สืบค้นงานวิจัย
ศักยภาพการใช้ความร้อนจากคลื่นความถี่วิทยุเพื่อลดระยะเวลาในการลดความชื้น ของข้าวเปลือกพันธุ์ปทุมธานี 1
นางสุชาดา เวียรศิลป์ - มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ชื่อเรื่อง: ศักยภาพการใช้ความร้อนจากคลื่นความถี่วิทยุเพื่อลดระยะเวลาในการลดความชื้น ของข้าวเปลือกพันธุ์ปทุมธานี 1
ชื่อเรื่อง (EN): Potential of Radio Frequency Heat Drying in Drying Time Reducing on Paddy Rice ver. Pathum Thani 1 Qualities
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: นางสุชาดา เวียรศิลป์
บทคัดย่อ: งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหากรรมวิธีในการลดความชื้นข้าวเปลือกพันธุ์ปทุมธานี 1 โดยมีการใช้ระยะเวลาที่สั้นและวัตถุดิบไม่สูญเสียคุณภาพ โดยการวางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (Completely Randomized Design; CRD:) จำนวน 4 ซ้ำ นำเมล็ดตัวอย่างก่อนและหลังการลดความชื้นมาวัดค่าคุณสมบัติไดอิเล็กทริกที่ความถี่ 1 ถึง 50 MHz จากนั้นทำการลดความชื้นเมล็ดข้าวที่มีความชื้นเริ่มต้น 26 เปอร์เซ็นต์ จนเหลือ 14 เปอร์เซ็นต์ โดยใช้ 7 กรรมวิธี คือ การลดความชื้นด้วยเครื่องอบร้อนที่อุณหภูมิหลายระดับร่วมกัน (50 องศาเซลเซียส 10 ชั่วโมง ต่อด้วย 60 องศาเซลเซียส 3 ชั่วโมง, 70 องศาเซลเซียส 3 ชั่วโมง, 80 องศาเซลเซียส 3 ชั่วโมง และ 85 องศาเซลเซียส 3 ชั่วโมง) เป็นชุดควบคุม, การใช้ความร้อนจากคลื่นความถี่วิทยุ (27.12MHz) เพียงอย่างเดียวที่อุณหภูมิ 65, 75 และ 85 องศาเซลเซียส และการอบลมร้อนลดความชื้นจนเมล็ดมีความชื้น 18 เปอร์เซ็นต์ ต่อด้วยลดความชื้นด้วยคลื่นความถี่วิทยุอุณหภูมิ 65, 75 และ 85 องศาเซลเซียส บันทึกระยะเวลาในการลดความชื้นและคำนวณหาอัตราการลดความชื้น ตรวจสอบคุณสมบัติทางกายภาพ ได้แก่ คุณภาพการขัดสี, การวัดความขาวของข้าวสาร, และเปอร์เซ็นต์การร้าวของเมล็ด และตรวจสอบคุณภาพการหุง เช่น ความคงตัวของแป้งสุก, อัตราการยืดตัวของเมล็ดข้าวสุก, การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของน้ำแป้ง, การวัดลักษณะเนื้อสัมผัส จากนั่นวัดคุณภาพทางเคมี โดยวัดเปอร์เซ็นต์อะไมโลส ผลการทดลองพบว่า ข้าวเปลือกที่ความชื้นเริ่มต้น 26 เปอร์เซ็นต์ เมื่อวัดค่าคุณสมบัติไดอิเล็กทริกที่คลื่นความถี่วิทยุ 1 - 50 MHz มีค่า dielectric constant เท่ากับ 2.22 – 3.44 ? 0.03 ในขณะที่ค่า loss factor มีค่าเท่ากับ 1.26 – 6.43 ? 0.20 ส่วนค่า loss tangent มีค่าเท่ากับ 0.37- 2.55 ? 0.08 โดยค่า loss tangent สูงสุดที่ 48 MHz ส่วนเมล็ดที่ได้จากการลดความชื้นทั้ง 7 กรรมวิธีจนมีความชื้นเหลือ 14 เปอร์เซ็นต์มีแนวโน้มต่อการตอบสนองในการลดความชื้นต่อช่วงคลื่นความถี่ในทิศทางเดียวกันและมี loss tangent ความถี่ที่ 46 MHz ดีที่สุด คือสามารถทำให้เกิดความร้อนในเมล็ดได้เร็วแสดงว่าเมล็ดข้าวมีระดับการทะลุทะลวงของสนามแม่เหล็กไฟฟ้าและระดับการกระจายพลังงานไฟฟ้าไปเป็นพลังงานความร้อนได้ดีกว่าการใช้ความถี่ที่ต่ำกว่า การลดความชื้นด้วยความร้อนจากคลื่นความถี่วิทยุเพียงอย่างเดียวที่อุณหภูมิ 65, 75 และ 85 องศาเซลเซียส ใช้เวลาในการลดความชื้น 30, 25 และ 15 นาที ตามลำดับ น้อยกว่าการใช้เครื่องอบร้อนที่อุณหภูมิหลายระดับร่วมกัน (ชุดควบคุม) คือ 600 นาที และเครื่องอบลมร้อนใช้พลังงานในการลดความชื้นถึง 56.91 MJ/kg water ซึ่งมีค่าสูงกว่าการใช้คลื่นวิทยุเพียงอย่างเดียวที่อุณหภูมิ 65, 75 และ 85 องศาเซลเซียส( 19.91, 13.16 และ 9.92 MJ/kg water ตามลำดับ) นอกจากนั้นการลดความชื้นโดยการอบลมร้อนร่วมกับคลื่นความถี่วิทยุที่อุณหภูมิ 65, 75 และ 85 องศาเซลเซียส ใช้ระยะเวลาเท่ากับ 308, 305 และ 303 นาที ซึ่งสามารถประหยัดเวลาได้ 51.3, 50.8 และ 50.5 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้เครื่องอบลมร้อนอย่างเดียว และสามารถประหยัดพลังงานได้ เท่ากับ 22.65, 24.21 และ 26.29 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับการใช้เครื่องอบลมร้อนอย่างเดียว การลดความชื้นโดยการอบลมร้อนร่วมกับคลื่นความถี่วิทยุที่อุณหภูมิ 65 องศาเซลเซียส ส่งผลให้เปอร์เซ็นต์การร้าวของเมล็ดต่ำเท่ากับ 33.75 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ชุดควบคุมมีเมล็ดร้าว 32 เปอร์เซ็นต์ และยังส่งผลทำให้มีเปอร์เซ็นต์การสีสูงสุด คือ เปอร์เซ็นต์ข้าวกล้อง 69.82 เปอร์เซ็นต์, เปอร์เซ็นต์ข้าวขาว 61.17 เปอร์เซ็นต์ และเปอร์เซ็นต์ข้าวต้น 39.06 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ชุดควบคุมมีเปอร์เซ็นต์ข้าวกล้องเท่ากับ 63.30 เปอร์เซ็นต์, เปอร์เซ็นต์ข้าวขาวเท่ากับ 55.46 เปอร์เซ็นต์ และเปอร์เซ็นต์ข้าวต้นเท่ากับ 34.15 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแม้ว่ากรรมวิธีดังกล่าวจะใช้ระยะเวลานานกว่าการลดความชื้นด้วยการใช้คลื่นความถี่วิทยุเพียงอย่างเดียว แต่กรรมวิธีการลดความชื้นด้วยคลื่นความถี่วิทยุเพียงอย่างเดียวมีการร้าวของเมล็ดข้าวสูงสุดเท่ากับ 64.42 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากการเกิดความร้อนอย่างรวดเร็วในวัตถุจากคลื่นความถี่วิทยุ ทำให้เกิดการระบายความร้อนและการระเหยของความชื้นในเมล็ดเร็วมาก ทำให้เกิดเมล็ดร้าว ส่งผลให้คุณภาพเมล็ดเปลี่ยนแปลง การลดความชื้นทุกกรรมวิธี ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงคุณภาพทางเคมี เช่น ความคงตัวของแป้งสุก อัตราการยืดตัวของเมล็ดข้าวสุก และเปอร์เซ็นต์อะไมโลส ดังนั้น การลดความชื้นโดยการอบลมร้อนร่วมกับคลื่นความถี่วิทยุที่อุณหภูมิ 65 องศาเซลเซียส จึงเป็นวิธีที่เหมาะสม โดยสามารถรักษาคุณภาพเมล็ดโดยรวมไว้ได้
บทคัดย่อ (EN): The experiment aimed to determine the suitable methods for drying paddy rice var Pathumthani 1 by spending short time treatment period without adverse effect on its quality. The Completely Randomized Design (CRD) with 4 replications was proposed. The seed samples before and after treatment were measured for their dielectric properties at the frequency between 1-50 MHz. Then, the rice seed were dried from moisture content of 26% to 14% by using 7 treatments. The drying methods were: combined different temperatures hot air drying (50?C 10 hr. followed by 60?C 3 hr, followed by 70?C 3 hr, followed by 80?C 3 hr and 85?C 3 hr) as control treatment, radio frequency (RF at 27.12MHz) drying technique at temperature of 65, 75 and 85?C and using 60?C hot air drier until the grain reach 18 % moisture followed by RF drying at temperature of 65, 75 and 85?C. The drying time were collected and drying rate were calculated as well as rice physical properties were determined as milling quality, color changes and cracking percentage. Cooking quality was also determined as gel consistency, elongation ratio of rice kernel, viscosity, texture of cooked rice. After that, rice chemical quality as amylose content was analyzed. The results showed that the dielectric properties at 1-50 MHz; the dielectric constant of rice seed contained moisture content of 26% were 2.22 – 3.44 ? 0.03 while the loss factor were 1.26 – 6.43 ? 0.20 and loss tangent were 0.37-2.55 ? 0.08 with the highest loss tangent at frequency of 48 MHz 14 % moisture content rice seed similarly showed the same behavior, and responded on the highest loss tangent at the frequency 46 MHz which imply that, the higher RF frequency created more rapidly electromagnetic field in the rice grain, penetrated quicker through the grain and transformed higher energy distribution to heat energy than those from the lower frequency. Drying time by solely RF at 65, 75 and 85?C were 30, 25 and 15 min, respectively which significantly less than drying time by combined temperatures hot air drier (control) which was 600 min. The value of Specific Energy Consumption (SEC) by hot air drying was 56.91 MJ/kg water which was higher than those from solely RF drying at 65, 75 and 85?C (19.91, 13.16 and 9.92 MJ/kg water, respectively). The combining hot air drying with RF treatments at 65, 75 and 85?C took drying time duration of 308, 305 and 303 min respectively which were time saving of 51.3, 50.8 and 50.5 % and energy saving of 22.65, 24.21 and 26.29 % respectively while compared to solely hot air drying. Drying rice seed by hot air combined with RF treatments at 65?C affected on cracking of grains 33.75 % while the control treatment was 32 % and showed the significant milling quality: such as brown rice was 69.82 %, Milled rice was 61.17 % and head rice was 39.06 % while the control treatment brown rice was 63.30 %, Milled rice was 55.46 % and head rice was 34.15 %. In contrast, solely RF drying resulted the highest number on rice seed cracking (64.42 %). It concluded that due to heat occurrence rapidly by RF treatment resulted to high evaporation rate of moisture in the grain, grain were then cracked, and their qualities were changed as well. All drying treatments have no effect on gel consistency, elongation ratio of kernel and amylase percentage. Therefore, the hot air drying combined with RF treatment at 65?C was appropriated drying method of which grain qualities overall has been mentioned
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
คำสำคัญ: คลื่นความถี่วิทยุ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
ศักยภาพการใช้ความร้อนจากคลื่นความถี่วิทยุเพื่อลดระยะเวลาในการลดความชื้น ของข้าวเปลือกพันธุ์ปทุมธานี 1
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
30 กันยายน 2556
การศึกษาเปรียบเทียบคุณภาพการสีและต้นทุนผลตอบแทนจาก เทคโนโลยีการลดความชื้นข้าวเปลือกแบบต่างๆ ของเกษตรกรในจังหวัดร้อยเอ็ด การใช้คลื่นความถี่วิทยุในการให้ความร้อนอาหาร การพัฒนาและศึกษาระบบการอบแห้งแบบพาหะลมชนิดท่อเกลียวสำหรับข้าวเปลือก ศักยภาพของเม็ดดูดความชื้นซีโอไลท์ในการลดความชื้นของเมล็ดพันธุ์ข้าว การศึกษาผลการใช้เครื่องอบลดความชื้นข้าวเปลือกตามโครงการลดความชื้นข้าวเปลือกผ่านสถาบันเกษตรกร การประยุกต์การอบแห้งมอลท์ด้วยความร้อนจากคลื่นความถี่วิทยุร่วมกับเครื่องอบร้อน การหาค่าพลังงานใช้ประโยชน์ของข้าวเปลือกบด และถั่วมะแฮะบด โดยวิธีการแทนที่ส่วนของอาหารเปรียบเทียบและการใช้เป็นอาหารเดี่ยวในสัตว์ปีก การผลิต resistant starch จากแป้งข้าวด้วยวิธีการย่อยแป้งด้วยกรดร่วมกับการให้ความร้อนและความชื้น การแข่งขันระหว่างข้าวกับวัชพืชจากการใส่ปุ๋ยรองพื้นระยะเวลาต่างๆ ในนาหว่านข้าวแห้ง การพัฒนาเชื้อราไตรโคเดอร์มาปฏิปักษ์ที่ช่วยเพิ่มผลผลิตและลดโรคข้าวเป็นชีวภัณฑ์เชิงพาณิชย์
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก