สืบค้นงานวิจัย
การวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการป้องกันกำจัดวัชพืชในสับปะรด
นันทยา เก่งเขตร์กิจ - มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
ชื่อเรื่อง: การวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการป้องกันกำจัดวัชพืชในสับปะรด
ชื่อเรื่อง (EN): Research and Technology Transfer of Weeds Control in Pineapple
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: นันทยา เก่งเขตร์กิจ
บทคัดย่อ: การวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการป้องกันกำจัดวัชพืชในสับปะรดในเขต จังหวัดพิษณุโลก ดำเนินการทดลอง ณ แปลงทดลอง เกษตรกร ต.หนองกะท้าว อ.นครไทย จ.พิษณุโลก โดยแบ่งการทดลองออกเป็น 2 การทดลองคือ การทดลองที่ 1แนวทางการป้องกันกำจัดวัชพืชในสับปะรดโดยการใช้สารเคมี โดยวางแผนการทดลองแบบ Randomized Complete Block Design (RCBD) มี 4 ซ้ำ มีสิ่งทดลองเป็นการใช้สารกำจัดวัชพืชชนิดต่าง ๆ รวมทั้งหมด 8 วิธีการ ได้แก่ วิธีการที่ 1 ฉีดพ่นสารฟลูอะซิฟอน-บิวทิล+สารอะทราซิน วิธีการที่ 2 ฉีดพ่นสารฟลูอะซิฟอน-บิวทิล+สารไดยูรอน วิธีการที่ 3 ฉีดพ่นสารฟลูอะซิฟอน-บิวทิล+สารอะมีทรีน วิธีการที่ 4 ฉีดพ่นสารคลิโทดิม+สารอะทราซิน วิธีการที่ 5 ฉีดพ่นสารคลิโทดิม+สารอะมีทรีน, วิธีการที่ 6 ฉีดพ่นสารฮาโลซิฟอป-เมทิล+สารไดยูรอน วิธีการที่ 7 ฉีดพ่นสารฮาโลซิฟอป-เมทิล+สารอะมีทรีน และวิธีการที่ 8 ฉีดพ่นสารฟลูอะซิฟอน-บิวทิล และการทดลองที่ 2 แนวทางการป้องกันกำจัดวัชพืชในสับปะรดโดยวิธีการผสมผสาน โดยวางแผนการทดลองแบบ Randomized Complete Block Design (RCBD) 4 ซ้ำ มีสิ่งทดลองเป็นวิธีการป้องกันกำจัดวัชพืชโดยไม่ใช้สารเคมี เปรียบเทียบกับการใช้สารเคมี รวมทั้งหมด 8 วิธีการ คือ วิธีการที่ 1.ใช้วัสดุคลุม (พลาสติกคลุมแปลงสีดำ) วิธีการที่ 2.ใช้วัสดุคลุมประเภทเศษซากวัชพืช (เศษหญ้าคา) วิธีการที่ 3.ใช้วัสดุคลุมประเภทเศษซากพืช (เศษใบสับปะรด) วิธีการที่ 4.ใช้วัสดุคลุมประเภทเศษซากวัชพืช (เศษหญ้าขจรจบ) + ฉีดพ่นสารกำจัดวัชพืช ประเภทหลังงอก วิธีการที่ 5 ใช้วัสดุคลุมประเภทเศษซากวัชพืช (เศษหญ้าคา) + ฉีดพ่นสารกำจัดวัชพืชประเภทหลังงอก วิธีการที่ 6 ใช้วัสดุคลุมประเภทเศษซากพืช (เศษใบสับปะรด) + ฉีดพ่นสารกำจัดวัชพืชประเภทหลังงอก วิธีการที่ 7 การใช้สารกำจัดวัชพืชประเภทก่อนวัชพืชงอก (ฉีดพ่นสารโบรมาซิล + สารไดยูรอน) และวิธีการที่ 8 การใช้สารกำจัดวัชพืชประเภทหลังงอก (ฉีดพ่นสารฟลูอะซิฟอน-บิวทิล+สารไดยูรอน) ผลการทดลองเป็นดังนี้ การทดลองที่ 1 แนวทางการป้องกันกำจัดวัชพืชในสับรดโดยการใช้สารเคมี ผลปรากฏว่าการใช้สารกำจัดวัชพืชชนิดต่าง ๆ ไม่มีผลต่อ ความกว้างทรงพุ่ม (เซนติเมตร) ความสูงต้น (เซนติเมตร) ความกว้างใบ (เซนติเมตร) จำนวนใบต่อต้น ความกว้างผล (เซนติเมตร) ความสูงผล (เซนติเมตร) จำนวนต้นต่อไร่ (ต้น) ความสูงผล (เซนติเมตร) เส้นรอบวงผล (เซนติเมตร) ความหวาน (บริกซ์) และผลผลิตต่อไร่ (กิโลกรัม) ของสับปะรด โดยการฉีดพ่นสารฟลูอะซิฟอน-บิวทิล+สารไดยูรอน มีแนวโน้มทำให้ผลผลิตของสับปะรดมีค่าสูงที่สุด คือ 6,750 กิโลกรัมต่อไร่ ในขณะที่ น้ำหนัก 10 ผล (กิโลกรัม) ของสับปะรดมีความแตกต่างทางสถิติจากการใช้สารที่ต่างกัน โดยการฉีดพ่นสารฟลูอะซิฟอน-บิวทิล+สารไดยูรอน มีค่าเฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 14.20 กิโลกรัม และการฉีดพ่นสารฮาโลซิฟอป-เมทิล+สารอะมีทรีน มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุดเท่ากับ 9.45 กิโลกรัม นอกจากนั้นยังพบว่า การฉีดพ่นสารฟลูอะซิฟอน-บิวทิล+สารอะทราซิน, การฉีดพ่นสารฟลูอะซิฟอน-บิวทิล+สารไดยูรอน, การฉีดพ่นสารฟลูอะซิฟอน-บิวทิล+สารอะมีทรีน, การฉีดพ่นสารฮาโลซิฟอป-เมทิล+สารไดยูรอน และการฉีดพ่นสารฮาโลซิฟอป-เมทิล+สารอะมีทรีน ให้ประสิทธิภาพสูงสุดไม่แตกต่างกันในการป้องกันกำจัดวัชพืชในสับปะรด ในส่วนการทดลองที่ 2 แนวทางการป้องกันกำจัดวัชพืชในสับปะรดโดยวิธีการผสมผสาน นั้นพบว่าวิธีการป้องกันกำจัดวัชพืชโดยการใช้วัสดุคลุม (พลาสติกคลุมแปลงสีดำ) และการใช้วัสดุคลุมประเภทเศษซากวัชพืช (เศษหญ้าคา) ทำให้สับปะรดมีความกว้างของใบ และความกว้างพุ่มที่มากกว่าวิธีการอื่น ๆ ในขณะที่วิธีการป้องกันกำจัดวัชพืชที่แตกต่างกันไม่มีผลต่อจำนวนใบ ความยาวใบของสับปะรดในช่วงอายุ 7-12 เดือน แต่จะมีผลต่อความยาวใบที่อายุ 14 เดือน โดยการคลุมด้วยพลาสติกคลุมแปลงสีดำจะทำให้สับปะรดมีความยาวใบสูงสุด คือ 79.85 เซนติเมตร การใช้วัสดุคลุม (พลาสติกคลุมแปลงสีดำ) มีประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันกำจัดวัชพืช การใช้สารกำจัดวัชพืชประเภทหลังงอก (ฉีดพ่นสารฟลูอะซิฟอน-บิวทิล+สารไดยูรอน) ทำให้ผลสับปะรดมีขนาดผลเล็กกว่าวิธีการป้องกันกำจัดวัชพืชวิธีอื่น ๆ และการใช้วัสดุต่าง ๆ คลุมแปลงมีแนวโน้มทำให้ขนาดของผลสับปะรดมีค่ามากกว่าการใช้สารเคมีฉีดพ่นเพื่อป้องกันกำจัดวัชพืชนอกจากนั้นยังพบว่าการใช้สารกำจัดวัชพืชประเภทหลังงอกมีผลทำให้ค่าไนเทรตของผลสับปะรดมีค่าสูงกว่าวิธีการอื่น ๆ ในขณะที่การใช้วัสดุคลุมประเภทเศษซากพืช (เศษใบสับปะรด) + การฉีดพ่นสารกำจัดวัชพืชประเภทหลังงอก มีผลทำให้ค่าความหวานของสับปะรดสูงกว่าวิธีการอื่น ๆ คือมีค่าเท่ากับ 18 องศาบริกซ์ แต่อย่างไรก็ตามผลผลิตของสับปะรดไม่มีความแตกต่างกันจากวิธีการป้องกันกำจัดวัชพืชที่แตกต่างกัน แต่การใช้วัสดุคลุมแปลงมีแนวโน้มทำให้ผลผลิตของสับปะรดมีค่าสูงกว่าการใช้สารเคมี การศึกษาผลตกค้างของสารกำจัดวัชพืชผลสับปะรดและแปลงปลูกสับปะรด มีการเลือกใช้พื้นที่ที่ไม่เคยมีการปลูกสับปะรดมาก่อน โดยเลือกพื้นที่ ต.หนองกระท้าว อ.นครไทย จ.พิษณุโลก กำหนดแปลงปลูกเป็น 2 ปัจจัย คือแปลงควบคุม เป็นแปลงที่มีการกำจัดวัชพืชโดยการถอนหรือดาย และแปลงทดลองเป็นแปลงที่ฉีดพ่นสารกำจัดวัชพืชทั้ง โบรมาซิล และไดยูรอน เมื่อนำดินก่อนปลูกไปวิเคราะห์สารกำจัดวัชพืชไม่พบโบรมาซิลและไดยูรอน เมื่อปลูกสับปะรดประมาณ 8 เดือนก่อนที่จะมีการฉีดพ่นสารกำจัดวัชพืชรอบที่ 2 นำดินในแปลงควบคุมไปวิเคราะห์ไม่พบสารกำจัดวัชพืช แต่พบสารในแปลงทดลองโดยพบโบรมาซิลและไดยูรอน 0.030 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมและ 0.023 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมตามลำดับ เมื่อปลูกสับปะรดจนถึงระยะเก็บเกี่ยวประมาณ 14 เดือนนำดินในแปลงควบคุมไปวิเคราะห์ไม่พบสารกำจัดวัชพืช แต่พบสารในแปลงทดลองโดยพบโบรมาซิลและไดยูรอน 0.081 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมและ 0.057 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมตามลำดับ สำหรับผลสับปะรดทั้งแปลงควบคุมและแปลงทดลองจะไม่พบสารโบรมาซิลและไดยูรอน พบว่าสารกำจัดวัชพืชจะมีการตกค้างอยู่ในดินแต่ปริมาณที่พบยังอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่ามาตรฐานที่สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กำหนด
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
คำสำคัญ: การกำจัดวัชพืช
เจ้าของลิขสิทธิ์: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
รายละเอียด: การวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการป้องกันกำจัดวัชพืชในสับปะรดในเขต จังหวัดพิษณุโลก ดำเนินการทดลอง ณ แปลงทดลอง เกษตรกร ต.หนองกะท้าว อ.นครไทย จ.พิษณุโลก โดยแบ่งการทดลองออกเป็น 2 การทดลองคือ การทดลองที่ 1แนวทางการป้องกันกำจัดวัชพืชในสับปะรดโดยการใช้สารเคมี โดยวางแผนการทดลองแบบ Randomized Complete Block Design (RCBD) มี 4 ซ้ำ มีสิ่งทดลองเป็นการใช้สารกำจัดวัชพืชชนิดต่าง ๆ รวมทั้งหมด 8 วิธีการ ได้แก่ วิธีการที่ 1 ฉีดพ่นสารฟลูอะซิฟอน-บิวทิล+สารอะทราซิน วิธีการที่ 2 ฉีดพ่นสารฟลูอะซิฟอน-บิวทิล+สารไดยูรอน วิธีการที่ 3 ฉีดพ่นสารฟลูอะซิฟอน-บิวทิล+สารอะมีทรีน วิธีการที่ 4 ฉีดพ่นสารคลิโทดิม+สารอะทราซิน วิธีการที่ 5 ฉีดพ่นสารคลิโทดิม+สารอะมีทรีน, วิธีการที่ 6 ฉีดพ่นสารฮาโลซิฟอป-เมทิล+สารไดยูรอน วิธีการที่ 7 ฉีดพ่นสารฮาโลซิฟอป-เมทิล+สารอะมีทรีน และวิธีการที่ 8 ฉีดพ่นสารฟลูอะซิฟอน-บิวทิล และการทดลองที่ 2 แนวทางการป้องกันกำจัดวัชพืชในสับปะรดโดยวิธีการผสมผสาน โดยวางแผนการทดลองแบบ Randomized Complete Block Design (RCBD) 4 ซ้ำ มีสิ่งทดลองเป็นวิธีการป้องกันกำจัดวัชพืชโดยไม่ใช้สารเคมี เปรียบเทียบกับการใช้สารเคมี รวมทั้งหมด 8 วิธีการ คือ วิธีการที่ 1.ใช้วัสดุคลุม (พลาสติกคลุมแปลงสีดำ) วิธีการที่ 2.ใช้วัสดุคลุมประเภทเศษซากวัชพืช (เศษหญ้าคา) วิธีการที่ 3.ใช้วัสดุคลุมประเภทเศษซากพืช (เศษใบสับปะรด) วิธีการที่ 4.ใช้วัสดุคลุมประเภทเศษซากวัชพืช (เศษหญ้าขจรจบ) + ฉีดพ่นสารกำจัดวัชพืช ประเภทหลังงอก วิธีการที่ 5 ใช้วัสดุคลุมประเภทเศษซากวัชพืช (เศษหญ้าคา) + ฉีดพ่นสารกำจัดวัชพืชประเภทหลังงอก วิธีการที่ 6 ใช้วัสดุคลุมประเภทเศษซากพืช (เศษใบสับปะรด) + ฉีดพ่นสารกำจัดวัชพืชประเภทหลังงอก วิธีการที่ 7 การใช้สารกำจัดวัชพืชประเภทก่อนวัชพืชงอก (ฉีดพ่นสารโบรมาซิล + สารไดยูรอน) และวิธีการที่ 8 การใช้สารกำจัดวัชพืชประเภทหลังงอก (ฉีดพ่นสารฟลูอะซิฟอน-บิวทิล+สารไดยูรอน) ผลการทดลองเป็นดังนี้ การทดลองที่ 1 แนวทางการป้องกันกำจัดวัชพืชในสับรดโดยการใช้สารเคมี ผลปรากฏว่าการใช้สารกำจัดวัชพืชชนิดต่าง ๆ ไม่มีผลต่อ ความกว้างทรงพุ่ม (เซนติเมตร) ความสูงต้น (เซนติเมตร) ความกว้างใบ (เซนติเมตร) จำนวนใบต่อต้น ความกว้างผล (เซนติเมตร) ความสูงผล (เซนติเมตร) จำนวนต้นต่อไร่ (ต้น) ความสูงผล (เซนติเมตร) เส้นรอบวงผล (เซนติเมตร) ความหวาน (บริกซ์) และผลผลิตต่อไร่ (กิโลกรัม) ของสับปะรด โดยการฉีดพ่นสารฟลูอะซิฟอน-บิวทิล+สารไดยูรอน มีแนวโน้มทำให้ผลผลิตของสับปะรดมีค่าสูงที่สุด คือ 6,750 กิโลกรัมต่อไร่ ในขณะที่ น้ำหนัก 10 ผล (กิโลกรัม) ของสับปะรดมีความแตกต่างทางสถิติจากการใช้สารที่ต่างกัน โดยการฉีดพ่นสารฟลูอะซิฟอน-บิวทิล+สารไดยูรอน มีค่าเฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 14.20 กิโลกรัม และการฉีดพ่นสารฮาโลซิฟอป-เมทิล+สารอะมีทรีน มีค่าเฉลี่ยต่ำที่สุดเท่ากับ 9.45 กิโลกรัม นอกจากนั้นยังพบว่า การฉีดพ่นสารฟลูอะซิฟอน-บิวทิล+สารอะทราซิน, การฉีดพ่นสารฟลูอะซิฟอน-บิวทิล+สารไดยูรอน, การฉีดพ่นสารฟลูอะซิฟอน-บิวทิล+สารอะมีทรีน, การฉีดพ่นสารฮาโลซิฟอป-เมทิล+สารไดยูรอน และการฉีดพ่นสารฮาโลซิฟอป-เมทิล+สารอะมีทรีน ให้ประสิทธิภาพสูงสุดไม่แตกต่างกันในการป้องกันกำจัดวัชพืชในสับปะรด ในส่วนการทดลองที่ 2 แนวทางการป้องกันกำจัดวัชพืชในสับปะรดโดยวิธีการผสมผสาน นั้นพบว่าวิธีการป้องกันกำจัดวัชพืชโดยการใช้วัสดุคลุม (พลาสติกคลุมแปลงสีดำ) และการใช้วัสดุคลุมประเภทเศษซากวัชพืช (เศษหญ้าคา) ทำให้สับปะรดมีความกว้างของใบ และความกว้างพุ่มที่มากกว่าวิธีการอื่น ๆ ในขณะที่วิธีการป้องกันกำจัดวัชพืชที่แตกต่างกันไม่มีผลต่อจำนวนใบ ความยาวใบของสับปะรดในช่วงอายุ 7-12 เดือน แต่จะมีผลต่อความยาวใบที่อายุ 14 เดือน โดยการคลุมด้วยพลาสติกคลุมแปลงสีดำจะทำให้สับปะรดมีความยาวใบสูงสุด คือ 79.85 เซนติเมตร การใช้วัสดุคลุม (พลาสติกคลุมแปลงสีดำ) มีประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันกำจัดวัชพืช การใช้สารกำจัดวัชพืชประเภทหลังงอก (ฉีดพ่นสารฟลูอะซิฟอน-บิวทิล+สารไดยูรอน) ทำให้ผลสับปะรดมีขนาดผลเล็กกว่าวิธีการป้องกันกำจัดวัชพืชวิธีอื่น ๆ และการใช้วัสดุต่าง ๆ คลุมแปลงมีแนวโน้มทำให้ขนาดของผลสับปะรดมีค่ามากกว่าการใช้สารเคมีฉีดพ่นเพื่อป้องกันกำจัดวัชพืชนอกจากนั้นยังพบว่าการใช้สารกำจัดวัชพืชประเภทหลังงอกมีผลทำให้ค่าไนเทรตของผลสับปะรดมีค่าสูงกว่าวิธีการอื่น ๆ ในขณะที่การใช้วัสดุคลุมประเภทเศษซากพืช (เศษใบสับปะรด) + การฉีดพ่นสารกำจัดวัชพืชประเภทหลังงอก มีผลทำให้ค่าความหวานของสับปะรดสูงกว่าวิธีการอื่น ๆ คือมีค่าเท่ากับ 18 องศาบริกซ์ แต่อย่างไรก็ตามผลผลิตของสับปะรดไม่มีความแตกต่างกันจากวิธีการป้องกันกำจัดวัชพืชที่แตกต่างกัน แต่การใช้วัสดุคลุมแปลงมีแนวโน้มทำให้ผลผลิตของสับปะรดมีค่าสูงกว่าการใช้สารเคมี การศึกษาผลตกค้างของสารกำจัดวัชพืชผลสับปะรดและแปลงปลูกสับปะรด มีการเลือกใช้พื้นที่ที่ไม่เคยมีการปลูกสับปะรดมาก่อน โดยเลือกพื้นที่ ต.หนองกระท้าว อ.นครไทย จ.พิษณุโลก กำหนดแปลงปลูกเป็น 2 ปัจจัย คือแปลงควบคุม เป็นแปลงที่มีการกำจัดวัชพืชโดยการถอนหรือดาย และแปลงทดลองเป็นแปลงที่ฉีดพ่นสารกำจัดวัชพืชทั้ง โบรมาซิล และไดยูรอน เมื่อนำดินก่อนปลูกไปวิเคราะห์สารกำจัดวัชพืชไม่พบโบรมาซิลและไดยูรอน เมื่อปลูกสับปะรดประมาณ 8 เดือนก่อนที่จะมีการฉีดพ่นสารกำจัดวัชพืชรอบที่ 2 นำดินในแปลงควบคุมไปวิเคราะห์ไม่พบสารกำจัดวัชพืช แต่พบสารในแปลงทดลองโดยพบโบรมาซิลและไดยูรอน 0.030 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมและ 0.023 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมตามลำดับ เมื่อปลูกสับปะรดจนถึงระยะเก็บเกี่ยวประมาณ 14 เดือนนำดินในแปลงควบคุมไปวิเคราะห์ไม่พบสารกำจัดวัชพืช แต่พบสารในแปลงทดลองโดยพบโบรมาซิลและไดยูรอน 0.081 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมและ 0.057 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมตามลำดับ สำหรับผลสับปะรดทั้งแปลงควบคุมและแปลงทดลองจะไม่พบสารโบรมาซิลและไดยูรอน พบว่าสารกำจัดวัชพืชจะมีการตกค้างอยู่ในดินแต่ปริมาณที่พบยังอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่ามาตรฐานที่สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กำหนด
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการป้องกันกำจัดวัชพืชในสับปะรด
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
2553
การศึกษาอัตราปุ๋ยทีเหมาะสมของสับปะรด ศึกษาวิธีการผลิตน้ำส้มสายชูจากสับปะรดโดยการหมักวิธีธรรมชาติและใช้เครื่องหมัก งานวิจัย การศึกษาสูตรอาหารที่เหมาะสมต่อการพัฒนาเป็นต้นอ่อนของหน่อไม้ฝรั่ง(Asparagus officinalis)พันธุ์แอทลาส รายงานการวิจัยเรื่อง การศึกษาสูตรอาหารที่เหมาะสมต่อการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ฟีโลเดนดรอนมูนไลท์ รายงานการวิจัย การศึกษาสูตรอาหารที่เหมาะสมต่อการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อของฟีโลเดนดรอนซานาดู รายงานการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลิตภัณฑ์แยมแตงซันเลดี้จากกลูโคแมนแนน การใช้ประโยชน์จากโปรติโอไลติกสับปะรดสำหรับผลิตอาหาร ฟังก์ชัน รายงานการวิจัยการศึกษาความหลากหลายของพืชตระกูลถั่วและเชื้อไรโซเบียมที่อาศัยในปมรากบริเวณเขื่อนน้ำพุง รายงานการวิจัย การคัดเลือกและศึกษาคุณสมบัติของเชื้อโพรไบโอติกที่แยกได้จากแหล่งตัวอย่างต่างๆ รายงานการวิจัยเรื่องการเปลี่ยนแปลงและความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพน้ำกับสัตว์หน้าดินในแม่น้ำปัตตานี ศึกษาเฉพาะกรณีพื้นที่ผ่านเทศบาลนครยะลา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก