สืบค้นงานวิจัย
โครงการศึกษาภาวะเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ปัญหาและความต้องการของชาวนา
อภิชาติ พงษ์ศรีหดุลชัย - สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)
ชื่อเรื่อง: โครงการศึกษาภาวะเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ปัญหาและความต้องการของชาวนา
ชื่อเรื่อง (EN): A Study on Socio-economic Conditions, Culture, Problems and Needs of Rice Farmers
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: อภิชาติ พงษ์ศรีหดุลชัย
หน่วยงานสังกัดผู้แต่ง:
บทคัดย่อ: วัตถุประสงค์หลักของโครงการ คือวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจ สังคมของชาวนาไทย เพื่อเสนอแนะ เชิงนโยบายในการขจัดปัญหาความยากจนเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของชาวนาไทย การศึกษาได้ดำเนินการ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2555 ถึงกรกฎาคม 2556 ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์เป็นข้อมูลจากฤดูกาลเพาะปลูก ปี 2554/55 โดยการสุ่มตัวอย่างแบบ Stratified two-stage sampling จำนวน 4,200 ครัวเรือนจาก 500 หมู่บ้าน ใน 50 จังหวัด งเป็นตัวแทนของชาวนาในทุกภาคของประเทศ ผลการศึกษาพบว่าครัวเรือนขาวนา มีเนื้อที่ถือครองเฉลี่ย 26 ไร่ต่อครัวเรือน และรายได้เงินสดสุทธิ ครัวเรือนเฉลี่ย 223,657 บาทต่อครัวเรือน ขณะที่ครัวเรือนเกษตรทั่วไปที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ดำเนินการสำรวจในปีเดียวกันว่าเนื้อที่ถือครองของครัวเรือนเกษตรทั่วไปเฉลี่ย 25 ไร่ต่อครัวเรือน และรายได้ เงินสดสุทธิครัวเรือนเฉลี่ย 157 ,144 บาทต่อครัวเรือน นอกจากนั้นยังรายงานว่ในปีเพาะปลูก 2551/52 ถึง 2553/54 รวม 3 ปี รายได้จากพืชกับรายได้ในการเกษตรมีสัดส่วนที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นจากร้อยละ 81 เป็น 87 และมีขนาดหนี้สิน 59,808 บาทต่อครัวเรือน เมื่อเทียบกับผลการศึกษาครั้งนี้พบว่ารายได้จากพืชเป็นร้อยละ 92 ของรายได้ในการเกษตรของครัวเรือนดังนั้นอนุมานได้ว่ารายได้จากพืชที่สูงนี้ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากข้าวก็สูง ตามไปด้วย เพราะข้าวเป็นรายได้ร้อยละ 76 ของรายได้จากพืช แต่ครัวเรือนชาวนามีขนาดหนี้สินสูงกว่า ครัวเรือนเกษตรทั่วไปคือ 123,339 บาทต่อครัวเรือน แต่อย่างไรก็ตามเมื่อตรวจสอบฐานะทางการเงินของ ครัวเรือนชาวนายังแข็งแกร่งอยู่กล่าวคือ อัตราส่วนทรัพย์สินต่อหนี้สิน(Net Capital Ratio)ต้นปีเท่ากับ 10.10 และปลายปีเท่ากับ 15.04 เมื่อพิจารณาด้านสังคมพบว่าหัวหน้าครัวเรือนชาวนาส่วนใหญ่อยู่ในวัยสูงอายุคือมี อายุตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไปถึงร้อยละ 34 ของหัวหน้าครัวเรือนทั้งหมด และมีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายเกี่ยวกับที่ดิน ทำกินคือ พรบ. การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ถึงร้อยละ 83 โดยมีการเช่าร้อยละ 26 ของครัวเรือน ชาวนาทั้งหมด ส่วนใหญ่เช่าที่นาจากญาติพี่น้อง และเพื่อนบ้าน ร้อยละ 46 และ 30 ของครัวเรือนที่เช่าใน อัตราค่าเช่าเฉลี่ย 958 บาทต่อไร่ต่อปี กล่าวโดยสรุปผลการสำรวจมีประเด็นที่สำคัญ สรุปใต้ตังนี้ จำนวนชาวนาไทยทั้งประเทศจาก การประมาณการมี 4,190,144 ครัวเรื่อน หรือร้อยละ 72 ของเกษตรกรทั้งหมดของประเทศ โดยมีหัวหน้า ครัวเรือนที่อยู่ในวัยสูงอายุที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ประมาณร้อยละ 33 ซึ่งจัดอยู่ในสังคมผู้สูงอายุ และมีขนาด เนื้อที่ถือครองเฉลี่ย 26.02 ไร่ต่อครัวเรือน โดยมีที่นาเฉลี่ย 18.18 ไร นอกนั้นเป็นที่การเกษตรอื่นๆ พื้นที่นาที่ อยู่ในเขตชลประทานมีประมาณหนึ่งในสี่ของที่นาทั้งหมด ส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลางมากกว่ภาคอื่นๆ การถือ ครองที่ดินของขาวนาพบว่าชาวนาร้อยละ 84 มีที่ดินของตนเองซึ่งรวมทั้งขาวนาที่มีการเช่าและทำฟรีเพิ่มเติม ด้วย ส่วนที่เหลือเป็นเกษตรกรที่ไม่มีที่ทำกินของตนเอง โดยภาคกลางมีสัดส่วนการเช่ามากกว่าภาคอื่นๆของ ประเทศโดยมีชาวนาที่เป็นผู้เช่านาถึงร้อยละ 33 ประสิทธิภาพการใช้ที่ดินของชาวนา (Multiple cropping index: MCI) เท่ากับ 107.97 ซึ่งค่อนข้างต่ำ โดยชาวนา ในภาคกลางมีการใช้ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพมาก ที่สุด 124.44 และต่ำสุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เท่ากับ 100.69 เท่านั้น ทรัพย์สินครัวเรือนของชาวนาเฉลี่ยครัวเรือนละ 1,890,025 บาท โดยที่ชาวนาภาคใต้มีทรัพย์สินเฉลี่ย สูงสุดที่ 2.686,913 บาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือต่ำสุดที่ 1,745, 792 บาท เมื่อพิจารณาด้านหนี้สิน พบว่า ขาวนาที่มีหนี้สินจากแหล่งเงินกู้ต่างๆ คิดเป็นร้อยละ 85.86 ของชาวนาทั้งหมด โดยมีหนี้สินเฉลี่ย ครัวเรือนละ 123,339 บาท ดังนั้น ถึงแม้ว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (Debt-Equity Ratio)จะ ไม่สูงนักแต่ชาวนาส่วนใหญ่ยังไม่หลุดพ้นจากการเป็นหนี้ รายได้เงินสดของครัวเรือนขาวนาประกอบด้วย รายได้เงินสดในการเกษตรและรายได้นอกการเกษตร โดยมีรายได้เงินสดในการเกษตร เฉลี่ยครัวเรือนละ 213,528 บาทต่อปี รายได้จากข้าวซึ่งเป็นพืชหลักคิดเป็น ร้อยละ 61 ของรายได้เงินสดในการเกษตร รายได้นอกการเกษตรคิดเป็นหนึ่งส่วนสามของรายได้เงินสดของ ครัวเรือน คือ 110,421 บาทต่อครัวเรือน รายจ่ายเงินสดของครัวเรือน ประกอบด้วย รายจ่ายเงินสดในการเกษตร 100,293 บาท หรือร้อยละ 43 และรายจ่ายเงินสดนอกการเกษตร 130,801 บาท หรือร้อยละ 57 ของคำใช้จ่ายทั้งหมด ดังนั้น รายได้เงิน สดสุทธิ์ในการเกษตร เท่ากับ 113,235 บาท รายได้สุทธิครัวเรือน หรือเงินออมอย่างง่ายเท่ากับ 92,856 บาท ต่อครัวเรือน โดยปกติแล้ว รายได้ที่เป็นเงินสดสุทธิครัวเรือน (family net cash income) หรือผลรวมระหว่าง รายได้เงินสดสุทธิในการเกษตร และรายได้เงินสดนอกการเกษตร ก่อนหักค่ใช้จ่ายนอกการเกษตรจะบ่งบอก ถึงฐานะทางการเงินของขาวนาที่จะสามารถจับจ่ายใช้สอยได้ในชีวิตประจำวัน รายได้เงินสดสุทธิของครัวเรือน ชาวนาไทย เท่ากับ 223,657 บาทต่อครัวเรือน ซึ่งขาวนาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภาคเดียวที่มีรายได้ เงินสดสุทธิครัวเรือนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ ขณะที่ชาวนาในภาคกลาง มีรายได้เงินสดสุทธิครัวเรือนสูง กว่าค่เฉลี่ยมาก และเมื่อนำมาจัดชั้นตามขนาดถือครองที่ดินโดยแบ่งเป็นในเขตและนอกเขตชลประทาน ก็ พบว่า ชาวนาในเขตชลประทานมีรายได้เงินสดสุทธิครัวเรือนสูงกว่ชาวนานอกเขตชลประทานทุกกลุ่มขนาด เนื้อที่ถือครอง ยกเว้น ชาวนาที่มีที่นา ต่ำกว่า 10 ไร่ แสดงว่า ขาวนาในเขตชลประทานมีฐานะดีกว่ชาวนา นอกเขตชลประทาน เมื่อพิจารณาจากรายได้เงินสดสุทธิครัวเรือน ตามเกณฑ์เส้นความยากจน(Poverty line) ที่สำรวจโดยสำนักงานคณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในปีพ.ศ.2554 พบว่า ชาวนาร้อยละ 42.07 ของชาวนาทั้งประเทศมีรายได้เงินสดสุทธิต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวนานอกเขต ชลประทานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือประมาณร้อยละ 50 มีฐานะต่ำกว่าเส้นความยากจน ส่วนในด้าน ประเพณีและวัฒนธรรมเกี่ยวกับข้าวนั้น มีการปฏิบัติกัน ไม่มากนักยกเว้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดังนั้น เพื่อที่ให้บรรลุเป้าหมายการขจัดความยากจนที่รัฐกำหนดไว้ จำเป็นต้องหากลยุทธ์ในการเพิ่ม รายได้ให้แก่ชาวนาไทย ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ทั้งในด้านเกษตรและนอกการเกษตร ด้วยการ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้นชลประทานโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การใช้ที่ดิน การเพิ่มผลิตภาพโดยการจัดหาเมล็ดพันธุ์ดีที่มีคุณภาพอย่างพอเพียงและทั่วถึงเพื่อลดต้นทุนการ ผลิต พัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารตลอดจนการและสร้างชาวนรุ่นใหม่ เพื่อสืบทอดอาชีพการทำนาด้วย เทคโนโลยีที่เหมาะสม ร่วมทั้งการส่งเสริมสนับสนุนฟื้นฟูประเพณีและวัฒนธรรมเกี่ยวกับข้าวอย่างต่อเนื่องซึ่ง จะนำไปสู่ความสามัคคีและความร่วมมือของชุมชน อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอีก ทางหนึ่ง รวมถึงการฝึกอบรมแรงงานให้สามารภประกอบอาชีพเสริมด้านอุตสาหกรรมและบริการทั้งในระดับ ครัวเรือน ระดับชุมชน หรือวิสาหกิจชุมชนขนาดเล็ก (SME)
บทคัดย่อ (EN): The main objective of the study was to assess and analyze current socio-economic conditions of Thai rice farmers in order to generate appropriate policy recommendations for poverty alleviation and better living conditions of the farmers. The study was conducted in May of 2012 to July 2013 based on 2011/12 crop year data. Stratified two -stage sampling technique was employed in collecting 4,200 farm samples from 500 villages of 50 provinces representing rice farmers in the four regions of Thailand. The results of the study showed that the estimated rice farmers were 4,190,144 households or 72 percent of the total farmers of which one- third of the family head was older than 60 years old or in Aging Society and the average farmland of 26.02 rai per household. The average rice land was 18.18 rai per household. One quarter of rice land was irrigated while the rest was rainfed. Eighty four percent of the farmers farmed on their owned land with additional rented land or free of charge. Central region showed high percentage of tenants at 33 percent. Due to low percentage of irrigated areas, the multiple cropping index (MCI) of the rice land of the country was 107.97 with the highest in the Central at 124.44 and the lowest in the Northeastern region at 100.69. The average household asset was 1,890,025 baht per household. Southern region showed highest of 2,622,281 baht and Northeastern, the lowest of 1,735,084 baht. Considering liability of the farm household, 85.56 percent of rice farmers borrowed money from several sources at the amount of 123,339 baht per household. Even though the Debt- Equity Ratio was at a low level, the majority of rice farmers were unable to free from debt. Household income consists of on-farm and off-farm income. On-farm cash income is related to size of farm holdings, the average on-farm cash income was 213,528 baht per household with income from rice accounted for 61 percent of the on-farm cash income. Off- farm income shared one-third of total income at the average of 110,421 baht per household. Household expense consisted of 100,293 baht for cash farm expense or 43 percent and 130,443 baht or 57 percent for non-farm expense. Therefore, net cash farm income was 113,235 baht per household and net family income or simple saving of 92,856 baht per household. The family net cash income or the sum of net cash farm income and off-farm income normally reflects living standard of farmers. It determines how much money can be spent for their living. The national average family net cash income of farmer was 223,657 baht. The Northeastern was the only region with below the average while the Central region was much higher than national average. When classified by size of farm holding in both irrigated and rain fed areas, it was found that farmers in the irrigated area showed relatively higher family net cash income in most of farm size groups except the smallest farm size group of less than 10 rai. Considering the family net cash income based on the Poverty Line survey of National Economic and Social Development Board (NESDB) in 2011, it was found that 42.07 percent of the farmers was below the Poverty Line and 50 percent of the farmers in the rain-fed area of the Northeast. With regard to rice traditional and cultural activities, farmers in the Northeast were still found performing rice cultural activities while the rest of the country did not pay much attention to them. Therefore, in order to achieve the target goal of poverty alleviation, appropriate strategies to raise farm income should be formulated to help the rice farmers who are the majority of the country through infrastructure improvement of irrigation system particularly in the Northeast in order to increase cropping index and to increase rice productivity and cost reduction by providing sufficient good quality seeds, improving information network as well as creating new generation farmers to inherit farming career with appropriate modern technologies. Furthermore, traditional and cultural activities which lead to cooperation of farmers in the communities should also be supported in order to strengthen the unity of the communities as well as promoting the cultural tourism of the country.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)
คำสำคัญ: ชาวนา
คำสำคัญ (EN): Rice Farmers
เจ้าของลิขสิทธิ์: กรมส่งเสริมการเกษตร
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
โครงการศึกษาภาวะเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ปัญหาและความต้องการของชาวนา
สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)
27 เมษายน 2556
ปัญหาและความต้องการของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเนื้อ ภายใต้ศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลในจังหวัดนครศรีธรรมราช โครงการศึกษาภาวะเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ปัญหา และความต้องการของชาวนา เศรษฐกิจ-สังคมและวัฒนธรรมการปฏิบัติงานในสวนยางพาราที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาวะและคุณภาพชีวิตของเกษตรกร (เกษียณ) การศึกษาความต้องการใช้ผลไม้เพื่อการแปรรูป ปัญหาและอุปสรรคในการทำนาปรังของชาวนาในจังหวัดปทุมธานี ปี 2517 เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมการปฏิบัติงานในสวนยางพาราที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาวะและคุณภาพชีวิตของเกษตรกร อ.เวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี ปัจจัยทางสังคม เศรษฐกิจ และการสื่อสารที่มีผลต่อการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช การศึกษาภาวะเศรษฐกิจ สังคม และความต้องการของเกษตรกรเพื่อการส่งเสริมการเกษตรระดับตำบล ในตำบลตลุก อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท พ.ศ. 2520 การศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาการเลี้ยงผึ้งโพรงในภาคใต้ ความต้องการในการพัฒนาทักษะความรู้และความชำนาญของข้าราชการในสังกัดสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดชลบุรี
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก