สืบค้นงานวิจัย
การผลิตทอฟฟี่จากนมข้าวโพด
พจนีย์ โคกระเวียง - มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
ชื่อเรื่อง: การผลิตทอฟฟี่จากนมข้าวโพด
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: พจนีย์ โคกระเวียง
บทคัดย่อ: การวิจัยในครั้งนี้เป็นการทดลองเพื่อศึกษาสูตรที่เหมาะสมในการผลิตภัณฑ์ทอฟฟี่นมข้าวโพด โดยแปรปริมาณกลูโคสไซรัปเป็น 3 ระดับ คือ 22%,32%และ48%โดยน้ำหนักของนมข้าวโพด พบว่าผลการทดสอบทางประสาทสัมผัสในด้าน ความเหนียวและความชอบรวมทอฟฟี่นมข้าวโพด ที่มีปริมาณกลูโคสไซรัปเป็น 22 % ได้คะเเนนเฉลี่ยความเหนียวเป็น 7.32 และความชอบรวม 7.30 ซึ่งสูงกว่าท๊อฟฟี่นมข้าวโพดที่มีการใช้ปริมาณกลูโคสไซรัปที่ 22 % และ 48 % อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05)แต่ทอฟฟี่นมข้าวโพดที่มีการใช้ปริมาณกลูโคสไซรับที่ 22 % และ 48 % พบว่าการทดสอบทางประสาทสัมผัสทางด้าน สี กลิ่น ความหวาน ควาวมเสื่อมมัน ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) เมื่อพิจรณาด้านความชื้นและค่า Awพบว่าท๊อฟฟี่นมข้าวโพดที่ใช้ปริมาณกลูโคสไซรัปทั้ง 3 ระดับไม่มีความต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05)นอกจากนี้ยังพบว่าทอฟฟี่น้ำนมข้าวโพดที่มีการใช้ปริมาณกลูโคซไซรัปที่ 22% มีราคาต้นทุนที่ต่ำกว่า 32 % และ 48%
เมื่อนำสูตรท๊อฟฟี่นมข้าวโพดที่ใช้ปริมาณกลูโคซไซรับ 22% ไปศึกษาหาปริมาณเนยขาวต่อเลซิทินที่เหมาะสมโดยแปรปริมาณเนยขาวเป็น 3 ระดับ คือ 5% 10% และ 15% โดยน้ำหนักของนมข้าวโพด และปริมาณเลซิทินเป็น 3 ระดับ 0.5% , 1% และ 1.5% โดยน้ำหนักของนมข้าวโพด พบว่าผลการทดสอบทางประสาทสัมผัสด้าน สี กลิ่น ความหวาน ความเสื่อมมัน ความเหนียว ความเยิ้มและความชอบรวม ของทอฟฟี่นมข้าวโพดที่มีการใช้ปริมาณ เนยขาวเป็น 5% และเลซิทินเป็น 0.5% ไม่มีความแตกต่างดันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P>0.05) กับท๊อฟฟี่นมข้าวโพดที่มีการใช้ปริมาณเนยขาวเป็น 15 % และเลซิทิน 1.5 % ซึ่งเมื่อพิจรณาด้านคะแนนเฉลี่ยของความชอบรวมพบว่าทอฟฟี่นมข้าวที่มีการใช้ปริมาณเนยขาวเป็น 5% และเลซิทินเป็น 0.5% ได้คะเเนนเฉลี่ยเป็น 6.50 ซึ่งสูงกว่าท๊อฟฟี่นมข้าวโพดที่มีการใช้ปริมาณ เนยขาวเป็น15 % และเลซิทินเป็น 1.5% อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p<0.05)นอกจากนี้เมื่อพิจรณาในเรื่องของต้นทุนพบว่ามีราคาต้นทุนต่ำกว่าและเมื่อมีการพิจรณาปริมาณควาวมชื้นและค่า Aw ก็ไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p>0.05)จากผลการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีพบว่าทอฟฟี่นมข้าวโพดที่ใช้ปริมาณกลูโคศไซรัป 22% เนยขาว 5 % และเลซิทิน 0.5% มีปริมาณความชื้น11.07% โปรตีน 6.11% ไขมัน 0.45% เถ้า 1.24 Aw 0.64 และหลังจากการเก็บรักษาเป็นเวลา 15 วัน พบว่าเมื่อระยะเวลาการเก็บรักษาเพิ่มมีผลทำให้ปริมาณความชื้นของท๊อฟฟี่นมข้าวโพดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) แต่ไม่มีผล (p>0.05) อีกทั้งผลิตภัณฑ์ทอฟฟี่นมข้าวโพดไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านกายภาพและผลการทดสอบทางประสาทสัมผผัส พบว่าผู้ทดสอบให้คะแนนด้าน สี กลิ่น ความหวาน ความเลื่อมมัน ความเยิ้ม และความชอบรวมไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เอกสารแนบ: http://dcms.thailis.or.th/dcms/dccheck.php?Int_code=36&RecId=79&obj_id=492
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
คำสำคัญ: ลูกกวาด
คำสำคัญ (EN): 664.15
เจ้าของลิขสิทธิ์: มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ฯ
รายละเอียด: การวิจัยในครั้งนี้เป็นการทดลองเพื่อศึกษาสูตรที่เหมาะสมในการผลิตภัณฑ์ทอฟฟี่นมข้าวโพด โดยแปรปริมาณกลูโคสไซรัปเป็น 3 ระดับ คือ 22%,32%และ48%โดยน้ำหนักของนมข้าวโพด พบว่าผลการทดสอบทางประสาทสัมผัสในด้าน ความเหนียวและความชอบรวมทอฟฟี่นมข้าวโพด ที่มีปริมาณกลูโคสไซรัปเป็น 22 % ได้คะเเนนเฉลี่ยความเหนียวเป็น 7.32 และความชอบรวม 7.30 ซึ่งสูงกว่าท๊อฟฟี่นมข้าวโพดที่มีการใช้ปริมาณกลูโคสไซรัปที่ 22 % และ 48 % อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p0.05) เมื่อพิจรณาด้านความชื้นและค่า Awพบว่าท๊อฟฟี่นมข้าวโพดที่ใช้ปริมาณกลูโคสไซรัปทั้ง 3 ระดับไม่มีความต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05)นอกจากนี้ยังพบว่าทอฟฟี่น้ำนมข้าวโพดที่มีการใช้ปริมาณกลูโคซไซรัปที่ 22% มีราคาต้นทุนที่ต่ำกว่า 32 % และ 48% เมื่อนำสูตรท๊อฟฟี่นมข้าวโพดที่ใช้ปริมาณกลูโคซไซรับ 22% ไปศึกษาหาปริมาณเนยขาวต่อเลซิทินที่เหมาะสมโดยแปรปริมาณเนยขาวเป็น 3 ระดับ คือ 5% 10% และ 15% โดยน้ำหนักของนมข้าวโพด และปริมาณเลซิทินเป็น 3 ระดับ 0.5% , 1% และ 1.5% โดยน้ำหนักของนมข้าวโพด พบว่าผลการทดสอบทางประสาทสัมผัสด้าน สี กลิ่น ความหวาน ความเสื่อมมัน ความเหนียว ความเยิ้มและความชอบรวม ของทอฟฟี่นมข้าวโพดที่มีการใช้ปริมาณ เนยขาวเป็น 5% และเลซิทินเป็น 0.5% ไม่มีความแตกต่างดันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P>0.05) กับท๊อฟฟี่นมข้าวโพดที่มีการใช้ปริมาณเนยขาวเป็น 15 % และเลซิทิน 1.5 % ซึ่งเมื่อพิจรณาด้านคะแนนเฉลี่ยของความชอบรวมพบว่าทอฟฟี่นมข้าวที่มีการใช้ปริมาณเนยขาวเป็น 5% และเลซิทินเป็น 0.5% ได้คะเเนนเฉลี่ยเป็น 6.50 ซึ่งสูงกว่าท๊อฟฟี่นมข้าวโพดที่มีการใช้ปริมาณ เนยขาวเป็น15 % และเลซิทินเป็น 1.5% อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p0.05)จากผลการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีพบว่าทอฟฟี่นมข้าวโพดที่ใช้ปริมาณกลูโคศไซรัป 22% เนยขาว 5 % และเลซิทิน 0.5% มีปริมาณความชื้น11.07% โปรตีน 6.11% ไขมัน 0.45% เถ้า 1.24 Aw 0.64 และหลังจากการเก็บรักษาเป็นเวลา 15 วัน พบว่าเมื่อระยะเวลาการเก็บรักษาเพิ่มมีผลทำให้ปริมาณความชื้นของท๊อฟฟี่นมข้าวโพดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p0.05) อีกทั้งผลิตภัณฑ์ทอฟฟี่นมข้าวโพดไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านกายภาพและผลการทดสอบทางประสาทสัมผผัส พบว่าผู้ทดสอบให้คะแนนด้าน สี กลิ่น ความหวาน ความเลื่อมมัน ความเยิ้ม และความชอบรวมไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การผลิตทอฟฟี่จากนมข้าวโพด
มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
29 สิงหาคม 2548
ผลกระทบของระยะปักดำแคบที่มีต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของข้าวในสภาพปลูกล่าช้า การทดสอบศักยภาพสายพันธุ์แท้ของข้าวโพดคั่ว (Zea mays L. evorata) เพื่อใช้ผลิตเป็นพันธุ์ลูกผสมการค้า ผลการใช้แหนแดงแทนปุ๋ยไนโตรเจนต่อผลผลิตของข้าว ผลการคลุกฟางข้าวติดต่อกันที่มีต่อดินและผลผลิตข้าว การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการผลิตสารสีแดงบนปลายข้าวเจ้าของ Monascus purpureus TTSTR 3090 เพื่อนำไปสู่การผลิตในระดับการค้า การศึกษาการถ่ายทอดลักษณะ ENDOSPERM ในข้าวโพดคั่ว รายงานวิจัยเรื่อง การศึกษาการผลิตซอสข้าวโพด การพัฒนากระบวนการผลิตก๊าซชีวภาพจากนมบูด อิทธิพลของระยะปลูกที่มีต่อผลผลิตและคุณภาพของข้าวโพดหวาน การผลิตเอนไซม์จากกากมันสำปะหลังและซังข้าวโพดเพื่อ การผลิตอาหารสัตว์ โครงการย่อยที่ 1 การหมักแบบแห้งโดยใช้ซังข้าวโพดและกากมันสำปะหลังที่ควบคุมอุณหภูมิและความชื้นในการหมักต่อการผลิตเอนไซม์
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก