สืบค้นงานวิจัย
ผลของวิธีเบ่งแบบควบคุมกับวิธีเบ่งแบบธรรมชาติต่อความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดฝีเย็บในระยะหลังคลอดและความพึงพอใจต่อการคลอด
Maneewan Yurachai - มหาวิทยาลัยมหิดล
ชื่อเรื่อง: ผลของวิธีเบ่งแบบควบคุมกับวิธีเบ่งแบบธรรมชาติต่อความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดฝีเย็บในระยะหลังคลอดและความพึงพอใจต่อการคลอด
ชื่อเรื่อง (EN): The effects of directed versus spontaneous pushing on postpartum fatigue perineal pain and childbirth satisfaction
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ (EN): Maneewan Yurachai
บทคัดย่อ: การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบทดลองโดยการสุ่มเข้ากลุ่ม วัตถุประสงค์ของการศึกษาเพื่อ เปรียบเทียบผลของวิธีเบ่งคลอดแบบธรรมชาติกับแบบควบคุม ต่อความเหนื่อยล้าในระยะ 2 ชั่วโมงและ 12-24 ชั่วโมงหลังคลอด ความเจ็บปวดฝีเย็บในระยะ 12-24 ชั่วโมง และ 1 สัปดาห์หลังคลอด และความ พึงพอใจต่อการคลอด กลุ่มตัวอย่างคือ หญิงตั้งครรภ์ปกติที่กำลังจะให้กำเนิดบุตรคนแรกที่โรงพยาบาล กุดบากและโรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจารโร จังหวัดสกลนคร ในระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2548- เดือนมกราคม 2549 จำนวน 60 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 30 คน โดยกลุ่มทดลองได้รับการสนับสนุน ให้เบ่งแบบธรรมชาติ ในขณะที่กลุ่มควบคุมได้รับการสนับสนุนให้เบ่งแบบควบคุมซึ่งเป็นวิธีเบ่งที่ใช้เป็น ประจำในห้องคลอด ผู้วิจัยเก็บข้อมูลโดยใช้แบบวัดความเหนื่อยล้าในระยะหลังคลอด แบบวัดความ เจ็บปวดฝีเย็บและแบบวัดความพึงพอใจต่อการคลอด วิเคราะห์ข้อมูลโดยเปรียบเทียบผลต่างของค่าเฉลี่ย คะแนนด้วยการทดสอบค่าที ผลการศึกษาพบว่าคะแนนเฉลี่ยของความเหนื่อยล้าของมารดาในกลุ่มทดลองทั้งในระยะ 2 ชั่วโมง และ 12-24 ชั่วโมงหลังคลอด ต่ำกว่ามารดาในกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p< .01 คะแนนเฉลี่ยของความเจ็บปวดฝีเย็บของมารดาในกลุ่มทดลองทั้งในระยะ 12-24 ชั่วโมง และ 1 สัปดาห์ หลังคลอด ต่ำกว่ามารดาในกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p< .01 และ p< .001 ตามลำดับ นอกจากนี้มารดาในกลุ่มทดลองยังมีความพึงพอใจต่อการคลอดมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ p< .01 จากการวิจัยครั้งนี้มีข้อเสนอแนะว่า วิธีเบ่งแบบธรรมชาติอาจเป็นทางเลือกอีกวิธีหนึ่งที่ควร สนับสนุนให้มีการนำมาปฏิบัติในการดูแลผู้คลอดในระยะที่สองของการคลอด เพราะนอกจากจะส่งผลให้ ผู้คลอดไม่เกิดความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดฝีเย็บในระยะหลังคลอดมากเกินไปแล้ว ยังทำให้ผู้คลอดมี ความพึงพอใจต่อการคลอด อย่างไรก็ตามจากข้อจำกัดของการวิจัย จึงควรมีการศึกษา ถึงผลของวิธีเบ่ง แบบธรรมชาติในกลุ่มตัวอย่างที่มากขึ้นต่อไป
บทคัดย่อ (EN): This study is a randomized controlled trial with the purpose of comparing the effects of spontaneous pushing and directed pushing on postpartum fatigue at 2 hours and during 12 to 24 hours postpartum, postpartum perineal pain during 12-24 hours and at 1 week postpartum and childbirth satisfaction. The participants comprised 60 primiparous women with low-risk pregnancies who were in the labor stage at Phra- Achan-Phan Acharo and Kudbak Hospitals, Sakolnakorn Province, from November 2005 to January 2006. The participants were evenly assigned to the experimental (30) and control groups (30). The experimental group was encouraged to do spontaneous pushing, while the control group was instructed to engage in directed pushing according to routine nursing care. The researchers collected data by using the Fatigue Symptoms Checklist to measure fatigue, the Numerical Rating Scales to measure perineal pain and the Six Simple Questions to measure childbirth satisfaction. The data was then analyzed for mean difference by using independent t-tests. The results revealed that the mean scores of postpartum fatigue both at 2 hours and during a period of 12 to 24 hours postpartum of the mothers in the experimental group were lower than those in the control group at a statistically significant level (p< .01). The mean scores of postpartum perineal pain both during a period of 12 to 24 hours and at 1 week postpartum of the mothers in the experimental group were also lower than those in the control group at a statistically significant level (p< .01 and p< .001, respectively). In addition, mothers in the experimental group experienced statistically significant higher levels of childbirth satisfaction than the control group (p< .01). It is suggested, therefore, that spontaneous pushing may be the method of choice to be recommended during second stage labor, which can lead to minimized fatigue, minimized perineal pain and greater childbirth satisfaction. However, due to the various limitations of this study, it is recommended that the effects of spontaneous pushing be studied in greater sample sizes.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เอกสารแนบ: http://dcms.thailis.or.th/dcms/dccheck.php?Int_code=126&RecId=4977&obj_id=3171
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยมหิดล
คำสำคัญ (EN): Parturition
เจ้าของลิขสิทธิ์: มหาวิทยาลัยมหิดล
รายละเอียด: การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบทดลองโดยการสุ่มเข้ากลุ่ม วัตถุประสงค์ของการศึกษาเพื่อ เปรียบเทียบผลของวิธีเบ่งคลอดแบบธรรมชาติกับแบบควบคุม ต่อความเหนื่อยล้าในระยะ 2 ชั่วโมงและ 12-24 ชั่วโมงหลังคลอด ความเจ็บปวดฝีเย็บในระยะ 12-24 ชั่วโมง และ 1 สัปดาห์หลังคลอด และความ พึงพอใจต่อการคลอด กลุ่มตัวอย่างคือ หญิงตั้งครรภ์ปกติที่กำลังจะให้กำเนิดบุตรคนแรกที่โรงพยาบาล กุดบากและโรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจารโร จังหวัดสกลนคร ในระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2548- เดือนมกราคม 2549 จำนวน 60 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 30 คน โดยกลุ่มทดลองได้รับการสนับสนุน ให้เบ่งแบบธรรมชาติ ในขณะที่กลุ่มควบคุมได้รับการสนับสนุนให้เบ่งแบบควบคุมซึ่งเป็นวิธีเบ่งที่ใช้เป็น ประจำในห้องคลอด ผู้วิจัยเก็บข้อมูลโดยใช้แบบวัดความเหนื่อยล้าในระยะหลังคลอด แบบวัดความ เจ็บปวดฝีเย็บและแบบวัดความพึงพอใจต่อการคลอด วิเคราะห์ข้อมูลโดยเปรียบเทียบผลต่างของค่าเฉลี่ย คะแนนด้วยการทดสอบค่าที ผลการศึกษาพบว่าคะแนนเฉลี่ยของความเหนื่อยล้าของมารดาในกลุ่มทดลองทั้งในระยะ 2 ชั่วโมง และ 12-24 ชั่วโมงหลังคลอด ต่ำกว่ามารดาในกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p< .01 คะแนนเฉลี่ยของความเจ็บปวดฝีเย็บของมารดาในกลุ่มทดลองทั้งในระยะ 12-24 ชั่วโมง และ 1 สัปดาห์ หลังคลอด ต่ำกว่ามารดาในกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ p< .01 และ p< .001 ตามลำดับ นอกจากนี้มารดาในกลุ่มทดลองยังมีความพึงพอใจต่อการคลอดมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ p< .01 จากการวิจัยครั้งนี้มีข้อเสนอแนะว่า วิธีเบ่งแบบธรรมชาติอาจเป็นทางเลือกอีกวิธีหนึ่งที่ควร สนับสนุนให้มีการนำมาปฏิบัติในการดูแลผู้คลอดในระยะที่สองของการคลอด เพราะนอกจากจะส่งผลให้ ผู้คลอดไม่เกิดความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดฝีเย็บในระยะหลังคลอดมากเกินไปแล้ว ยังทำให้ผู้คลอดมี ความพึงพอใจต่อการคลอด อย่างไรก็ตามจากข้อจำกัดของการวิจัย จึงควรมีการศึกษา ถึงผลของวิธีเบ่ง แบบธรรมชาติในกลุ่มตัวอย่างที่มากขึ้นต่อไป
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
ผลของวิธีเบ่งแบบควบคุมกับวิธีเบ่งแบบธรรมชาติต่อความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดฝีเย็บในระยะหลังคลอดและความพึงพอใจต่อการคลอด
Maneewan Yurachai
มหาวิทยาลัยมหิดล
2549
ผลของโปรแกรมการจัดการกับความเจ็บปวดแบบผสมผสานต่อความเจ็บปวดในระยะคลอดระยะเวลาในระยะที่หนึ่งของการคลอดและปร ความต้องการการสนับสนุนในระยะคลอดของผู้คลอดและครอบครัว ผลของการพยาบาลแบบสนับสนุนประคับประคองในระยะคลอดต่อพฤติกรรม ระบบสารสนเทศวิธีควบคุมวัชพืชในนาข้าว การแปรรูปเยลลีแห้งจากน้ำใบบัวบกด้วยวิธีปั๊มความร้อนภายใต้รังสีอัลตราไวโอเลตเปรียบเทียบกับวิธีอินฟราเรดภายใต้สุญญากาศ การควบคุมจุลินทรีย์กลุ่มสีแดงในบ่อบำบัดคงตัวด้วยวิธีทางกายภาพ-เคมี การควบคุมโรคเหี่ยวในปทุมมา (Curcuma alismatifolia Gagnep.) ที่เกิดจากแบคทีเรียโดยวิธีทางชีวภาพ การปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดไร่ลูกผสมสามทางโดยวิธี Testcross การศึกษาการอบแห้งกล้วยภายใต้สภาวะไม่คงที่โดยวิธีไอน้ำร้อนยวดยิ่งที่สภาวะความดันต่ำและวิธีสุญญากาศ การศึกษาระดับการวัลคาไนซ์ในยางธรรมชาติโดยการทดสอบด้วยวิธีทางอัลตราโซนิก
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก