพัฒนาชีวภัณฑ์เกษตรและสารเคลือบผลสำหรับควบคุมโรคผลเน่าของสตรอเบอรี่ โครงการ พัฒนาเยาวชนบนพื้นที่สูง วิจัยและพัฒนาชีวภัณฑ์เกษตรและผลิตภัณฑ์สำหรับการปลูกพืชเพื่อลดการใช้สารเคมีบนพื้นที่สูง โครงการย่อยที่ 6: การศึกษาหาวิธีการควบคุมจิ้งหรีด วงศ์ Gryllidae โดยชีววิธี สำหรับการเพาะปลูกพืชบนพื้นที่สูง
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก