สืบค้นงานวิจัย
การใช้วิธี dehydrogenase assay ในการทดสอบความเป็นอันตรายของตะกอนดินในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา
Bongkoch Tongsadayu - มหาวิทยาลัยมหิดล
ชื่อเรื่อง: การใช้วิธี dehydrogenase assay ในการทดสอบความเป็นอันตรายของตะกอนดินในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา
ชื่อเรื่อง (EN): Application of dehydrogenase assay for sediment hazardous assessment in Songkhla Lake basin
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ (EN): Bongkoch Tongsadayu
บทคัดย่อ: การศึกษาการประเมินความเป็นพิษของตะกอนดินธรรมชาติจากลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา รวมทั้งสิ้น 37 สถานีศึกษา โดยวิธีทดสอบการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Dehydrogenase ของ แบคทีเรีย Bacillus cereus สายพันธุ์ TISTR 687 แบ่งเป็น 2 ลักษณะการศึกษา ได้แก่ การศึกษาความเป็นพิษของน้ำสกัดจากตะกอนดิน และ ความเป็นพิษของตะกอนดินทั้งหมด โดย ทำการศึกษาปัจจัยที่เหมาะสมในการทดสอบ ได้แก่ วิธีการเตรียมตัวอย่างแบคทีเรีย ค่าความเป็นกรด-ด่าง และความเค็มที่ เหมาะสมในการทดสอบ นอกจากนั้นยังทำการวิเคราะห์คุณสมบัติทางเคมีและทางกายภาพของตะกอนดิน เพื่อใช้เป็นข้อมูลใน การประเมินความเป็นพิษของตะกอนดินร่วมกับผลการทดสอบทางชีววิทยา เช่น ขนาดอนุภาคของตะกอนดิน ค่าความเป็นกรด- ด่าง ค่าปริมาณอินทรีย์สาร ค่าความสามารถในการแลกเปลี่ยนประจุ ค่าความเค็ม และค่าการนำไฟฟ้า จากผลการศึกษาพบว่า ช่วงเวลาที่จำเป็นต้องใช้ในการเตรียมตัวอย่างแบคทีเรียที่มีความหนาแน่นที่เหมาะสม สำหรับ การทดลอง และอยู่ในระยะที่มีการเจริญเติบโตสูงสุด (exponential phase) คือ 2 ชั่วโมง 30 นาที โดยที่ระดับความเป็น กรด-ด่าง 7-8 และระดับความเค็มไม่เกิน 10 ส่วนในพัน จะตรวจไม่พบการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Dehydrogenase ของแบคทีเรีย B. cereus ส่วนการจัดกลุ่มความเป็นพิษของตะกอนดิน ใช้วิธีการจัดกลุ่มแบบเป็นขั้นตอน (centroid hierarchical cluster analysis) จัดระดับความเป็นพิษของดินตะกอนได้เป็น 4 กลุ่ม พบว่า การทดสอบโดยใช้ตะกอนดินทั้งหมดมีแนวโน้มที่จะตรวจ พบตะกอนดินที่ความเป็นพิษมากกว่าการทดสอบความเป็นพิษโดยใช้น้ำสกัดจากตะกอนดิน โดยจากสถานีศึกษาทั้งหมด ตรวจ ไม่พบความเป็นพิษ 14 สถานี ระดับความเป็นพิษในระดับต่ำ 10 สถานีศึกษา และ ระดับความเป็นพิษในระดับสูง 13 สถานี ศึกษา โดยพบว่าสถานีที่ตรวจพบความเป็นพิษในตะกอนดินส่วนใหญ่พบอยู่ในลำน้ำสาขาที่ไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลา ส่วนผล จากการทดสอบความเป็นพิษโดยใช้น้ำสกัดจากตะกอนดิน พบว่า ไม่สามารถตรวจพบความเป็นพิษในดินตะกอนจากสถานี ศึกษาส่วนใหญ่ มีเพียง 2 สถานี ที่แสดงความเป็นพิษในระดับต่ำ 2 สถานีศึกษาที่แสดงความเป็นพิษในระดับปานกลาง และ มี เพียงสถานีเดียวที่แสดงความเป็นพิษระดับสูง โดยสถานีศึกษาที่แสดงความเป็นพิษโดยใช้น้ำสกัดส่วนใหญ่เป็นสถานีศึกษาใน คลองสาขาที่ไหลลงสู่ทะเลหลวง จากผลค่าความเป็นพิษ ที่ส่วนใหญ่ตรวจพบในลำคลองสาขาของทั้งสามพื้นที่หลักของลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ซึ่ง ได้แก่ ทะเลน้อย ทะเลหลวง และ ทะเลสาบสงขลา นั้น บ่งชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่เกิดจากกิจกรรมของประชาชน ที่มีต่อแหล่ง น้ำสาขานั้น ๆ มากกว่าในพื้นที่หลัก แม้ว่าผลการตรวจการปนเปื้อนของสารเคมีต่าง ๆ ในดินตะกอนจะแสดงว่าส่วนใหญ่ยังอยู่ ในเกณฑ์มาตรฐาน แต่จากการใช้การทดสอบการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Dehydrogenase ของแบคทีเรีย B. cereus สามารถตรวจสอบพบจุดที่มีแนวโน้มว่าจะก่อปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงได้ จึงสมควรนำวิธีตรวจสอบความเป็นพิษทาง ชีววิทยานี้ไปใช้ในพื้นที่อื่นที่เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมต่อไป เพื่อลดอันตรายที่อาจเกิดต่อสุขภาพของประชากร และ สิ่งแวดล้อมในพื้นที่
บทคัดย่อ (EN): Toxicity assessment of natural sediment samples collected from 37 stations in Songkhla Lake basin was conducted. For the purpose, dehydrogenase enzyme activity inhibition (DHA) method using bacteria Bacillus cereus TISTR 687 was chosen. Two different test phases, i.e. elutriate and whole sediment phases, were tested. Suitable test procedure and conditions, including bacterial suspension preparation, as well as pH and salinity levels, respectively were determined. In addition, physical and chemical properties of sediment samples were determined, including particle size distribution, pH, organic content, cation exchange capacity, salinity and electrical conductivity. The results indicated that the time required to obtain suitable density of bacterial suspension was 2 hours 30 minutes, which represents growth in middle log phase (exponential phase). The pH levels 7 and 8 were found to be the most suitable pH range for the DHA method, while inhibition effects on enzyme activities of B. cereus were not observed at salinity up to 10 ppt. For sediment toxicity assessment, four toxicity levels were ranked using centroid hierarchical cluster analysis. Results obtained from whole sediment phase seemed to be able to indicate a higher number of toxic sediment samples than those from elutriate phase. From all the sampling stations, 14, 10 and 13 sites were found non toxic, slightly toxic and highly toxic, respectively. Most of those stations with apparent toxicity were located in tributaries of Songkhla Lake Basin. The results obtained from elutriate phase revealed a non toxic condition in most sediment samples. Sediment samples from 2 stations were found slightly toxic, while those from other 2 stations were found moderately toxic. Only one sample was considered highly toxic. Most of these stations were located in tributaries of Thale Luang area. The overall relatively higher toxicity of sediment samples obtained from the tributaries of the Songkhla Lake Basin compared to samples from the main lake areas. Thale Noi, Thale Luang and Songkhla Lake implied the possibility of excessive human influence in the tributaries area. Although chemical contamination determination revealed low contamination levels mostly below the standard values in all stations, the results from dehydrogenase enzyme activity inhibition (DHA) method using B. cereus could indicate sites that are prone to produce serious environmental problems. Therefore, this biotest method should be incorporated into a monitoring plan in other risk areas so that potential health hazards to their population, as well as to the environment, could be lessened.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เอกสารแนบ: http://dcms.thailis.or.th/dcms/dccheck.php?Int_code=126&RecId=4226&obj_id=3600
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยมหิดล
คำสำคัญ (EN): Thesis
เจ้าของลิขสิทธิ์: มหาวิทยาลัยมหิดล
รายละเอียด: การศึกษาการประเมินความเป็นพิษของตะกอนดินธรรมชาติจากลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา รวมทั้งสิ้น 37 สถานีศึกษา โดยวิธีทดสอบการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Dehydrogenase ของ แบคทีเรีย Bacillus cereus สายพันธุ์ TISTR 687 แบ่งเป็น 2 ลักษณะการศึกษา ได้แก่ การศึกษาความเป็นพิษของน้ำสกัดจากตะกอนดิน และ ความเป็นพิษของตะกอนดินทั้งหมด โดย ทำการศึกษาปัจจัยที่เหมาะสมในการทดสอบ ได้แก่ วิธีการเตรียมตัวอย่างแบคทีเรีย ค่าความเป็นกรด-ด่าง และความเค็มที่ เหมาะสมในการทดสอบ นอกจากนั้นยังทำการวิเคราะห์คุณสมบัติทางเคมีและทางกายภาพของตะกอนดิน เพื่อใช้เป็นข้อมูลใน การประเมินความเป็นพิษของตะกอนดินร่วมกับผลการทดสอบทางชีววิทยา เช่น ขนาดอนุภาคของตะกอนดิน ค่าความเป็นกรด- ด่าง ค่าปริมาณอินทรีย์สาร ค่าความสามารถในการแลกเปลี่ยนประจุ ค่าความเค็ม และค่าการนำไฟฟ้า จากผลการศึกษาพบว่า ช่วงเวลาที่จำเป็นต้องใช้ในการเตรียมตัวอย่างแบคทีเรียที่มีความหนาแน่นที่เหมาะสม สำหรับ การทดลอง และอยู่ในระยะที่มีการเจริญเติบโตสูงสุด (exponential phase) คือ 2 ชั่วโมง 30 นาที โดยที่ระดับความเป็น กรด-ด่าง 7-8 และระดับความเค็มไม่เกิน 10 ส่วนในพัน จะตรวจไม่พบการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Dehydrogenase ของแบคทีเรีย B. cereus ส่วนการจัดกลุ่มความเป็นพิษของตะกอนดิน ใช้วิธีการจัดกลุ่มแบบเป็นขั้นตอน (centroid hierarchical cluster analysis) จัดระดับความเป็นพิษของดินตะกอนได้เป็น 4 กลุ่ม พบว่า การทดสอบโดยใช้ตะกอนดินทั้งหมดมีแนวโน้มที่จะตรวจ พบตะกอนดินที่ความเป็นพิษมากกว่าการทดสอบความเป็นพิษโดยใช้น้ำสกัดจากตะกอนดิน โดยจากสถานีศึกษาทั้งหมด ตรวจ ไม่พบความเป็นพิษ 14 สถานี ระดับความเป็นพิษในระดับต่ำ 10 สถานีศึกษา และ ระดับความเป็นพิษในระดับสูง 13 สถานี ศึกษา โดยพบว่าสถานีที่ตรวจพบความเป็นพิษในตะกอนดินส่วนใหญ่พบอยู่ในลำน้ำสาขาที่ไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลา ส่วนผล จากการทดสอบความเป็นพิษโดยใช้น้ำสกัดจากตะกอนดิน พบว่า ไม่สามารถตรวจพบความเป็นพิษในดินตะกอนจากสถานี ศึกษาส่วนใหญ่ มีเพียง 2 สถานี ที่แสดงความเป็นพิษในระดับต่ำ 2 สถานีศึกษาที่แสดงความเป็นพิษในระดับปานกลาง และ มี เพียงสถานีเดียวที่แสดงความเป็นพิษระดับสูง โดยสถานีศึกษาที่แสดงความเป็นพิษโดยใช้น้ำสกัดส่วนใหญ่เป็นสถานีศึกษาใน คลองสาขาที่ไหลลงสู่ทะเลหลวง จากผลค่าความเป็นพิษ ที่ส่วนใหญ่ตรวจพบในลำคลองสาขาของทั้งสามพื้นที่หลักของลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ซึ่ง ได้แก่ ทะเลน้อย ทะเลหลวง และ ทะเลสาบสงขลา นั้น บ่งชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่เกิดจากกิจกรรมของประชาชน ที่มีต่อแหล่ง น้ำสาขานั้น ๆ มากกว่าในพื้นที่หลัก แม้ว่าผลการตรวจการปนเปื้อนของสารเคมีต่าง ๆ ในดินตะกอนจะแสดงว่าส่วนใหญ่ยังอยู่ ในเกณฑ์มาตรฐาน แต่จากการใช้การทดสอบการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Dehydrogenase ของแบคทีเรีย B. cereus สามารถตรวจสอบพบจุดที่มีแนวโน้มว่าจะก่อปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงได้ จึงสมควรนำวิธีตรวจสอบความเป็นพิษทาง ชีววิทยานี้ไปใช้ในพื้นที่อื่นที่เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมต่อไป เพื่อลดอันตรายที่อาจเกิดต่อสุขภาพของประชากร และ สิ่งแวดล้อมในพื้นที่
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การใช้วิธี dehydrogenase assay ในการทดสอบความเป็นอันตรายของตะกอนดินในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา
Bongkoch Tongsadayu
มหาวิทยาลัยมหิดล
2550
เพื่อการศึกษาสมดุลของน้ำในลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา การปรับปรุงคุณภาพดินเพื่อใช้ในงานฐานรากตื้นด้วยวิธีดินผสมซีเมนต์ การเลือกวิธีทดสอบที่เหมาะสมสำหรับการทดสอบความเป็นพิษของน้ำทิ้งรวมด้วยลูกปลานิลวัยอ่อน การหาพืชเศรษฐกิจที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูกโดยใช้วิธี Genetic Algorithm กรณีศึกษาลุ่มน้ำมูลตอนบน จังหวัดนครราชสีมา การสร้างตะกอนเม็ดในระบบยูเอเอสบีโดยใช้ตะกอนหัวเชื้อเริ่มต้นจากตะกอนของระบบแอกทิเวทเต็ดสลัดจ์ที่ผ่านการรีดน้ำ การศึกษาการปรับปรุงดินเค็มที่พบในพื้นที่ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน โดยวิธีการใช้น้ำชะล้างเกลือออกจากดิน การสะสมและการแพร่กระจายของโลหะหนักในน้ำ ดินตะกอน การประเมินแนวทางการประยุกต์ใช้พลังงานหมุนเวียนที่เหมาะสมระดับชุมชนในพื้นที่ลุ่มน้ำ : กรณีศึกษาลุ่มน้ำแม่กลาง การใช้การยับยั้งเอนไซม์ของ Bacillus cereus ในการทดสอบความเป็นพิษของน้ำ การทดสอบความเป็นพิษของสีย้อมโดยใช้สาหร่ายและไรแดง
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก