สืบค้นงานวิจัย
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ราไตรโคเดอร์มาและปุ๋ยชีวภาพสำหรับควบคุมโรคราสนิมและผลเน่า เพื่อเพิ่มผลผลิตกาแฟอราบิก้า จังหวัดเชียงใหม่
วชิรดา ทิพย์อุบล - กรมพัฒนาที่ดิน
ชื่อเรื่อง: การพัฒนาผลิตภัณฑ์ราไตรโคเดอร์มาและปุ๋ยชีวภาพสำหรับควบคุมโรคราสนิมและผลเน่า เพื่อเพิ่มผลผลิตกาแฟอราบิก้า จังหวัดเชียงใหม่
ชื่อเรื่อง (EN): Development of Trichoderma virens and Biofertilizer Formulation Products Against the Coffee Leaf Rust and Berry Disease for Increasing Arabica Coffee Beans Production in Chiangmai Province
บทคัดย่อ: การวิจัยนี้ได้ดำเนินการศึกษาวิจัยต่อเนื่อง 3 ปี ในช่วงเวลาระหว่างปี พ.ศ. 2557-2559 ในแปลงทดลองกาแฟ ของสถานีวิจัยโครงการหลวงแม่หลอด ซึ่งตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 10 ตำบลสบเปิง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ โดยแปลงทดลองที่มีสภาพภูมิประเทศเป็นป่าดิบชื้น ทำการปลูกกาแฟภายใต้ระบบวนเกษตร บริเวณจุดพิกัด E 474436 N2109961 ระดับความสูง 822 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง การดำเนินแผนการวิจัยได้มีการวางแผนการทดลองแบบ randomized complete block design จำนวน 5 ซ้ำ ในช่วงระยะการเจริญเติบโตของกาแฟ 3 ระยะ โดยระยะที่ 1 มีจำนวนซ้ำละ 100 เมล็ด ระยะที่ 2 มีจำนวนซ้ำละ 10 ต้น และระยะที่ 3 มีจำนวนซ้ำละ 5 ต้น ซึ่งทั้ง 3 ระยะประกอบด้วยตำรับการทดลอง (Treatments) มีการใส่และไม่ใส่ผลิตภัณฑ์ราไตรโคเดอร์มาและปุ๋ยชีวภาพ 4 ตำรับการทดลอง ซึ่งตำรับที่ใช้ทดลอง คือ 1) วิธีควบคุม (Control) 2) ใส่ราไตรโคเดอร์มา (Tri-Fertilizer) 3) ใส่ปุ๋ยชีวภาพ (Bio-Fertilizer) และ 4) ใส่ราไตรโคเดอร์มาร่วมกับปุ๋ยชีวภาพ (Tri+Bio-Fertilizer) ทำการศึกษาในช่วงระยะการเจริญเติบโตของกาแฟ 3 ระยะ ได้แก่ 1) ระยะเพาะกล้ากาแฟอราบิก้า อายุ 30-60 วัน โดยนำเมล็ดกาแฟมาแช่น้ำ ไว้ 2 วัน แล้วนำมาเพาะในทรายละเอียด โดยตำรับที่ใส่เชื้อราไตรโคเดอร์มา นำเมล็ดกาแฟมาคลุกกับหัวเชื้อราไตรโคเดอร์มาคลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากัน ส่วนตำรับใส่ปุ๋ยชีวภาพนำเมล็ดกาแฟมาคลุกเคล้าให้เข้ากันกับปุ๋ยชีวภาพเช่นเดียวกันแล้วจึงนำมาเพาะในทรายละเอียด ในตำรับที่ใส่ราไตรโคเดอร์มา ทำการฉีดพ่นสารละลายราไตรโคเดอร์มาในแปลงเพาะกล้ากาแฟทุกๆ 15 วัน (โดยใช้ราไตรโคเดอร์มา 1 กิโลกรัม ผสมน้ำ 50 ลิตร) และในทุกตำรับการทดลองมีการใส่ปุ๋ยธาตุอาหารพืชประกอบด้วยไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม 8.16, 1.69 และ 6 กิโลกรัมต่อไร่ 2) ระยะกล้ากาแฟอราบิก้า เพาะลงในถุงดิน อายุ 8 และ 12 เดือน โดยตำรับที่ใส่ราไตรโคเดอร์มาใส่หัวเชื้อราไตรโคเดอร์มา 1 กิโลกรัม ผสมกับดินปลูก 50 กิโลกรัม และคลุกเคล้าส่วนผสมให้เข้ากัน สำหรับตำรับใส่ปุ๋ยชีวภาพใช้อัตราส่วนผสม 1 กิโลกรัม เช่นเดียวกันกับราไตรโคเดอร์มา ในตำรับที่ใส่ราไตรโคเดอร์มา ทำการฉีดพ่นสารละลายราไตรโคเดอร์มาในแปลงเพาะกล้ากาแฟทุกๆ 15 วัน (โดยใช้ราไตรโคเดอร์มา 1 กิโลกรัม ผสมน้ำ 50 ลิตร) และในทุกตำรับการทดลองมีการใส่ปุ๋ยธาตุอาหารพืชประกอบด้วยไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม 8.16, 1.69 และ 6 กิโลกรัมต่อไร่ และ 3) ระยะต้นกาแฟอราบิก้าที่มีอายุระหว่าง 3-5 ปี โดยทำการใส่ปุ๋ยหมักที่ขยายราไตรโคเดอร์มาหรือปุ๋ยชีวภาพแล้วเป็นเวลา 5 วัน ใช้หัวเชื้อราไตรโคเดอร์มาหรือปุ๋ยชีวภาพ 1 กิโลกรัม ต่อปุ๋ยหมัก 100 กิโลกรัม ในอัตรา 10 กิโลกรัมต่อต้น โดยโรยปุ๋ยหมักที่ขยายเชื้อราไตรโคเดอร์มาแล้วให้ทั่วบริเวณภายใต้ทรงพุ่มของกาแฟ ทุกๆ 3 เดือน ขณะเดียวกันในตำรับที่ใส่ราไตรโคเดอร์มา ทำการฉีดพ่นสารละลายราไตรโคเดอร์มาที่ต้นกาแฟทุก 1 เดือน อัตรา 5 ลิตรต่อต้น (โดยใช้ราไตรโคเดอร์มา 1 กิโลกรัม ผสมน้ำ 50 ลิตร) ในแปลงปลูกต้นกาแฟ การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ราไตรโคเดอร์มาและปุ๋ยชีวภาพที่แตกต่างกัน 4 ตำรับ ดังกล่าวข้างต้นที่มีผลต่อ (1) การควบคุมโรคของกาแฟ (2) การเปลี่ยนแปลงปริมาณธาตุอาหารพืช ทางกายภาพของดินและชีวภาพของดิน และ (3) การเจริญเติบโตผลผลิตและคุณภาพของกาแฟ ผลการศึกษาในระยะเพาะกล้ากาแฟอราบิก้า อายุ 30-60 วัน บ่งชี้ว่า ตำรับที่มีการใส่ราไตรโคเดอร์มามีค่าเฉลี่ยการเกิดโรคตลอดระยะเวลาการทดลอง 3 ปี ต่ำกว่าตำรับที่ไม่มีการใส่ราไตรโคเดอร์มาอย่างเด่นชัดโดยค่าเฉลี่ยเปอร์เซ็นต์การเกิดโรคมีค่าสูงสุด สูงเป็นอันดับสอง สูงเป็นอันดับสาม และต่ำสุด ในตำรับควบคุม ตำรับที่ใส่ปุ๋ยชีวภาพ ตำรับที่ใส่ราไตรโคเดอร์มา และตำรับที่ใส่ราไตรโคเดอร์มาร่วมกับปุ๋ยชีวภาพ ตามลำดับ โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 33, 31, 26 และ 25 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับโดยเปอร์เซ็นต์การเกิดโรคที่สูงขึ้นมีความสัมพันธ์กันกับปริมาณราไตรโคเดอร์มาของวัสดุเพาะกล้ากาแฟ ค่าเฉลี่ยปริมาณแบคทีเรียทั้งหมดและค่าเฉลี่ยปริมาณราไตรโคเดอร์มาตลอดระยะเวลาการทดลอง 3 ปี ของวัสดุเพาะกล้ากาแฟ ของตำรับการทดลอง 4 วิธี มีความแตกต่างกันทางสถิติ พบว่าตำรับที่ใส่ราไตรโคเดอร์มาร่วมกับปุ๋ยชีวภาพ ตำรับที่ใส่ปุ๋ยชีวภาพตำรับที่ใส่ราไตรโคเดอร์มาและตำรับควบคุม มีค่าเฉลี่ยปริมาณแบคทีเรียทั้งหมดมีค่าเฉลี่ยสูงสุด สูงเป็นอันดับสอง สูงเป็นอันดับสาม และต่ำสุด เท่ากับ 8.58, 7.81, 7.49 และ 4.91 log number ต่อกรัมของดิน ตามลำดับ ขณะที่ค่าเฉลี่ยปริมาณราไตรโคเดอร์มาของวัสดุเพาะกล้าจะมีค่าสูงสุดในตำรับที่มีการใส่ราไตรโคเดอร์มาเท่านั้น ได้แก่ ตำรับที่ใส่ราไตรโคเดอร์มาร่วมกับปุ๋ยชีวภาพ และตำรับที่ใส่ราไตรโคเดอร์มา มีค่าเฉลี่ยสูงสุด และสูงเป็นอันดับสอง เท่ากับ 5.28 และ 4.68 log number ต่อกรัมของดิน ซึ่งต่างกันกับตำรับที่ไม่มีการใส่ราไตรโคเดอร์มาอย่างเด่นชัน ได้แก่ ตำรับที่ใส่ปุ๋ยชีวภาพ และตำรับควบคุม ที่มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.70 และ 1.32 log number ต่อกรัมของดิน ค่าเฉลี่ยการเจริญเติบโตในระยะดังกล่าวพบว่าการใส่ราไตรโคเดอร์มามีผลทำให้การเจริญเติบโตของเมล็ดกาแฟในระยะนี้สูงสุด เมื่อเปรียบเทียบกับการไม่ใส่ราไตรโคเดอร์มา โดยตำรับการเพาะเมล็ดกาแฟด้วยการใส่ราไตรโคเดอร์มาร่วมกับปุ๋ยชีวภาพให้ค่าเฉลี่ยการเจริญเติบโตสูงสุด ได้แก่ ความกว้างของลำต้น ความยาวของราก ความยาวของรากแก้ว และน้ำหนักแห้งทั้งหมด เท่ากับ 2,163 ไมโครเมตร, 4.79 เซนติเมตร, 7.77 เซนติเมตร และ 0.40 กรัม ตามลำดับ อันดับสองคือตำรับการใส่ราไตรโคเดอร์มา มีค่าเฉลี่ยความกว้างของลำต้น ความยาวของราก ความยาวของรากแก้ว และน้ำหนักแห้งทั้งหมด เท่ากับ 2,146 ไมโครเมตร, 4.75 เซนติเมตร, 7.76 เซนติเมตร และ 0.39 กรัม ตามลำดับ อันดับสามคือ ตำรับการใส่ปุ๋ยชีวภาพ มีค่าเฉลี่ยความกว้างของลำต้น ความยาวของราก ความยาวของรากแก้ว และน้ำหนักแห้งทั้งหมด เท่ากับ 2,021 ไมโครเมตร, 4.63 เซนติเมตร, 7.44 เซนติเมตร และ 0.39 กรัม ตามลำดับ และต่ำสุดในตำรับควบคุม มีค่าเฉลี่ยความกว้างของลำต้น ความยาวของราก ความยาวของรากแก้ว และน้ำหนักแห้งทั้งหมด เท่ากับ 1,889 ไมโครเมตร, 4.37 เซนติเมตร, 7.21 เซนติเมตร และ 0.38 กรัม ตามลำดับ ผลการศึกษาระยะกล้ากาแฟอราบิก้าเพาะลงในถุงดิน อายุ 8 และ 12 เดือน แสดงให้เห็นว่าค่าเฉลี่ยการเกิดโรค ปี 2558-2559 ของตำรับที่มีการใส่ราไตรโคเดอร์มา 2 ตำรับ คือ ตำรับที่ใส่ราไตรโคเดอร์มาร่วมกับปุ๋ยชีวภาพ และตำรำที่ใส่ราไตรโคเดอร์มาเพียงอย่างเดียว สามารถควบคุมอาการโรคกิ่งและลำต้นเน่า อาการโรคราสนิม และอาการโรคใบจุดได้ดีกว่าตำรับที่ไม่มีการใส่ราไตรโคเดอร์มา คือตำรับที่ใส่ปุ๋ยชีวภาพและตำรับควบคุม อย่างเด่นชัดโดยมีค่าเฉลี่ยอาการเกิดโรคต่างกัน 11, 3 และ 9 เปอร์เซ็นต์ ค่าเฉลี่ยปริมาณจุลินทรีย์ทั้งหมดและโคโลนีของไตรโคเดอร์มาในวัสดุปลูกตลอดระยะเวลาการทดลอง 3 ปี ของตำรับที่มีการใส่ราไตรโคเดอร์มาร่วมกับปุ๋ยชีวภาพมีค่าเฉลี่ยสูงสุด 9.87 และ 6.52 log number ต่อกรัมของดิน อันดับสองคือตำรับที่ใส่ราไตรโคเดอร์มา มีค่าเฉลี่ยดังกล่าวเท่ากับ 8.88 และ 6.24 log number ต่อกรัมของดิน ขณะที่ตำรับที่ใส่ปุ๋ยชีวะภาพมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 9.15 และ 3.77 log number ต่อกรัมของดิน และต่ำสุดในตำรับควบคุม เท่ากับ 7.24 และ 2.65 log number ต่อกรัมของดินซึ่งปริมาณจุลินทรีย์ดังกล่าวมีผลต่อปริมาณธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์และค่าเฉลี่ยการเกิดโรคในวัสดุปลูก ผลดังกล่าวส่งเสริมให้ตำรับที่มีการใส่ราไตรโคเดอร์มา ทำให้ค่าเฉลี่ย pH ของวัสดุปลูกเพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัดเมื่อเปรียบเทียบกับการไม่ใส่ราไตรโคเดอร์มา ได้แก่ ตำรับควบคุม และตำรับที่ใส่ปุ๋ยชีวภาพเพียงอย่างเดียว โดยมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 1.18 และ 1.05 ทำให้มีธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ของพืชละลายออกมามากขึ้น ขณะที่ปริมาณไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ของตำรับที่มีการใส่ราไตรโคเดอร์มาร่วมกับปุ๋ยชีวภาพ มีค่าสูงสุด รองลงมาคือ ตำรับที่ใส่ปุ๋ยชีวภาพ และตำรับที่ใส่ราไตรโคเดอร์มาและต่ำสุดในตำรับควบคุม ซึ่งค่า pH จะเพิ่มการละลายของธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืชช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของต้นกล้ากาแฟ ค่าเฉลี่ยการเจริญเติบโตภายใต้ตำรับที่มีการใส่ราไตรโคเดอร์มาร่วมกับการใส่ปุ๋ยหมัก มีค่าสูงสุด ได้แก่ จำนวนข้อ จำนวนใบคู่ และความสูง ส่วนตำรับที่มีการใส่ราไตรเดอร์มามีค่าเฉลี่ยน้ำหนักแห้งของรากสูงสุดอย่างเด่นชัด และมีค่าเฉลี่ยจำนวนข้อ จำนวนใบคู่ และความสูงไม่ต่างกันทางสถิติกับตำรับมีการใส่ราไตรโคเดอร์มาร่วมกับการใส่ปุ๋ยชีวภาพ อันดับสามคือตำรับที่ใส่ปุ๋ยชีวภาพ และค่าเฉลี่ยการเจริญเติบโตต่ำสุดในตำรับควบคุม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการใส่ราไตรโคเดอร์มาในต้นกล้ากาแฟ ทำให้สามารถควบคุมโรคและส่งเสริมการสร้างการเจริญเติบโตของต้นกล้ากาแฟได้ดี ทำให้ได้ต้นกล้ากาแฟที่มีคุณภาพและสามารถต้านทานโรคได้ ตลอดจนเป็นการย่นระยะเวลาในการเพาะปลูกจาก 12 เดือนเป็น 8 เดือน ส่งผลให้สามารถส่งต้นกล้ากาแฟได้ตรงตามเวลาที่กำหนด ผลการศึกษาระยะต้นกาแฟอราบิก้าอายุระหว่าง 3-5 ปีพบว่า ตำรับที่มีการใส่ราไตรโคเดอร์มา 2 ตำรับ คือ ตำรับที่ใส่ราไตรโคเดอร์มาร่วมกับปุ๋ยชีวภาพ และตำรำที่ใส่ราไตรโคเดอร์มาเพียงอย่างเดียว สามารถควบคุมอาการโรคกิ่งและลำต้นเน่า อาการโรคราสนิม และอาการโรคใบจุดได้ดีกว่าตำรับที่ไม่มีการใส่ราไตรโคเดอร์มา คือตำรับที่ใส่ปุ๋ยชีวภาพและตำรับควบคุมอย่างเด่นชัด ค่าเฉลี่ยการเปลี่ยนแปลงสมบัติทางเคมีบางประการของดินตลอดระยะเวลาการทดลอง 3 ปี แสดงให้เห็นว่าการใส่ราไตรโคเดอร์มามีผลทำให้ค่าเฉลี่ย pH ของดินเพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัดเมื่อเปรียบเทียบกับการไม่ใส่ราไตรโคเดอร์มา โดยตำรับการใส่ราไตรโคเดอร์มาร่วมกับปุ๋ยชีวภาพ และตำรับที่ใส่ราไตรโคเดอร์มา ที่มีค่าเฉลี่ย pH ของดินเท่ากับ 6.68 และ 6.46 :ซึ่งสูงกว่าตำรับที่ใส่ปุ๋ยชีวภาพเพียงอย่างเดียว และตำรับควบคุมที่มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 6.26 และ 4.84 ผลดังกล่าวส่งผลให้ ค่าเฉลี่ยปริมาณอินทรียวัตถุในดิน ปริมาณฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมที่เป็นประโยชน์ในดินมีค่าสูงสุด สูงเป็นอันดับสอง สูงเป็นอันดับสามและต่ำสุด ในตำรับที่ใส่ราไตรโคเดอร์มาร่วมกับปุ๋ยชีวภาพ ตำรับที่ใส่ราไตรโคเดอร์มา ตำรับที่ใส่ปุ๋ยชีวภาพเพียงอย่างเดียว และตำรับควบคุมซึ่งปริมาณธาตุอาหารพืชในดินดังกล่าวมีความสัมพันธ์กันกับปริมาณจุลินทรีย์ดิน ค่าเฉลี่ยความหนาแน่นของรากในปีที 2 (ปี 2558/2559) ของตำรับที่ใส่ราไตรโคเดอร์มาร่วมกับปุ๋ยชีวภาพ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด เท่ากับ 0.0029 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร เมื่อเปรียบเทียบกับตำรับควบคุมที่มีค่าต่ำสุด เท่ากับ 0.0012 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ขณะที่ตำรับที่ใส่ราไตรโคเดอร์มา และตำรับที่ใส่ปุ๋ยชีวภาพมีค่าเฉลี่ยไม่ต่างกันทางสถิติ โดยมีค่าเฉลี่ยดังกล่าวสูงเป็นดับสองและสาม เท่ากับ 0.0019 และ 0.0018 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร (ภาพที่ 29) ค่าเฉลี่ยปริมาณการเก็บรักษาคาร์บอนของดินของทุกตำรับการทดลองมีค่าเฉลี่ยผันแปรระหว่าง 317-525 กิโลกรัมต่อเฮกตาร์ โดยมีค่าเฉลี่ยสูงสุดในตำรับที่ใส่ราไตรโคเดอร์มาร่วมกับปุ๋ยชีวภาพ และต่ำสุดในตำรับควบคุม ขณะที่ตำรับที่ใส่ปุ๋ยชีวภาพ และตำรับที่ใส่ราไตรโคเดอร์มามีค่าเฉลี่ยไม่ต่างกันทางสถิติ ค่าเฉลี่ยปริมาณจุลินทรีย์ทั้งหมดและราไตรโคเดอร์มาในดินตลอดระยะเวลาทดลอง 3 ปี ภายใต้ตำรับที่ใส่ราไตรโคเดอร์มาร่วมกับปุ๋ยชีวภาพ ตำรับที่ใส่ราไตรโคเดอร์มา ตำรับที่ใส่ปุ๋ยชีวภาพเพียงอย่างเดียวและตำรับควบคุม มีค่าเฉลี่ยสูงสุด สูงเป็นอันดับสอง และต่ำสุด ตามลำดับ โดยมีค่าเฉลี่ยผันแปรระหว่าง 9.32-6.50, 8.57-6.18, 0.19-2.67 และ 7.57-2.41 log number ต่อกรัมของดิน ตามลำดับ ผลดังกล่าวส่งเสริมให้การเจริญเติบโตและผลผลิตกาแฟ (จำนวนใบต่อ 1 กิ่ง, จำนวนช่อดอกกาแฟต่อ 1 กิ่งและน้ำหนักผลกาแฟสีแดงคล้ำต่อ 1 ข้อ) มีค่าเฉลี่ยสูงสุด สูงเป็นอันดับสอง สูงเป็นอันดับสามและต่ำสุด ในตำรับที่ใส่ราไตรโคเดอร์มาร่วมกับปุ๋ยชีวภาพ ตำรับที่ใส่ราไตรโคเดอร์มาเพียงอย่างเดียว ตำรับที่ใส่ปุ๋ยชีวภาพเพียงอย่างเดียว และตำรับควบคุม จากผลการศึกษาดังกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นว่าการใส่ราไตรโคเดอร์มา ไวเลนร่วมกับปุ๋ยชีวภาพ ที่ประกอบด้วย Azotobactor spp, Burkholderiatropica., Burkholderia cenocepacia, Bacillus licheniformis แบคทีเรียตรึงไนโตรเจนอิสระ ผลิตฮอร์โมน P soluble, K & SI และ Organo P สามารถใช้ร่วมกันได้ มีความสัมพันธ์แบบพึ่งอาศัยกัน (symbiosis) และต่างส่งเสริมกันในเชิงบวก โดยสามารถการควบคุมโรคของกาแฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มปริมาณความหนาแน่นของรากกาแฟได้อย่างเด่นชัด เพิ่มปริมาณธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ขอพืชในดินและวัสดุปลูก เพิ่มสมบัติทางชีวภาพของดิน ทำให้การเจริญเติบโตผลผลิตและคุณภาพของกาแฟมีค่าสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบการใช้ราไตรโคเดอร์มาและปุ๋ยชีวภาพเพียงอย่างเดียว
บทคัดย่อ (EN): The effect of earthworms and organic fertilizer for soil improvement in pomegranate plantation was conducted in Soil and Water Conservation Research Center, Pakchong district, Nakhon Ratchasima province during 2013-2015. The experimental design was RCBD with 3 replications and 7 treatments (Tr.). The treatments consisted of Tr.1: control method (without fertilizer), Tr. 2, Tr. 3 and Tr. 4: organic fertilizer rate at 16 24 and 32 kg/plant/year, respectively. Treatment 5, Tr.6 and Tr. 7 were combination of earthworms with organic fertilizer rate at 16, 24 and 32 kg/plant/year, respectively. The result was found that the combination of earthworms with organic fertilizer rate at 32 kg/plant/year, pomegranate tree had the highest of stem circumference, height and bush size at 13.7 cm, 164.3 cm and 188.7 cm., respectively. The soil chemical properties trend was improved, having high level of organic matter content, very high level of potassium content and phosphorus content, high level of calcium content and magnesium content. Soil physical property as bulk density had decreased.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: กรมพัฒนาที่ดิน
คำสำคัญ: รูปแบบผลิตภัณฑ์
เจ้าของลิขสิทธิ์: ฐานข้อมูล NRMS
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ราไตรโคเดอร์มาและปุ๋ยชีวภาพสำหรับควบคุมโรคราสนิมและผลเน่า เพื่อเพิ่มผลผลิตกาแฟอราบิก้า จังหวัดเชียงใหม่
กรมพัฒนาที่ดิน
30 กันยายน 2559
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ราไตรโคเดอร์มาและปุ๋ยชีวภาพสำหรับควบคุมโรครากและโคนเน่าเพื่อเพิ่มผลผลิตพืชผัก จังหวัดจันทบุรี โครงการขยายผลเพื่อสำรวจและทดสอบตลาดของผลิตภัณฑ์เชื้อราไตรโคเดอร์มา การพัฒนาปุ๋ยชีวภาพจากผลผลิตทางการเกษตรในท้องถิ่น เพื่อสนองแนวทางพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง ปัจจัยที่มีผลต่อการใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาควบคุมโรครากเน่า-โคนเน่า ทุเรียนในภาคตะวันออก ปัจจัยที่มีผลต่อการใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาควบคุมโรครากเน่า-โคนเน่าทุเรียนในภาคใต้ การพัฒนากระบวนการผลิตข้าวไร่พันธุ์พื้นเมือง ในเขตพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง จังหวัดนครราชสีมา การใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาควบคุมโรคโคนเน่ามะเขือเทศซึ่งเกิดจากเชื้อราเมล็ดผักกาดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนในปี 2540-2541 การใช้ประโยชน์น้ำทิ้งจากโรงงานผลิตเส้นขนมจีนสำหรับผลิตปุ๋ยชีวภาพ ประสิทธิภาพการใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา (Trichoderma harzianum) ควบคุมโรครากเน่าของอนูเบียสบาร์เทอรี่ (Anubias barteri Engler, 1979) ในระบบไร้ดิน ผลของการใส่ปุ๋ยต่อการเจริญเติบโตของต้นสาคู
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก