สืบค้นงานวิจัย
ผลของหัวเชื้อจุลินทรีย์ต่อการผลิตปุ๋ยน้ำชีวภาพจากน้ำทิ้งของโรงงานแป้งมันสำปะหลัง
ปิยนันท์ ชมนาวัง - มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน
ชื่อเรื่อง: ผลของหัวเชื้อจุลินทรีย์ต่อการผลิตปุ๋ยน้ำชีวภาพจากน้ำทิ้งของโรงงานแป้งมันสำปะหลัง
ชื่อเรื่อง (EN): Effect of microorganism’s starter on production of liquid biofertilizer from cassava starch wastewater
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: ปิยนันท์ ชมนาวัง
บทคัดย่อ: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาถึงสมบัติทางเคมีเบื้องต้นของน้ำทิ้งจากกระบวนการผลิตของโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลัง และศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตปุ๋ยน้ำชีวภาพจากน้ำทิ้งของโรงงานแป้งมันสำปะหลังรวมทั้ง ศึกษาประสิทธิภาพของปุ๋ยน้ำชีวภาพกับการปลูกพืช จากผลการวิจัย สมบัติทางเคมีเบื้องต้นของน้ำทิ้งจากโรงงานแป้งมันสำปะหลัง พบว่ามีค่าความเป็นกรดด่าง 3.64 ค่า บีโอดี 8,447 มิลลิกรัมต่อลิตร ค่าซีโอดี 22,291 มิลลิกรัมต่อลิตร ปริมาณของแข็งทั้งหมด, ปริมาณของแข็งแขวนลอยทั้งหมด และปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำทั้งหมดมีค่า 9,300, 3,918 และ 5,252 มิลลิกรัมต่อลิตร ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีปริมาณไนโตรเจนทั้งหมด, ปริมาณฟอสฟอรัส และปริมาณโปแตสเซียมเท่ากับ 0.695, 0.307 และ 14.273 มิลลิกรัมต่อลิตร ตามลำดับ จากการเก็บตัวอย่างดินในเขตจังหวัดกาฬสินธุ์ 6 แหล่ง แบ่งเป็นดินนา 3 แหล่ง และดินไร่ 3 แหล่ง ตัวอย่างดินที่นำมาศึกษามีค่าความเป็นกรด-ด่าง ค่อนข้างเป็นกรด กรดเล็กน้อยถึงกลาง ค่าการนำไฟฟ้า (EC) ของตัวอย่างดินมีค่าต่ำ อุณหภูมิอยู่ในช่วง 29.8-33.8 องศาเซลเซียส ตัวอย่างดินไร่1 มีปริมาณอินทรีย์คาร์บอน และปริมาณอินทรียวัตถุสูงที่สุด ปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ และปริมาณโปแตส เซียมที่แลกเปลี่ยนได้ พบว่า ตัวอย่างดินนา1 มีปริมาณสูงที่สุด จากการวิเคราะห์ปริมาณจุลินทรีย์ในตัวอย่างดิน พบว่า จุลินทรีย์กลุ่มแบคทีเรียพบมากที่สุด รองลงมาคือ ยีสต์ และรามีปริมาณน้อยที่สุด และเมื่อศึกษาการใช้หัวเชื้อจุลินทรีย์ดินจากแหล่งต่างๆในเขตจังหวัดกาฬสินธุ์ 6 แหล่ง เชื้อจุลินทรีย์จากอีเอ็ม และ สารเร่ง พด.2 จากกรมพัฒนาที่ดิน เป็นหัวเชื้อจุลินทรีย์ในการผลิตปุ๋ยน้ำชีวภาพจากน้ำทิ้งโรงงานแป้งมันสำปะหลังเสริมโมลาส และรำข้าวละเอียด โดยใช้แผนการทดลอง แบบ CRD จำนวน 5 ซ้ำ เพื่อ เปรียบเทียบกับตำรับควบคุมไม่ใช้หัวเชื้อจุลินทรีย์ หลังจากหมักเป็นเวลา 35 วัน พบว่า ทุกตำรับทดลองมีค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) อยู่ในช่วง 3.72-3.85 ค่าการนำไฟฟ้า (EC) อยู่ในช่วง 15.90-17.75 ไมโครซีเมน/เซนติเมตร, อินทรีย์คาร์บอน (OC) อยู่ในช่วง 16.82-18.61% ตำรับที่ให้ค่าเฉลี่ยสูงคือปุ๋ยน้ำชีวภาพที่ได้จากหัวเชื้อ EM รองลงมาจากสารเร่ง พด. 2 และหัวเชื้อจากดินไร่3 ซึ่งแตกต่างจากตำรับควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ อินทรียวัตถุ (OM) อยู่ในช่วง 29.00-32.09 % ให้ผลการทดลองเช่นเดียวกับปริมาณอินทรีย์คาร์บอน และปริมาณธาตุอาหารพืช ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และ โปแตสเซียม (K) อยู่ในช่วง 0.141-0.533% 0.053-0.159% และ 0.097-3.679% ตามลำดับ ปุ๋ยน้ำชีวภาพตำรับควบคุม มีค่าเฉลี่ยปริมาณไนโตรเจนทั้งหมดต่ำที่สุด ในขณะที่ปุ๋ยน้ำชีวภาพตำรับหัวเชื้อสารเร่ง พด 2 มีค่าเฉลี่ยปริมาณไนโตรเจนทั้งหมดสูงที่สุด รองลงมาคือปุ๋ยน้ำชีวภาพตำรับหัวเชื้อจากอีเอ็ม ปริมาณฟอสฟอรัสนั้นปุ๋ยน้ำชีวภาพตำรับหัวเชื้อจากดินนา1 มีค่าเฉลี่ยสูงที่สุด และปุ๋ยน้ำชีวภาพตำรับหัวเชื้อจากดินไร่1 มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุด สำหรับปริมาณโปแตสเซียม พบว่าปุ๋ยน้ำชีวภาพตำรับหัวเชื้อจากดินไร่3 มีค่าเฉลี่ยปริมาณโปแตสเซียมสูงที่สุด ขณะที่ปุ๋ยน้ำชีวภาพตำรับ หัวเชื้อจากดินไร่2 มีค่าเฉลี่ยปริมาณโปแตสเซียมออกไซด์ต่ำที่สุด ซึ่งปุ๋ยแต่ละตำรับมีค่าเฉลี่ยปริมาณธาตุอาหารพืช (ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโปแตสเซียม) แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และพบว่าข้าวโพดที่ได้รับปุ๋ยน้ำชีวภาพอัตราเจือจาง 1: 250 ส่วนใหญ่มีแนวโน้มทำให้การเจริญเติบโตของข้าวโพดสูงกว่าข้าวโพดที่ได้รับปุ๋ยน้ำชีวภาพในอัตราเจือจาง 1: 500, 1: 750 และ 1: 1000 เมื่ออายุ 70 วัน
บทคัดย่อ (EN): The aim of this research was expected to use microorganisms as a starter for liquid biofertilizer production from cassava starch wastewater, molasses and rice bran. The starch extraction process essentially involves preprocessing of starch-rich materials, followed by starch extraction, separation and drying. The process generates wastewater with low pH at 3.64. The vast quantities of starch processing wastewater with chemical oxygen demand (COD) 22,291 mg/l, biological oxygen demand (BOD) 8,447 mg/l, total solid (TS) 9,300 mg/l, total suspended solids (TSS) 3,918 mg/l, total dissolved solids 5,252 mg/l and nitrogen content, phosphorus content and potassium content 0.695, 0.307 and 14.275 mg/l respectively, were used to produce biofertilizer. The microorganism’s starters in the six location soil in Kalasin province (3 farm soils (FS1, FS2 and FS3) and 3 crop soils (CS1, CS2 and CS3) were determined. The result shown that soil pH were acidic, electrical conductivity were very low, temperature were in the range 29.8-33.8 C. Crop soil1 shown maximum organic carbon and organic matter, but farm soil1 shown maximum phosphorus and potassium content. The numbers of microorganisms in the soil were determined and the result shown that there were maximum number of bacterial followed by yeast and fungi. Then the research was expected to use microorganisms as a starter for liquid biofertilizer production from cassava waste water, molasses and rice bran. The experiment was designed by completely randomized design (CRD) with 5 replications. The liquid biofertilizer production was conducted with 4 treatments as follows: starter from soil, starter from EM (effective microorganism), Poor-Dor 2 starter from the Land Development Department and without starter. After 35 days of fermentation, the products were analyzed for its physical chemistry properties and numbers of microorganisms. The results showed that the properties of all treatment of liquid biofertilizers were in the range as follows: pH 3.72-3.85; electrical conductivity (EC) 15.09-17.75 ?S/cm; organic carbon (OC) 16.82-18.61% (biofertilizer from EM starter shown the maximum value followed by biofertilizer from Poor-Dor 2 and biofertilizer from crop soil 3, that mean value were significantly different when compared with biofertilizer without starter), organic matter (OM) 29.19-32.09% (same results from organic carbon), and plant nutritional values of total nitrogen, phosphorus and potassium were in the range of 0.141-0.533%, 0.053-0.159% and 0.0978-3.679%, respectively. Biofertilizer from without starter shown the lowest nitrogen content, while biofertilizer from Poor-Dor 2 gave the maximum nitrogen content followed by biofertilizer from EM. The maximum phosphorus content and potassium content were found in the biofertilizer from farm soil1 and crop soil3, respectively. Biofertilizer from various starters gave mean value significantly different (p ? 0.05). Sweet Corn were grown in rainy season by using biofertilizers at the ratio of 1: 250, 1: 500, 1: 750 and 1: 1,000. Mostly corns that were treated with liquid biofertilizers at the dilution ratio of 1:250, tented to grow with stem width, stem weight, root weight and corn yield higher than corns which were treated with liquid biofertilizers at dilution ratios of 1: 500, 1: 750 and 1: 1,000 when measured at day 70.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน
คำสำคัญ: โรงงานแป้งมันสำปะหลัง
คำสำคัญ (EN): cassava starch factory
เจ้าของลิขสิทธิ์: ฐานข้อมูล NRMS
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
ผลของหัวเชื้อจุลินทรีย์ต่อการผลิตปุ๋ยน้ำชีวภาพจากน้ำทิ้งของโรงงานแป้งมันสำปะหลัง
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน
30 กันยายน 2554
การผลิตเอนไซม์สำหรับรักษาโรคโดยจุลินทรีย์ที่อยู่ร่วมกับพืช ผลผลิตมันสำปะหลังที่ปลูกในช่วงปลายของฤดูปลูกต้นฝนภายใต้การให้น้ำหยดใต้ผิวดินและน้ำหยดบนดินเปรียบเทียบกับน้ำฝนตามธรรมชาติ การผลิตเชื้อจุลินทรีย์สำหรับย่อยสลายสารในขยะและน้ำเสียเชิงพาณิชย์ ผลของปุ๋ยน้ำต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของข้าวโพดและอ้อย เทคโนโลยีการผลิตและการใช้ประโยชน์ของไข่น้ำในเชิงพาณิชย์ ผลกระทบของระบบการให้น้ำและปุ๋ยต่อการผลิตดอกของเยอบีร่าสายพันธุ์ยุโรป พัฒนาการผลิตพรรณไม้น้ำปลอดไส้เดือนฝอยศัตรูพืชเพื่อการส่งออก ผลการใช้วัสดุเพาะและเชื้อจุลินทรีย์ อี.เอ็ม. ต่อผลผลิตและคุณภาพของเห็ดเศรษฐกิจ 7 ชนิด ระดับปุ๋ยและช่วงเวลาการกำจัดวัชพืชที่มีต่อผลผลิตข้าวไร่ ผลของความเป็นพิษในการใช้สารกำจัดศัตรูพืชทางชีวภาพในทางการเกษตรต่อระบบนิเวศของจุลินทรีย์ในดิน
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก