สืบค้นงานวิจัย
การศึกษากระบวนการทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหารร่วมกับเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร
ธันวดี ศรีธาวิรัตน์ - มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
ชื่อเรื่อง: การศึกษากระบวนการทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหารร่วมกับเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร
ชื่อเรื่อง (EN): The Study on Composting processes from food and Agricultural Waste
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: ธันวดี ศรีธาวิรัตน์
บทคัดย่อ: การศึกษาครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหารร่วมกับเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร คือ เศษผัก ผักตบชวา และฟางข้าว โดยการศึกษาได้แบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ 1) การศึกษาองค์ประกอบของเศษอาหารและวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร 2) การศึกษาอัตราส่วนที่เหมาะสมในการทำปุ๋ยหมัก 3) การศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เคมี และชีวภาพ และ 4) การศึกษาปริมาณธาตุอาหารหลักในปุ๋ยหมัก ในกระบวนการทำปุ๋ยหมักได้ควบคุมค่า C/N เริ่มต้นประมาณ 30 และควบคุมความชื้นตลอดระยะเวลาการหมักให้อยู่ในช่วงร้อยละ 50-60 จากการศึกษาคุณสมบัติของเศษอาหารและวัสดุหมัก พบว่าปริมาณเศษอาหารต่อวัสดุหมักที่เหมาะสมเท่ากับ 1 : 4 โดยได้ติดตามการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เคมี และขีวภาพที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการทำปุ๋ยหมัก ดังนี้ การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ พบว่าปริมาณความชื้นตลอดระยะเวลาการหมักมีการเปลี่ยนแปลงคล้างคลึงกัน เมื่อสิ้นสุดการหมักที่ 90 วัน พบว่ามีเศษผัก ผักตบชวา และฟางข้าวมีปริมาณความชื้นเท่ากับร้อยละ 44.43, 42.85 และ 40.02 ตามลำดับ อุณหภูมิในทุกชุดการทดลองมีลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยในช่วง 21 วันแรก อุณหภูมิในกองปุ๋ยหมักสูงขึ้น และช่วงสุดท้ายของการหมักอุณหภูมิในกองปุ๋ยหมักใกล้เคียงกับอุณหภูมิของบรรยากาศ มีค่าอยู่ในช่วง 29.9 - 32.5 องศาเซลเซียส ค่าความเป็นกรด - ด่าง ในกองปุ๋ยหมักในช่วง 20 วันแรก ของการหมักมีค่าลดลงอยู่ในช่วง 4.3 - 5.3 โดยในวันที่ 90 ของการหมัก ค่าความเป็นกรด - ด่าง มีค่าค่อนข้างคงที่ โดยฟางข้าว ผักตบชวา และเศษผักมีค่าอยู่ในช่วง 7.2 - 7.56, 7.11 - 7.2 และ 6.75 - 7.07 การเปลี่ยนแปลงทางเคมี พบว่าปริมาณคาร์บอนมีแนวโน้มค่อย ๆ ลดลงตลอดระยะเวลาของการหมัก โดยในวันที่ 90 ของการหมักปริมาณคาร์บอนอยู่ในช่วงร้อยละ 30.50 - 31.15 ปริมาณไนโตรเจนมีแนวโน้มค่อย ๆ เพิ่มขึ้น โดยผักตบชวามีปริมาณไนโตรเจนมากที่สุดคืออยู่ในช่วงร้อยละ 2.07 - 3.28 ส่วนเศษผักและฟางข้าวมีปริมาณไนโตรเจนอยู่ในช่วงร้อยละ 1.64 - 2.35 และ 0.11 - 1.77 ตามลำดับ อัตราส่วน C/N ในเวลาของการหมักมีแนวโน้มลดลง โดยในวันที่ 90 ของการหมัก อัตราส่วน C/N ของผักตบชวามีค่าต่ำที่สุดคือ 11.53 ส่วนฟางข้าวและเศษผักมีอัตราส่วน C/N เท่ากับ 17.57 และ 13.94 ตามลำดับ ปริมาณฟอสฟอรัสมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยเศษผักมีปริมาณฟอสฟอรัสมากที่สุดคืออยู่ในช่วงร้อยละ 0.06 - 0.08 ส่วนฟางข้าวและผักตบชวามีปริมาณฟอสฟอรัสอยู่ในช่วง ร้อยละ 0.01 - 0.03 และ 0.01 - 0.02 ตามลำดับ ปริมาณโพแทสเซียมมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อย โดยฟางข้าวมีปริมาณโพแทสเซียมมากที่สุดคือ อยู่ในช่วงร้อยละ 0.22 - 0.53 ส่วนผักตบชวาและเศษผักมีปริมาณโพแทสเซียมอยู่ในช่วงร้อยละ 0.18 - 0.48 และ 0.17 - 0.28 ตามลำดับ การเปลี่ยนแปลงทางชัวภาพ พบว่าการเปลี่ยนแปลงปริมาณจุลินทรีย์ประเภท Mesophile มีลักษณะใกล้เคียงกัน โดยมีปริมาณเพิ่มขค้นในช่วงแรกและมีค่าสูงสุดในวันที่ 77 ของการหมัก ซึ่งมีค่าอยู่ในช่วง 7.50x10/2 - 8.80 x 10/13 CFU/g หลักจากนั้นมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ จนสิ้นสุดการหมัก โดยในทุกชุดการทดลองมีค่าใกล้เคียงกันคือ 7.00 x 10/11 - 2.40x10/12 CFU/g รูปแบบการเจริญเติบโตของ Thermophillic microorganisms มีลักษณะการเปลี่ยนแปลงคล้ายคลึงกัน โดยพบว่ามีปริมาณสูงสุดในวันที่ 14 โดยมีค่าอยู่ในช่วง 3.80 x 10/11 - 2.00 x 10/12 CFU/g แล้วค่อย ๆ ลดลงหลังจากวันที่ 21 ของการหมัก และเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ อีกครั้ง โดยในวันที่ 90 ฟางข้าวมีค่าเท่ากับ 2.00 x 10/12 CFU/g ผักตบชวามีค่าเท่ากับ 1.00 x 10/12 CFU/g และเศษผักมีค่า เท่ากับ 3.20 x 10/11 CFU/g ตามลำดับ การวิเคราะห์ปริมาณธาตุในปุ๋ยหมัก พบว่าปุ๋ยหมักที่ได้จากผักตบชวามีปริมาณไนโตรเจนสูงสุดคือร้อยละ 2.70 ส่วนเศษผักและฟางข้าวมีค่าเท่ากับร้อยละ 2.18 - 1.77 โดยปู่ยหมักทุกชุดการทดลองมีค่าไนโตรเจนสูงกว่ามาตรฐาน และพบว่ามีปริมาณฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมต่ำกว่ามาตรฐานปุ๋ยของกรมพัฒนาที่ดิน ดังนั้นในการใช้งานควรมีการปรับปรุงปริมาณฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เอกสารแนบ: http://dcms.thailis.or.th/dcms/dccheck.php?Int_code=22&RecId=21&obj_id=19
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
คำสำคัญ: ปุ๋ยหมัก
คำสำคัญ (EN): 631.87
เจ้าของลิขสิทธิ์: มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
รายละเอียด: การศึกษาครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหารร่วมกับเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร คือ เศษผัก ผักตบชวา และฟางข้าว โดยการศึกษาได้แบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ 1) การศึกษาองค์ประกอบของเศษอาหารและวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร 2) การศึกษาอัตราส่วนที่เหมาะสมในการทำปุ๋ยหมัก 3) การศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เคมี และชีวภาพ และ 4) การศึกษาปริมาณธาตุอาหารหลักในปุ๋ยหมัก ในกระบวนการทำปุ๋ยหมักได้ควบคุมค่า C/N เริ่มต้นประมาณ 30 และควบคุมความชื้นตลอดระยะเวลาการหมักให้อยู่ในช่วงร้อยละ 50-60 จากการศึกษาคุณสมบัติของเศษอาหารและวัสดุหมัก พบว่าปริมาณเศษอาหารต่อวัสดุหมักที่เหมาะสมเท่ากับ 1 : 4 โดยได้ติดตามการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เคมี และขีวภาพที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการทำปุ๋ยหมัก ดังนี้ การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ พบว่าปริมาณความชื้นตลอดระยะเวลาการหมักมีการเปลี่ยนแปลงคล้างคลึงกัน เมื่อสิ้นสุดการหมักที่ 90 วัน พบว่ามีเศษผัก ผักตบชวา และฟางข้าวมีปริมาณความชื้นเท่ากับร้อยละ 44.43, 42.85 และ 40.02 ตามลำดับ อุณหภูมิในทุกชุดการทดลองมีลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยในช่วง 21 วันแรก อุณหภูมิในกองปุ๋ยหมักสูงขึ้น และช่วงสุดท้ายของการหมักอุณหภูมิในกองปุ๋ยหมักใกล้เคียงกับอุณหภูมิของบรรยากาศ มีค่าอยู่ในช่วง 29.9 - 32.5 องศาเซลเซียส ค่าความเป็นกรด - ด่าง ในกองปุ๋ยหมักในช่วง 20 วันแรก ของการหมักมีค่าลดลงอยู่ในช่วง 4.3 - 5.3 โดยในวันที่ 90 ของการหมัก ค่าความเป็นกรด - ด่าง มีค่าค่อนข้างคงที่ โดยฟางข้าว ผักตบชวา และเศษผักมีค่าอยู่ในช่วง 7.2 - 7.56, 7.11 - 7.2 และ 6.75 - 7.07 การเปลี่ยนแปลงทางเคมี พบว่าปริมาณคาร์บอนมีแนวโน้มค่อย ๆ ลดลงตลอดระยะเวลาของการหมัก โดยในวันที่ 90 ของการหมักปริมาณคาร์บอนอยู่ในช่วงร้อยละ 30.50 - 31.15 ปริมาณไนโตรเจนมีแนวโน้มค่อย ๆ เพิ่มขึ้น โดยผักตบชวามีปริมาณไนโตรเจนมากที่สุดคืออยู่ในช่วงร้อยละ 2.07 - 3.28 ส่วนเศษผักและฟางข้าวมีปริมาณไนโตรเจนอยู่ในช่วงร้อยละ 1.64 - 2.35 และ 0.11 - 1.77 ตามลำดับ อัตราส่วน C/N ในเวลาของการหมักมีแนวโน้มลดลง โดยในวันที่ 90 ของการหมัก อัตราส่วน C/N ของผักตบชวามีค่าต่ำที่สุดคือ 11.53 ส่วนฟางข้าวและเศษผักมีอัตราส่วน C/N เท่ากับ 17.57 และ 13.94 ตามลำดับ ปริมาณฟอสฟอรัสมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยเศษผักมีปริมาณฟอสฟอรัสมากที่สุดคืออยู่ในช่วงร้อยละ 0.06 - 0.08 ส่วนฟางข้าวและผักตบชวามีปริมาณฟอสฟอรัสอยู่ในช่วง ร้อยละ 0.01 - 0.03 และ 0.01 - 0.02 ตามลำดับ ปริมาณโพแทสเซียมมีแนวโน้มลดลงเล็กน้อย โดยฟางข้าวมีปริมาณโพแทสเซียมมากที่สุดคือ อยู่ในช่วงร้อยละ 0.22 - 0.53 ส่วนผักตบชวาและเศษผักมีปริมาณโพแทสเซียมอยู่ในช่วงร้อยละ 0.18 - 0.48 และ 0.17 - 0.28 ตามลำดับ การเปลี่ยนแปลงทางชัวภาพ พบว่าการเปลี่ยนแปลงปริมาณจุลินทรีย์ประเภท Mesophile มีลักษณะใกล้เคียงกัน โดยมีปริมาณเพิ่มขค้นในช่วงแรกและมีค่าสูงสุดในวันที่ 77 ของการหมัก ซึ่งมีค่าอยู่ในช่วง 7.50x10/2 - 8.80 x 10/13 CFU/g หลักจากนั้นมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ จนสิ้นสุดการหมัก โดยในทุกชุดการทดลองมีค่าใกล้เคียงกันคือ 7.00 x 10/11 - 2.40x10/12 CFU/g รูปแบบการเจริญเติบโตของ Thermophillic microorganisms มีลักษณะการเปลี่ยนแปลงคล้ายคลึงกัน โดยพบว่ามีปริมาณสูงสุดในวันที่ 14 โดยมีค่าอยู่ในช่วง 3.80 x 10/11 - 2.00 x 10/12 CFU/g แล้วค่อย ๆ ลดลงหลังจากวันที่ 21 ของการหมัก และเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ อีกครั้ง โดยในวันที่ 90 ฟางข้าวมีค่าเท่ากับ 2.00 x 10/12 CFU/g ผักตบชวามีค่าเท่ากับ 1.00 x 10/12 CFU/g และเศษผักมีค่า เท่ากับ 3.20 x 10/11 CFU/g ตามลำดับ การวิเคราะห์ปริมาณธาตุในปุ๋ยหมัก พบว่าปุ๋ยหมักที่ได้จากผักตบชวามีปริมาณไนโตรเจนสูงสุดคือร้อยละ 2.70 ส่วนเศษผักและฟางข้าวมีค่าเท่ากับร้อยละ 2.18 - 1.77 โดยปู่ยหมักทุกชุดการทดลองมีค่าไนโตรเจนสูงกว่ามาตรฐาน และพบว่ามีปริมาณฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมต่ำกว่ามาตรฐานปุ๋ยของกรมพัฒนาที่ดิน ดังนั้นในการใช้งานควรมีการปรับปรุงปริมาณฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การศึกษากระบวนการทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหารร่วมกับเศษวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร
มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
2547
การผลิตปุ๋ยหมักจากเศษอาหาร รายงานการวิจัย เรื่อง การหาประสิทธิภาพการย่อยสลายสารอินทรีย์จากเศษผักและเศษใบไม้แห้งของเชื้อจุลินทรีย์เร่งปุ๋ยหมัก การศึกษาคุณภาพปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินและการใช้ประโยชน์ทางการเกษตร การทำปุ๋ยหมักจากใบไม้เพิ่อเพิ่มมูลค่าและลดภาวะเป็นพิษ การผลิตปุ๋ยหมักจากเปลือกยูคาลิปตัสแบบรวดเร็วในระบบเกษตรอินทรีย์ การศึกษาปริมาณของธาตุอาหารหลักจากปุ๋ยหมักที่ได้จากการหมักขยะมูลฝอยโดยใช้บ่อหมักแบบต่างๆ การผลิตสารเร่งปุ๋ยหมักจากแหล่งธรรมชาติ การผลิตปุ๋ยหมักมูลไส้เดือนดินด้วยสายพันธุ์ท้องถิ่นไทย เทคโนโลยีการแปรรูปวัสดุเหลือใช้ของข้าวเพื่อเป็นวัสดุปลูกและการปรับปรุงดิน : แท่งปุ๋ยอินทรีย์เพื่อสวนผลไม้ รายงานการวิจัย การศึกษาระยะเวลาที่เหมาะสมต่อการเพิ่มจำนวนจุลินทรีย์ในการย่อยสลายปุ๋ยหมัก
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก