สืบค้นงานวิจัย
การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพเพื่อเพิ่มมูลค่าจากธัญพืชไทย
ชวนพิศ อรุณรังสิกุล - มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ชื่อเรื่อง: การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพเพื่อเพิ่มมูลค่าจากธัญพืชไทย
ชื่อเรื่อง (EN): Research and Development for Nutritious Products from Thai Cereals
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: ชวนพิศ อรุณรังสิกุล
บทคัดย่อ: การคัดเลือกและการผลิตธัญพืชไทยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์สุขภาพ พบว่า วัสดุปลูกที่เหมาะสมในการใช้ผลิตต้นกล้าข้าว ได้แก่ การใช้ขุยมะพร้าวกับขี้เถ้าแกลบ อัตราส่วน 2: 1 หรือ ขุยมะพร้าวกับทราย อัตราส่วน 2:1 พบว่าการให้ปุ๋ยน้ำกับต้นกล้าข้าวหอมมะลิ 105 และข้าวสาลีอินทรี 1 ทำให้มีค่าเฉลี่ยในลักษณะต่าง ๆ สูงกว่าการให้น้ำอย่างเดียว และมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในข้าวหอมมะลิ 105 และข้าวสาลีอินทรี 1 ที่ใช้ขี้เถ้าแกลบเป็นวัสดุรองเพาะให้คลอโรฟิล เอ และบี สูงสุด ส่วนการใช้แกลบดิบเป็นวัสดุรองเพาะกับข้าวหอมมะลิ 105 ทำให้ความสูงต้นกล้า น้ำหนักต้นกล้า และเปอร์เซ็นต์น้ำคั้น สูงสุด นอกจากนั้นยัง พบว่า แกลบดิบเป็นวัสดุรองเพาะที่ให้ข้าวสาลีอินทรี 1 มีน้ำหนักต้นกล้า สูงสุด เช่นกัน แต่เมื่อใช้ปุ๋ยน้ำร่วมพบว่า ในข้าวสาลีอินทรี 1 ที่ใช้แกลบดิบจะให้คลอโรฟิลสูงกว่าขี้เถ้าแกลบ การใช้ขี้เถ้าแกลบร่วมกับปุ๋ยน้ำให้ความสูงต้นมากที่สุดในข้าวหอมมะลิ 105 น้ำหนักต้นกล้ามากที่สุดในข้าวเหนียวดำ และเปอร์เซ็นต์น้ำคั้นสูงสุดในข้าวสาลีอินทรี 1 นอกจากนั้นพบว่า เมื่อเปรียบเทียบการให้ปุ๋ยน้ำที่ความเข้มข้น 2 เท่า 1 เท่า และ 0.5 เท่า ของอัตราปกติ การใช้แกลบดิบเป็นวัสดุรองเพาะให้ค่าเฉลี่ยในลักษณะต่าง ๆ สูงกว่าขี้เถ้าแกลบ ปุ๋ยน้ำที่ความเข้มข้น 1 เท่า ให้ที่ความสูงต้นที่ 15 วัน เปอร์เซ็นต์น้ำคั้น และปริมาณวิตามินซี สูงสุด ในขณะที่การใช้ปุ๋ยน้ำ 2 เท่าของอัตราปกติ ให้น้ำหนักต้นกล้าและปริมาณคลอโรฟิล สูงสุด สำหรับความหนาของวัสดุที่ใช้รองเพาะ พบว่า การใช้วัสดุรองเพาะที่หนา 1 เซนติเมตรให้น้ำหนักต้นกล้ามากกว่าความหนาแค่ 0.5 เซนติเมตร โดยการใช้ขี้เถ้าแกลบที่หนา 1 เซนติเมตรให้ต้นกล้าสูงกว่าแกลบดิบในข้าวสาลีอินทรี 1 และข้าวหอมมะลิ 105 แต่ให้ผลตรงข้ามกับข้าวเหนียวดำ พบว่า เมล็ดข้าวสาลีอินทรี 1 และเมล็ดข้าวเหนียวดำ ที่แช่ด้วยน้ำก่อนบ่ม 48 ชั่วโมงให้น้ำหนักเมล็ดงอกสูงกว่าเมล็ดที่แช่ด้วยปุ๋ยน้ำ ปุ๋ยน้ำร่วมกับไคโตซาน หรือน้ำร่วมกับไคโตซาน ตรงข้ามกับเมล็ดข้าวสุพรรณบุรี 1 และเมล็ดข้าวหอมมะลิ 105 ที่แช่ด้วยปุ๋ยน้ำก่อนบ่ม 48 ชั่วโมงให้น้ำหนักเมล็ดงอกที่สูงกว่า แต่พบว่าทั้งเมล็ดข้าว 4 พันธุ์ให้น้ำหนักเมล็ดงอกสูงสุด เมื่อแช่ในปุ๋ยน้ำเป็นเวลา 96 ชั่วโมงอายุต้นกล้าที่เหมาะสมสำหรับการตัดใบเพื่อทำน้ำคั้นใบข้าว พิจารณาจากปริมาณคลอโรฟิล และน้ำหนักต้นกล้าที่ได้ ในแต่ละช่วงอายุ พบว่า ข้าวสาลีอินทรี 1 เหมาะสมอยู่ที่อายุ 15 วัน ข้าวสุพรรณบุรี 1 ที่อายุ 10-15 วัน และข้าวเหนียวดำที่อายุ 15-20 วัน และต้นกล้าหลังจากการตัดใบครั้งที่ 1 ไปแล้ว 10 วัน พบว่า ข้าวสาลีอินทรี 1 ให้ค่าเฉลี่ยเกือบทุกลักษณะเช่น น้ำหนักต้นกล้า เปอร์เซ็นต์น้ำคั้น ปริมาณคลอโรฟิล และปริมาณวิตามินซี มากกว่าข้าวสุพรรณบุรี 1 และข้าวเหนียวดำ ยกเว้นความสูงต้นกล้าที่ข้าวสุพรรณบุรี 1 มีความสูงมากกว่าข้าวสาลีอินทรี 1 และข้าวเหนียวดำ เพาะเมล็ดธัญพืช 3 ชนิด คือ ข้าวหอมมะลิ 105, ข้าวสาลีพันธุ์อินทรี 1 และข้าวสาลีพันธุ์การค้า ในอาหารสูตร MS (1962) ที่ไม่เติมสารเร่งการเจริญเติบโต พบว่า เมล็ดของข้าวหอมมะลิ 105 มีเปอร์เซ็นต์การงอกสูงสุด (98.26%) จากนั้นตัดยอดและรากของต้นกล้าทั้ง 3 พันธุ์ให้เหลือเฉพาะโคนสูงประมาณ 1 ซม.นำมาเลี้ยงในสูตรอาหาร MS ที่เติม TDZ พบว่า สูตรที่ชักนำให้ต้นกล้าข้าวทั้ง 3 ชนิดแตกกอดีที่สุด คือสูตรที่เติม TDZ 2 มก./ล. ศึกษาการใช้สารไคโตซานร่วมกับสารเร่งการเจริญเติบโตในการแช่เมล็ดข้าวเพื่อเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อกับการเพาะเลี้ยงเซลล์ข้าวหอมมะลิ พบว่า ต้นกล้าข้าวที่เจริญจากเมล็ดที่แช่สารไคโตซานในอาหารสูตร MS มีใบเขียวเข้มกว่าต้นกล้าที่มาจากเมล็ดที่ไม่แช่สารไคโตซานหลังจากเลี้ยงประมาณ 14 วัน จากนั้นนำต้นกล้าที่ได้จากสูตร MS มาเลี้ยงในอาหารสูตร MS ที่เติม TDZ 2 มก./ล. ร่วมกับสารไคโตซานความเข้มข้นต่างๆ พบว่า ต้นกล้าที่แช่สารไคโตซานมีการแตกกอดีกว่าโดยเฉพาะสูตรที่เติมสารไคโตซาน 5 มก./ล.(11.14 ต้น/เมล็ด) จากนั้นเพิ่มปริมาณต้นกล้าข้าวเพื่อนำไปวิเคราะห์สารสำคัญทางโภชนาการ พบว่า ต้นกล้าที่เลี้ยงในอาหารที่มีสารไคโตซานความเข้มข้นตั้งแต่ 5-15 มก./ล. มีแนวโน้มการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระ คลอโรฟิลล์เอและบี มากกว่า control เมื่อย้ายปลูกต้นกล้าข้าวจากเนื้อเยื่อในอาหารเหลวสูตร MS เปรียบเทียบกับสูตร Hoakland ร่วมกับปุ๋ยสูตร NPK:18-46-0 ในโรงเรือนเป็นเวลา 15 วัน พบว่า ต้นกล้าที่เลี้ยงในอาหารเหลวสูตร Hoakland ร่วมกับปุ๋ยสูตร NPK:18-46-0 มีสีเขียวเข้ม เจริญเติบโตได้ดีและมีปริมาณสารคลอโรฟิลล์เอและบีสูงกว่าต้นกล้าที่ปลูกในสูตร MS สำหรับการทดลองเพาะเลี้ยงเซลล์แขวนลอยข้าวจากแคลลัสในอาหารเหลวพบว่า อาหารสูตร MS ที่เติม 2,4-D 2 มก./ล. ร่วมด้วย proline 0.3 ก./ล. casein hydrolysate 300 มก./ล. และน้ำตาล maltose 30 ก./ล.(R2.3) สามารถชักนำให้เกิดการแบ่งเซลล์ได้ดี เมื่อย้ายเซลล์เลี้ยงในอาหารสูตร R2.3 ที่เติมไคโตซาน ตั้งแต่ 5-15 มก./ล. พบว่า เซลล์มีการแบ่งตัวและเซลล์เจริญเติบโตได้ดีภายในเวลา 15 วัน จากนั้นย้ายกลุ่มเซลล์ดังกล่าวเลี้ยงบนอาหารแข็งสูตรดังกล่าวพบว่า เกิดแคลลัสที่เริ่มเกาะตัวกันแน่นสีขาวอมเหลือง แต่ยังไม่เกิดจุดกำเนิดยอดการศึกษานี้ทำการวิจัยแบบบูรณาการเพื่อประเมินศักยภาพของน้ำคั้นใบข้าวจากพันธุ์ข้าวไทยเพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ ผลการศึกษาเบื้องต้น คณะผู้วิจัยได้คัดเลือกพันธุ์ข้าวไทย 2 สายพันธุ์ คือ หอมมะลิ 105 และสุพรรณบุรี 1 จากจำนวนพันธุ์ข้าวไทย 7 สายพันธุ์ ซึ่งต่อมาทำการศึกษาสารอาหารสำคัญในน้ำคั้นใบข้าวโดยการตรวจวิเคราะห์เชิงปริมาณ ได้แก่ คลอโรฟิลโพแทสเซียม แคลเซียม เหล็ก สังกะสี แมกนีเซียม วิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีน ลูทีน และโพลีฟีนอล นอกจากนี้ทำการทดสอบความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของน้ำคั้นใบข้าวดังกล่าวด้วย 3 วิธี คือ DPPH assay, ORAC assay และ FRAP assay เพื่อให้ครอบคลุมต่อชนิดของสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มต่างๆที่มีอยู่ได้อย่างครบถ้วน ผลการศึกษาพบว่าแม้น้ำคั้นจากใบข้าวไทยจะมีคลอโรฟิล แคลเซียม เบต้าแคโรทีน และลูทีน น้อยกว่าในน้ำคั้นใบข้าวสาลี แต่สารอาหารสำคัญทางโภชนาการอื่นๆ เช่น แร่ธาตุ (โพแทสเซียม เหล็ก สังกะสี แมกนีเซียม) วิตามิน (วิตามินซี และวิตามินอี) และโพลีฟีนอล พบว่าน้ำคั้นใบข้าวไทยมีปริมาณมากกว่าน้ำคั้นใบข้าวสาลีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p?0.05) ทั้งนี้น้ำคั้นที่ได้จากใบข้าวเจ้ามีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าน้ำคั้นใบข้าวสาลีในทุกวิธีการทดสอบ ซึ่งผลการทดสอบของทั้ง 3 วิธี ปรากฏความสัมพันธ์ในลักษณะสอดคล้องกัน โดยความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระระหว่างน้ำคั้นใบข้าวเจ้าและข้าวสาลี เมื่อทดสอบด้วย DPPH assay และ FRAP assay พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p?0.05) ส่วนการทดสอบด้วย ORAC ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ และเมื่อประเมินค่าสหสัมพันธ์ระหว่างความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของ 3 วิธี กับปริมาณโพลีฟีนอล พบว่ามีความสัมพันธ์กันสูง (R>0.80) จากศักยภาพด้านคุณค่าทางโภชนาการดังกล่าว ได้นำต้นข้าวระยะต้นอ่อนและน้ำคั้นใบข้าวมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์และเครื่องดื่มสุขภาพ เช่น น้ำคั้นใบข้าวพร้อมดื่ม โยเกิร์ตใบข้าว ไอศกรีมใบข้าว วุ้นน้ำใบข้าว และชาใบข้าว และทำการประเมินความพึงพอใจของผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์ในด้าน สี กลิ่น รสชาติ ความหวาน เนื้อสัมผัส และการยอมรับต่อผลิตภัณฑ์ในภาพรวม โดยใช้แบบสอบถาม ปรากฏว่าทุกผลิตภัณฑ์ได้คะแนนความพึงพอใจโดยเฉลี่ยมากกว่า 4 จากคะแนนเต็ม 5 จากการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าน้ำคั้นจากใบข้าวไทยมีศักยภาพในการนำมาพัฒนาต่อยอดให้เป็นผลิตภัณฑ์อาหารสุขภาพได้เทียบเท่าหรือเหนือกว่าข้าวสาลีในด้านคุณค่าทางโภชนาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระและแร่ธาตุสำคัญที่เป็นสารตั้งต้นของโคเอนไซม์ และปฏิกิริยาเคมีต่างๆในร่างกาย ในการผลิตผลิตภัณฑ์จากธัญพืชและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพนั้นต้องคำนึงถึงเรื่องการปนเปื้อนของเชื้อก่อโรคทางเดินอาหาร ศึกษานี้เพื่อหาข้อมูลพื้นฐานการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ และวิธีลดการปนเปื้อนในขั้นตอนต่างๆของการผลิตน้ำคั้นใบข้าวและการแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าให้กับข้าวและเกษตรกรไทย โดยเริ่มศึกษาตั้งแต่การปนเปื้อนในวัตถุดิบ การปนเปื้อนในขั้นตอนการปลูก การเก็บเกี่ยว ตลอดถึงการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ โดยศึกษาการปนเปื้อนของแบคทีเรียทั้งหมด (Total bacterial count) การปนเปื้อนของ Coliform bacteria และ E. coli จากการทดลองพบการปนเปื้อนแบคทีเรียวัสดุปลูกแตกต่างกัน โดยพบแบคทีเรียในแกลบดิบมากที่สุด รองลงมาคือขี้เถ้าแกลบ ขุยมะพร้าว และทราย น้ำจากคลองชลประทานมีจำนวนแบคทีเรียทั้งหมดน้อยกว่าน้ำที่ผ่านพื้นที่เพาะปลูก และพบแบคทีเรียน้อยมากและไม่พบ Coliform bacteria ในน้ำประปา สำหรับเมล็ดพันธุ์พบว่าข้าวเจ้าพันธุ์หอมมะลิ 105 และข้าวสาลีพันธ์อินทรีย์ 1 มีจำนวนแบคทีเรียทั้งหมดและ Coliform bacteria มากกว่าในข้าวสาลีพันธุ์การค้า การลดการปนเปื้อนในวัสดุปลูกด้วยการคั่วนาน 5-7 นาที สามารถทำลายแบคทีเรียได้ทั้งหมดในทราย และลดจำนวนได้ 100 เท่าในขี้เถ้าแกลบ ส่วนในแกลบดิบนั้นการนึ่งเป็นเวลา 30 นาที สามารถลดจำนวนแบคทีเรียได้มากกว่า 1000 เท่า ส่วนการลดการปนเปื้อนของแบคทีเรียในเมล็ดพันธุ์พบว่าการแช่เมล็ดพันธุ์ใน 2 % Sodium hypochlorite สามารถลดการปนเปื้อนได้ 50 เท่า จุดเสี่ยงการปนเปื้อนในต้นกล้าเกิดจากการเน่าเสียของวัสดุปลูกจากน้ำที่ขังในกระบะปลูกและเมล็ดพันธุ์ที่มีรา ดังนั้นต้องคัดเมล็ดก่อนการปลูกและรดน้ำเท่าที่พืชนำไปใช้ได้ การปนเปื้อนในต้นข้าวพบในลำต้นส่วนล่างใกล้กับ จึงต้องตัดสูงจากวัสดุปลูกประมาณ 7-10 เซนติเมตร ด้วยเทคนิคและอุปกรณ์ที่สะอาดและการเก็บรักษาต้นกล้าที่อุณหภูมิ 5OC ได้นาน 1 สัปดาห์ จุดเสี่ยงในขั้นตอนการคั้นน้ำจากใบข้าวคือความสะอาดของอุปกรณ์และจากเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน น้ำคั้นใบข้าวสดมีการปนเปื้อนของแบคทีเรียทั้งหมดและแบคทีเรียกลุ่ม Coliform เกินค่ามาตรฐานอาหารปลอดภัยสำหรับอาหารพร้อมบริโภค สามารถลดการปนเปื้อนในน้ำคั้นใบข้าวด้วยเทคนิคพาสเจอไรเซชันที่ อุณหภูมิ 72 องศาเซลเซียส นาน 30-50 วินาที ช่วยลดจำนวนแบคทีเรียปนเปื้อนทั้งหมดและมีอายุการเก็บรักษาที่ อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส ได้นาน 5 วัน จุดเสี่ยงในการทำชาใบข้าวเกิดในขั้นตอนการอบ ต้องอบให้ชาแห้งสม่ำเสมอ การบรรจุซองที่ผนึกแน่นป้องกันความชื้นจากบรรยากาศช่วยลดการเพิ่มจำนวนของแบคทีเรียและสามารถเก็บได้นานกว่า 8 เดือน สำหรับขนมวุ้นผสมน้ำคั้นใบข้าวที่ผ่านการพาสเจอไรเซชันเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้องได้นาน 1 วัน แต่สามารถเพิ่มอายุการเก็บรักษาได้นานขึ้นที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส ส่วนโยเกิร์ตผสมน้ำคั้นใบข้าวที่ผ่านการพาสเจอไรเซชัน เก็บรักษาที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส สามารถควบคุมจำนวนแบคทีเรียได้ตลอดการทดลอง 30 วัน เก็บรักษาต้นกล้าข้าวจำนวน 4 พันธุ์ ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ 105 ข้าวสุพรรณบุรี 1 ข้าวสังข์หยด ข้าวเหนียวดำ และข้าวสาลีทางการค้าอีก 1 พันธุ์ บรรจุถุงพลาสติก ที่อุณหภูมิ 5, 10, 15 และ 25OC เป็นเวลา 3 สัปดาห์ สำหรับสกัดน้ำคั้นต้นกล้า พบว่าต้นกล้าข้าวทุกพันธุ์และข้าวสาลีสามารถเก็บรักษาได้เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ที่ 5 และ 10OC มีปริมาณค่าเฉลี่ย คลอโรฟิลล์เอ คลอโรฟิลล์บี และปริมาณคลอโรฟิลล์ทั้งหมด จากค่าสูงสุดไปต่ำสุดตามลำดับดังนี้ คือ ต้นกล้าข้าวสาลี ข้าวเหนียวดำ สุพรรณบุรี 1 หอมมะลิ 105 และพันธุ์สังข์หยด ส่วนปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระจากค่าสูงสุดไปต่ำสุดตามลำดับดังนี้ คือ ต้นกล้าข้าวสาลี ข้าวหอมมะลิ 105 ข้าวเหนียวดำ ข้าวสังข์หยด และข้าวสุพรรณบุรี 1 ปริมาณวิตามินซีจากค่าสูงสุดไปต่ำสุดตามลำดับดังนี้ คือต้นกล้าข้าวหอมมะลิ 105 ข้าวสาลี สุพรรณบุรี 1 ข้าวสังข์หยด และ ข้าวเหนียวดำ ส่วนการเก็บรักษาในรูปแบบน้ำคั้นในข้าวสามารถเก็บรักษาได้ 2 สัปดาห์ ที่อุณหภูมิ 5OC แต่น้ำคั้นข้าวที่เก็บรักษาเกิดการตกตะกอนขึ้น และการเก็บรักษาน้ำคั้นจากต้นกล้าข้าวสุพรรณบุรี 1 โดยห่อหลอดพลาสติกที่บรรจุด้วย aluminum foil ที่อุณหภูมิ 5OC การห่อมีผลต่อปริมาณคลอโรฟิลล์ โดยน้ำคั้นที่ห่อด้วย aluminum foil มีปริมาณคลอโรฟิลล์ มากกว่า ในสัปดาห์ที่ 2 ของการเก็บรักษา แต่ไม่มีความแตกต่างของปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามิน ซี ศึกษาการเก็บรักษาน้ำคั้นจากต้นกล้าข้าวจำนวน 3 พันธุ์ ได้แก่พันธุ์ ข้าวสุพรรณบุรี 1 ข้าวหอมมะลิ และ ข้าวสาลี บรรจุหลอดทดลองแล้วใส่ถุงพลาสติกจำนวน 3 สี ได้แก่ ถุงสีใส ถุงสีน้ำเงิน และถุงสีแดงทำการเก็บรักษาที่อุณหภูมิ 5 OC เป็นเวลา 3 6 9 12 และ 15 วัน ทั้งนี้ผลการทดลองพบว่าข้าวหอมมะลิ มีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าข้าวสุพรรณบุรี 1 และ ข้าวสาลี ทุกระยะการเก็บรักษา และ น้ำคั้นต้นกล้าที่ใส่ในถุงสีน้ำ มีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าสีถุงสีแดงและถุงสีใส ของวันเก็บรักษาที่ 3 และ 6 วัน การเก็บรักษาชาใบข้าวสาลีและข้าวหอมมะลิ ณ อุณหภูมิห้อง ระยะ 1 2 4 สัปดาห์ 2 6 เดือน 1 ปีและ 1 ปี 3 เดือน พบว่า เก็บรักษาเป็นเวลา 6 เดือนเป็นที่ยอมรับ และเมื่อเก็บรักษาเป็นเวลา 1 ปี 1 ปี 6 เดือนพบว่าสี กลิ่น และรสชาติของน้ำชาเปลี่ยนไป
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
คำสำคัญ: เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์สุขภาพ
เจ้าของลิขสิทธิ์: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพเพื่อเพิ่มมูลค่าจากธัญพืชไทย
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
2553
ผลิตภัณฑ์ซุปไทยสุขภาพ เพิ่มมูลค่าการส่งออกสินค้าอาหารไทย การคัดเลือกและการผลิตธัญพืชไทยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์สุขภาพ การวิจัยและพัฒนาเพิ่มมูลค่าของเปลือกทุเรียน การวิจัยกระบวนการเก็บรักษา และอายุวางจำหน่าย ของน้ำคั้นต้นกล้าและผลิตภัณฑ์สุขภาพจากธัญพืชไทย การพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มจากรำข้าวสำหรับอาหารเพื่อสุขภาพ การวิจัยเพื่อพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ยางไทย ปีที่ 5 การสร้างและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าจากไหมป่า การวิจัยเพื่อการพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ยางไทย ปี 2 การวิจัยและพัฒนากั้งตั๊กแตนเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ การพัฒนานวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์หมี่โคราช
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก