สืบค้นงานวิจัย
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีพัฒนาที่ดินสำหรับปรับปรุงและฟื้นฟูพื้นที่ดินเค็มลุ่มน้ำเสียวน้อย-เสียวใหญ่ อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ดเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
กัญญาพร สังข์แก้ว - กรมพัฒนาที่ดิน
ชื่อเรื่อง: การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีพัฒนาที่ดินสำหรับปรับปรุงและฟื้นฟูพื้นที่ดินเค็มลุ่มน้ำเสียวน้อย-เสียวใหญ่ อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ดเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
ชื่อเรื่อง (EN): The application of technology development for improvement andrehabilitation of saline soil area In Siaw Noi – Siaw yai watershed areain Chatu-ra-phak-pi-man district Roi-Et province for sustainable use
บทคัดย่อ: ปีงบประมาณ 2557 กลุ่มวิชาการเพื่อการพัฒนาที่ดิน สำนักงานพัฒนาที่ดินเขต 4 ได้ศึกษาการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีพัฒนาที่ดินสำหรับปรับปรุงและฟื้นฟูพื้นที่ดินเค็มลุ่มน้ำเสียวน้อย-เสียวใหญ่ พื้นที่ตำบลอีง่อง อำเภอจตุรพักรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งเทคโนโลยีที่ใช้ประกอบด้วย ปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยหมักชีวภาพ พด.12 วัสดุแกลบ น้ำหมักชีวภาพ และการใช้ประโยชน์จากไม้ทนเค็ม โดยดำเนินการภายใต้พื้นที่งานจัดรูปแปลงนาลักษณะที่ ๑ กับพืชทดลอง 5 ชนิด ได้แก่ ข้าว ฝรั่ง หญ้าเนเปียร์ หญ้าแฝก และผักหวานป่า รวม 6 โครงการวิจัย ผลการศึกษาเป็นดังนี้ 1). การจัดการดินด้วยปุ๋ยหมักชีวภาพ แกลบและปุ๋ยพืชสดต่อผลผลิตข้าว พบว่าการใช้ปุ๋ยพืชสดโสนอัฟริกันให้ผลผลิตข้าวสูงที่สุดเท่ากับ 699.03 กิโลกรัมต่อไร่ การทดลองแบบ Observation trial จำนวน 4 ตำรับ ประกอบด้วย 1) ไม่ใส่วัสดุปรับปรุงดิน 2) ปุ๋ยหมักชีวภาพ พด.12 อัตรา 300 กก./ไร่ 3) ปุ๋ยพืชสดโสนอัฟริกัน อัตราเมล็ดพันธุ์ 5 ก.ก./ไร่ และ 4) แกลบอัตรา 500 กก./ไร่ ร่วมกับใบอาคาเซีย อัตรา 500 กก./ไร่ ผลการศึกษาพบว่าปุ๋ยพืขสดโสนอัฟริกันทำให้ผลผลิตข้าวเฉลี่ยแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับตำรับอื่นๆ โดยให้ผลผลิตเฉลี่ย 699.03 กิโลกรัม/ไร่ และยังส่งผลให้ค่าการนำไฟฟ้า (EC) ในดินลดลงจาก 1.09 เดซิซีเมนต์/เมตร เป็น 0.91 เดซิซีเมนต์/เมตร การใช้วัสดุอินทรีย์ชนิดอื่น เช่น ปุ๋ยหมักชีวภาพ พด.12 แกลบดิบ ใบอาคาเซีย ทำให้ปริมาณอินทรียวัตถุเพิ่มขึ้น โดยมีค่าระหว่าง 0.30-0.99 เปอร์เซ็นต์ และการใช้ปุ๋ยพืชสดโสนอัฟริกันได้ผลตอบแทนมากกว่าตำรับอื่นๆ โดยให้กำไรสุทธิ 4,360 บาท/ไร่ 2).การศึกษาผลกระทบของต้นอาคาเซียและยูคาลิปตัสบนคันนาต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของข้าวขาวมะลิ105 ในพื้นที่ดินเค็ม โดยเก็บข้อมูลดิน ข้อมูลข้าวใน 3 ระยะห่างจากคันนา คือ 1 เมตร 5 เมตร และ 10 เมตร พบว่าการปลูกอาคาเซียและยูคาลิปตัสบนคันนาไม่มีผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตข้าวในแปลงนา ซึ่งอยู่ในระยะที่ห่างออกไป 1 เมตร 5 เมตร และ10 เมตร กล่าวคือ ผลผลิตข้าวในแปลงที่ปลูกไม้ทนเค็มบนคันนา และไม่ปลูกไม้ทนเค็มบนคันนา ที่ระยะห่างจากคันนาทั้ง 3 ระดับ ให้ผลผลิตข้าวที่ไม่แตกต่างกัน โดยให้ผลผลิตเฉลี่ย ระหว่าง 375- 480 กิโลกรัมต่อไร่ อย่างไรก็ตามในด้านการเปลี่ยนแปลงสมบัติของดินพบว่า หลังการเก็บเกี่ยวข้าวค่าสมบัติของดินมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแปลงที่คันนามีการปลูกอาคาเซียและยูคาลิปตัส แต่ระยะห่าง 3 ระดับจากคันนาให้ค่าสมบัติของดินที่ไม่แตกต่างกัน โดยมีค่า pH อยู่ระหว่าง 4.9-6.4 ค่าอินทรียวัตถุ(OM)มีค่าอยู่ระหว่าง 0.33-0.53% ค่าการนำไฟฟ้าของดิน(EC) อยู่ระหว่าง 0.47-3.93 dS/เมตร ค่าฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์อยู่ระหว่าง 14.60- 34.60 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และโปแทสเซียมที่เป็นประโยชน์มีค่าอยู่ระหว่าง 33.60- 49.80 มิลลิกรัม/กิโลกรัม 3). การจัดการหลุมปลูกฝรั่งด้วยปุ๋ยอินทรีย์และวัสดุปรับปรุงดินชนิดต่าง ๆ การจัดการหลุมปลูกฝรั่งในพื้นที่ดินเค็มจัด ด้วยปุ๋ยอินทรีย์และวัสดุปรับปรุงดินชนิดต่าง ๆ วางแผนการทดลองแบบ RCBD จำนวน 4 ตำรับ มี 4 ซ้ำ ประกอบด้วย ตำรับที่ 1 ไม่มีการจัดการหลุมปลูก ตำรับที่ 2 จัดการหลุมปลูกด้วยการใส่ปุ๋ยคอก ตำรับที่ 3 จัดการหลุมปลูกด้วยการใส่ปุ๋ยชีวภาพ พด.12 และตำรับที่ 4 จัดการหลุมปลูกด้วยการใส่ปุ๋ยหมักร่วมกับฉีดน้ำหมักชีวภาพ พบว่า ตำรับที่ 1 ที่ไม่มีการจัดการหลุมปลูกและรองก้นหลุมด้วยแกลบดิบเป็นวัสดุอินทรีย์ทำให้ฝรั่งพันธุ์ไร้เมล็ด รอดตายถึงร้อยละ 100 ในพื้นที่ดินเค็มจัด ในช่วงระยะปลูก 150 วัน และทำให้ต้นฝรั่งมีค่าเฉลี่ยการเพิ่มขึ้นด้านความสูงมากที่สุดเท่ากับ 13.55 เซนติเมตร อีกทั้งเส้นรอบวงลำต้นสูงที่สุดเท่ากับ 0.216 เซนติเมตร ในช่วงอายุ 150 วัน หลังปลูกลงดิน ผลของความเค็มในดินที่อยู่ในเกณฑ์เค็มปานกลางซึ่งมีค่า EC เท่ากับ 0.60 เดซิซีเมนต์/เมตร ส่งผลให้ต้นฝรั่งเปลี่ยนแปลงทางสรีระในด้านสีของใบจางลง ขอบใบไหม้ และทำให้การเจริญเติบโตลดลงการจัดการหลุมปลูกด้วยปุ๋ยหมักชีวภาพ พด.12 ปุ๋ยหมัก+น้ำหมักชีวภาพ และแกลบ มีเปอร์เซ็นต์การรอดตายไม่แตกต่างกัน เฉลี่ย 92 และ100 % 4).การปรับปรุงดินเค็มด้วยวัสดุอินทรีย์ชนิดต่าง ๆ เพื่อปลูกหญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1 มีการวางแผนการทดลองแบบ Randomize Completed Block Design (RCBD) จำนวน 4 ซ้ำ ประกอบด้วยตำรับที่ 1 ใส่ปุ๋ยชีวภาพ พด.12 อัตราตามคำแนะนำ 300 กิโลกรัมต่อไร่ ตำรับที่ 2 ใส่ปุ๋ยชีวภาพ พด.12 อัตราตามคำแนะนำ 300 กิโลกรัม/ไร่ ร่วมกับปุ๋ยคอกอัตรา 1 ตันต่อไร่ ตำรับที่ 3 ใส่ปุ๋ยชีวภาพ พด.12 อัตราตามคำแนะนำ 300 กิโลกรัม/ไร่ ร่วมกับแกลบอัตรา 1 ตันต่อไร่ ตำรับที่ 4 ใส่ปุ๋ยชีวภาพ พด.12 อัตราตามคำแนะนำ 150 กิโลกรัม/ไร่ ร่วมกับปุ๋ยคอกอัตรา 500 กิโลกรัมต่อไร่ และแกลบ อัตรา 500 กิโลกรัมต่อไร่ ผลการศึกษา พบว่า) การใส่ปุ๋ยหมักชีวภาพ พด.12 ร่วมกับปุ๋ยคอก และแกลบ มีผลทำให้ปริมาณอินทรียวัตถุมีปริมาณเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ระดับความเค็มในดินลดลงในทุกวิธีการในดินหลังการทดลอง การใส่ปุ๋ยชีวภาพ พด.12 อย่างเดียวและใช้ร่วมกับวัสดุอินทรีย์ต่างๆ ไม่มีผลต่อความสูงและการแตกกอ แต่มีผลทำให้ผลผลิตของหญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1 แตกต่างกันทางสถิติ ในตำรับที่มีการใช้ใส่ปุ๋ยชีวภาพ พด.12 อัตรา 150 กิโลกรัมต่อไร่ ร่วมกับปุ๋ยคอกอัตรา 500 กิโลกรัมต่อไร่ และแกลบ อัตรา 500 กิโลกรัมต่อไร่ ให้ผลผลิตรวมทั้ง 3 ครั้ง สูงที่สุดเท่ากับ 6,960.0 กิโลกรัมต่อไร่ ส่วนด้านผลตอบแทนพบว่า ตำรับที่สามารถสร้างมูลค่าผลผลิตและผลตอบแทนได้สูงที่สุดคือ ตำรับการใส่ปุ๋ยชีวภาพ พด.12 อัตรา 300 กิโลกรัมต่อไร่ ร่วมกับแกลบอัตรา 1 ตันต่อไร่ มีมูลค่าผลผลิตเท่ากับ 6,915.00 บาทต่อไร่ และผลตอบแทน เท่ากับ 1,145.00 บาทต่อไร่ จากการประเมินในปี 2557 เป็นการประเมินต้นทุนและผลตอบแทนสำหรับการตัดหญ้า 3 ครั้งเท่านั้น ซึ่งหญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1 นั้น ปลูกเพียงครั้งเดียวแต่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ถึง 6-7 ปี โดยเฉลี่ยการตัด 5-6 ครั้งต่อปี ซึ่งน่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งให้กับเกษตรกรที่ต้องการปรับเปลี่ยนพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการปลูกข้าวมาปลูกหญ้าเนเปียร์ปากช่อง 1 เป็นพืชทดแทน 5)การเจริญเติบโตของหญ้าแฝกบางสายพันธุ์บนคันนาปรับแต่ง ในพื้นที่ดินเค็ม วางแผนการทดลองแบบ Randomize Complete Block Design จำนวน 3 ซ้ำ ๆ 5 ตำรับ ประกอบด้วย การปลูกหญ้าแฝกสายพันธุ์ร้อยเอ็ด สายพันธุ์กำแพงเพชร1 สายพันธุ์พื้นบ้านร้อยเอ็ด1 สายพันธุ์พื้นบ้านร้อยเอ็ด2 และสายพันธุ์สงขลา3 โดยมีการเก็บข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสมบัติทางเคมีของดิน และการเจริญเติบโตของหญ้าแฝก ผลการทดลองพบว่า พื้นที่ดำเนินการมีค่าการนำไฟฟ้า (ECe) ของดินหลังทดลองมีค่า 12.78-26.33 เดซิซีเมนต์ต่อเมตร ซึ่งถือว่าเค็มมากถึงเค็มจัด ส่วนเปอร์เซ็นต์อินทรียวัตถุก่อนและหลังทดลองมีค่าอยู่ในเกณฑ์ต่ำมากถึงต่ำ ผลการปลูกหญ้าแฝกพบว่า หญ้าแฝกสายพันธุ์ร้อยเอ็ด (ส่วนเหนือดิน ได้แก่ ลำต้นและใบ) หลังการปลูก 6 เดือน ให้น้ำหนักสดสูงสุด เท่ากับ 5.50 กิโลกรัมต่อแปลง (2,933.33 กิโลกรัมต่อไร่) สำหรับสายพันธุ์สงขลา3 และสายพันธุ์กำแพงเพชร1 นั้น มีความยาวใบมากที่สุด เท่ากับ 106.73 และ 126.67 เซนติเมตร เมื่อมีอายุ 135 และ 180 วันหลังปลูก ตามลำดับ ส่วนสายพันธุ์พื้นบ้านร้อยเอ็ด1 (อายุ 135 วันหลังปลูก) มีจำนวนหน่อมากที่สุด เท่ากับ 1,039 หน่อต่อแปลง และสายพันธุ์พื้นบ้านร้อยเอ็ด2 (อายุ 180 วันหลังปลูก) มีจำนวนหน่อมากที่สุด เท่ากับ 1,350 หน่อต่อแปลง ดังนั้น หญ้าแฝกทุกสายพันธุ์ที่ดำเนินการทดลอง ได้แก่ สายพันธุ์ร้อยเอ็ด กำแพงเพชร1 พื้นบ้านร้อยเอ็ด1 พื้นบ้านร้อยเอ็ด2 และสงขลา3 สามารถเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ดินเค็ม จังหวัดร้อยเอ็ด แต่หญ้าแฝกสายพันธุ์ร้อยเอ็ดเจริญเติบโตได้ดีที่สุด โดยมีค่าน้ำหนักสดและความยาวของใบสูงสุด และมีจำนวนหน่อมาก พบว่าหญ้าแฝกสายพันธุ์ร้อยเอ็ดเจริญเติบโตได้ดีที่สุด โดยมีค่าน้ำหนักสดเมื่ออายุ 6 เดือนสูงสุด 2,933กิโลกรัมต่อไร่ 6) การจัดการดินด้วยใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักชีวภาพ พด.12 แกลบ และถ่านชีวภาพ วัสดุปรับปรุงดินบางชนิดเพื่อปลูกผักหวานป่าบนคันดินบริเวณคันดินรอบสระน้ำประจำไร่นาในพื้นที่ดินเค็ม พบว่า การจัดการดินด้วยปุ๋ยคอก ทำให้ผักหวานป่าอายุ 5 เดือน มีการเจริญเติบโตได้ดีที่สุดและแตกต่างทางสถิติกับการจัดการดินด้วยวัสดุอื่น ๆ และการไม่มีการจัดการดิน โดยมีความยาวยอด เฉลี่ย 4.0 เซนติเมตร และมีอัตรารอดตายถึงร้อยละ 70 ในขณะที่ไม่มีการจัดการดินจะมีความยาวยอดเพียง 1.70 เซนติเมตร ส่วนการจัดการดินด้วยแกลบ ปุ๋ยหมักชีวภาพ พด.12 และถ่านชีวภาพ ความยาวยอดไม่มีความแตกต่างทางสถิติ โดยมีความยาวยอด 2.75 3.0 และ 3.10 เซนติเมตร
บทคัดย่อ (EN): The application of land development technologies for improving and rehabilitate soil salinity areas in Lam Seaw Noi- Seaw Yai was conducted at Tambon E-Ngong , Amphoe Chatusapakpiman , Roi-Et province at the year of 2014. These technologies consisted of green manure crop , PorDor12 bio-compost , rice hull , bio-extracted liquid , and the use of salt tolerance trees. The experiment was operated in the first model land reshape area. The 5 kinds of selected crops were rice , guava fruit , napier grass , vetiver grass, and wild vegetable (Meientha suavis). There were 6 experiments and the results appeared that 1) Soil management with bio-compost , rice hull, and green manure to rice yield was designed as observation trial with 4 treatments which were 1) no soil amendment , 2) PorDor12 bio-compost at 300 kg/rai , 3) sesbania as green manure crop at 5 kg/rai , and 4) rice hull at 500 kg/rai with acasia leaves at 500 kg/rai. It was found that the application of sesbania as green manure crop produced rice yield differ from other treatments significantly. The yield was 699.03 kg/rai. The soil electrical conductivity was decreased from 1.09 dS/m to 0.91 dS/m. The use of other organic substances e.g. PorDor12 bio-compost , rice hull , acasia leaves could increased soil organic matter which the value was 0.30-0.99 %. The economic return of sesbania application could earned the profit at 4,360 bath/rai which more than other treatments. 2) Effect of Acasia tree and Eucalyptus tree grown on paddy bund to the growth and yield of KDML105 rice was studied in salt affected area by collecting soil and rice data 1 meter , 5 meters, and 10 meters far away from bund. It was found that Acasia tree and Eucalyptus tree did not take any effect to growth and yield of rice. The rice yield was about 375-480 kg/rai. The soil properties after rice harvesting were changed positively especially in the plots grew Acasia and Eucalyptus. The 3 distances from bund did not changed soil properties. The soil pH was 4.9-6.4. Soil organic matter content was 0.33-.053 %. Soil electrical conductivity was 0.47-3.93 dS/m. Soil available phosphorus was 14.6-34.6 mg/kg. Soil available potassium was 33.6-49.8 mg/kg. 3) The growing pit management for Guava fruit by organic fertilizer and soil amendments was designed as randomized complete block with 4 replications and 4 treatments which were 1) no pit management , 2) cattle manure , 3) PorDor12 bio-compost , 4) compost spray with bio-extracted liquid. It was found that the first treatment (no pit management but rice hull at the bottom of pit) caused Guava fruit survive 100 % in high salt affected area at 150 days old , give most height at 13.55 centimeters and most circumstance at 0.216 centimeter at 150 days old. The moderate soil salinity affected the pale leaf color and burned leaf edge. The survive percentages of Guava treated by PorDor12 bio-compost , compost+bio-extracted liquid and rice hull were 92 and 100 %. 4) The soil saline improvement by various kinds of organic substances to grow Pakchong1 napier grass was designed as randomized complete b;ock with 4 treatments which were 1) PorDor12 bio-compost at 300 kg/rai , 2) PorDor12 bio-compost at 300 kg/rai with manure at 1ton/rai , 3) PorDor12 bio-compost at 300 kg/rai with rice hull at 1 ton/rai , and 4) PorDor12 bio-compost at 150 kg/rai with manure at 500 kg/rai and rice hull at 500 kg/rai. It was found that the application of PorDor12 bio-compost , manure and rice hull caused soil organic matter increase and reduced soil salinity. The application of PorDor12 bio-compost with and without other organic materials did not affect the height and tillering but caused the different yield of Pakchong napier grass. The treatment 4 got the highest yield at 6,960 kg/rai. In the economic return aspect, it was found that treatment 3 offered the highest economic return at 1,145.00 bath/rai. The Pakchong1 napier grass could be harvested for 6-7 years long lasting. The average of harvest was 5-6 times per year. This was the alternative way for farmers who need to change growing rice to Pakchong1 napier grass. 5) The growth of some vetiver grass varieties on paddy bund in saline soil was designed as randomized complete block with 3 replication and 5 treatments which were Roi-Et variety , Kamphangpetch1 , Roi-Et1 local variety , Roi-Et2 local variety , and Songkla3 variety. The soil properties changes and vetiver grass growth were collected. It was found that soil electrical conductivity was 12.78-26.33 dS/m which categorized as high to severe saline. The soil organic matter content was low to very low. Roi-Et vetiver grass at 6 months old got highest weight of 5.5 kg/plot (2933.33 kg/rai. The Songkla3 and Kamphangpetch1 vetiver grass had the longest leaves at 106.73 and 126.67 centimeters at 135 and 180 days old, respectively. The Roi-Et1 local variety vetiver grass at 135 days old had most tillers (1,039 tillers/plot). The Roi-Et2 local variety vetiver grass at 180 days old had most tillers ( 1,350 tillers/plot). Therefore, all varieties of vetiver grass in this experiment could grow in saline soil. However, Roi-Et variety vetiver grass could grow best because of high fresh weight , longest leaf , and most tillering. The 6 months old Roi-Et vetiver grass had the highest fresh weight at 2,933 kg/rai. 6) Soil management by applying manure , PorDor12 bio-compost , rice hull , and bio char to Meientha suavis on farm pond bund in saline area was found that the application of manure could produce the best growth of Meientha suavis and significantly different to other organic materials. The shoot length was 4.0 cm. and the survive rate was high as 70 % while non soil management plot had shoot length only 1.7 cm. The shoot length of rice hull , PorDor12 bio-compost and bio char plot were not significantly different which were 2.75 , 3.0 , and 3.10 cm. , respectively.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เอกสารแนบ: http://dric.nrct.go.th/Search/SearchDetail/291921
เผยแพร่โดย: กรมพัฒนาที่ดิน
คำสำคัญ: ลุ่มน้ำเสียวน้อย
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีพัฒนาที่ดินสำหรับปรับปรุงและฟื้นฟูพื้นที่ดินเค็มลุ่มน้ำเสียวน้อย-เสียวใหญ่ อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ดเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน
กรมพัฒนาที่ดิน
30 กันยายน 2558
การเปลี่ยนแปลงการแพร่กระจายคราบเกลือบนผิวดินหลังจากการพัฒนา ดินเค็มแบบบูรณาการในพื้นที่ ตำบลด่านช้าง ตำบลขุนทอง อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาข้าราชการกรมประมง ความสำคัญของปุ๋ยพืชสดกับการพัฒนาพื้นที่ดินเค็มเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน: กรณีศึกษาในพื้นที่แปลงสาธิตหนองบ่อ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม การสำรวจและศึกษารูปแบบและพันธุ์หญ้าแฝกที่ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดินเค็มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การใช้ประโยชน์จากเศษเหลือทิ้งของข้าวโพดฝักอ่อนจากโรงงานอุตสาหกรรมอาหารกระป๋อง ความคิดเห็นของกรรมการบริหารในการดำเนินงานศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล อำเภอจตุรพักตรพิมาน จังหวัดร้อยเอ็ด การเปรียบเทียบพันธุ์หญ้าแฝกทนเค็มสำหรับพื้นที่ดินเค็มจังหวัดกาฬสินธุ์ การพัฒนาปรับปรุงพื้นที่ดินเค็ม เพื่อการปลูกข้าวเหนียว พันธุ์ กข.6 ผลของการใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพ แกลบ และพืชปุ๋ยสดบางชนิดร่วมกับยิปซั่มต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตข้าวในพื้นที่ดินเค็ม การใช้ประโยชน์จากหนังสือพิมพ์ในงานประชาสัมพันธ์
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก