สืบค้นงานวิจัย
ความชุกทางซีรัมวิทยาและปัจจัยเสี่ยงของโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคนในแพะและแกะในภาคตะวันตกของประเทศไทย
ตระการศักดิ์ แพไธสง - กรมปศุสัตว์
ชื่อเรื่อง: ความชุกทางซีรัมวิทยาและปัจจัยเสี่ยงของโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคนในแพะและแกะในภาคตะวันตกของประเทศไทย
ชื่อเรื่อง (EN): Seroprevalence and risk factors associated with zoonotic diseases in goats and sheep in the western provinces of Thailand
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: ตระการศักดิ์ แพไธสง
บทคัดย่อ: ศึกษาความชุกและปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคนในแพะและแกะ ได้แก่ เชื้อ Coxiella burnetii ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคไข้คิว Toxoplasma gondii ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคท็อกโซพลาสโมสิส และ Brucella melitensis ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคบรูเซลโลสิสในแพะและแกะจำนวน 2,509 ตัวอย่าง จากทั้งหมด 140 ฟาร์มที่เลี้ยงในพื้นที่ 5 จังหวัดในภาคตะวันตก ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี นครปฐม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และราชบุรี ในช่วงเดือน มกราคม-มีนาคม 2558 โดยศึกษาแบบภาคตัดขวาง (cross-sectional study) ตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อ C. burnetii และ T. gondii โดยวิธี ELISA และตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อ Brucella spp. โดยวิธี mRBT และยืนยันผลด้วยวิธี CFT วิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อโดยใช้แบบสอบถามเก็บรวบรวมข้อมูลที่จำเป็นจากเจ้าของฟาร์ม โดยใช้สถิติ chi square test ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% หากตัวแปรใดมีค่า p value<0.05 จะนำไปวิเคราะห์ต่อด้วยสถิติวิเคราะห์แบบการถดถอยพหุโลจิสติก ทั้งระดับรายตัวและรายฝูง ผลการศึกษาพบอัตราความชุกของโรคไข้คิวในระดับรายตัวและรายฝูงในแพะเท่ากับ 27.06% (506/1,870) และ 83.65% (87/104) ตามลำดับ และในแกะเท่ากับ 11.74% (75/639) และ 63.89% (23/36) ตามลำดับ อัตราความชุกของโรคท็อกโซพลาสโมสิสรายตัวและรายฝูงในแพะเท่ากับ 14.01% (262/1,870) และ 78.85% (82/104) ตามลำดับ และในแกะเท่ากับ 11.42% (73/639) และ 75.00% (27/36) ตามลำดับ อัตราความชุกของโรคบรูเซลโลสิสรายตัวและรายฝูงในแพะเท่ากับ 1.44% (27/1,870) และ 10.58% (11/104) ตามลำดับ และในแกะเท่ากับ 4.38% (28/639) และ 22.22% (8/36) ตามลำดับ เมื่อวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงที่สัมพันธ์กับการตรวจพบแอนติบอดีต่อเชื้อ C. burnetii ในแพะและแกะพบว่าแพะและแกะเพศเมีย (OR: 1.69; 95% CI: 1.16-2.46; p=0.006) แพะและแกะที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป (OR: 3.31; 95% CI: 1.98-5.53; p<0.001) และฟาร์มที่เคยพบแพะหรือแกะแสดงอาการแท้งมาก่อน (OR: 1.64; 95% CI: 1.06-2.54; p=0.025) เป็นปัจจัยเสี่ยงในระดับรายตัว ส่วนฟาร์มที่มีการเลี้ยงแพะหรือแกะแบบปล่อยให้หากินในแปลงหญ้าสาธารณะ (OR: 6.45; 95% CI: 2.27-18.29; p<0.001) และฟาร์มที่พบสัตว์ป่าฟันแทะจำพวกกระรอก กระแต หนู ปรากฏอยู่รอบๆฟาร์ม (OR: 2.96; 95% CI: 1.01-8.87; p=0.048) เป็นปัจจัยเสี่ยงในระดับรายฝูง ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่สัมพันธ์กับการตรวจพบแอนติบอดีต่อเชื้อ T. gondii ในระดับรายตัว ได้แก่ แพะและแกะที่มีอายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไป (OR: 2.29; 95% CI: 1.31-4.00; p=0.004) และการใช้พ่อพันธุ์ร่วมกับฟาร์มอื่น (OR: 1.52; 95% CI: 1.07-2.15; p=0.020) ทั้งนี้ไม่พบปัจจัยเสี่ยงในระดับรายฝูง ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่สัมพันธ์กับการตรวจพบแอนติบอดีต่อเชื้อ Brucella spp. ในระดับรายตัวได้แก่ การไม่ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อในฟาร์ม (OR: 5.04; 95% CI: 2.33-10.87; p<0.001) ฟาร์มที่เคยพบแพะหรือแกะแสดงอาการแท้งมาก่อน (OR: 5.35; 95% CI: 1.53-18.75; p=0.009) การเลี้ยงแพะหรือแกะแบบปล่อยให้หากินในแปลงหญ้าสาธารณะ (OR: 2.43; 95% CI: 1.17-5.04; p=0.018) การเลี้ยงแพะและแกะรวมกัน (OR: 3.04; 95% CI: 1.56-5.94; p=0.001) การเลี้ยงแพะหรือแกะรวมกับสัตว์ชนิดอื่น (OR: 3.76; 95% CI: 1.61-8.80; p=0.002) และการใช้แหล่งน้ำร่วมกับฟาร์มอื่น (OR: 2.65; 95% CI: 1.16-6.02; p=0.020) ส่วนการเลี้ยงแพะหรือแกะแบบปล่อยให้หากินในแปลงหญ้าสาธารณะ (OR: 3.91; 95% CI: 1.04-14.64; p=0.043) และการไม่เคยตรวจโรคบรูเซลโลสิสในฟาร์มแพะหรือแกะมาก่อน (OR: 5.02; 95% CI: 1.33-18.89; p=0.017) เป็นปัจจัยเสี่ยงในระดับรายฝูง จากการศึกษาครั้งนี้สรุปได้ว่าฝูงแพะและแกะในภาคตะวันตกของประเทศไทยมีความชุกของโรคไข้คิวและ โรคท็อกโซพลาสโมสิส ในอัตราสูงทั้งระดับรายตัวและรายฝูง และพบอัตราการติดเชื้อโรคบรูเซลโลสิสค่อนข้างสูงในระดับรายฝูง รวมถึงยังพบปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการตรวจพบแอนติบอดีต่อการติดเชื้อของทั้งสามโรค ดังนั้นหน่วยงานภาครัฐสามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ในการกำหนดมาตรการควบคุมและกำจัดโรคมิให้แพร่กระจายออกไปสู่พื้นที่อื่นของประเทศไทย และเป็นข้อมูลให้เกษตรกรผู้เลี้ยงแพะและแกะรวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ระมัดระวังในการป้องกันโรคที่อาจติดต่อมาสู่คนได้
บทคัดย่อ (EN): To determine seroprevalence and the risk factors associated with Coxiella burnetii, Toxoplasma gondii and Brucella melitensis infection which is the cause of Q fever, Toxoplasmosis and Brucellosis, respectively, in goats and sheep in western Thailand. A cross-sectional serological survey was conducted in 5 provinces namely: Kanchanaburi, Nakhon Pathom, Petchaburi, Prachuap Khiri Khan and Ratchaburi. A total of 2,509 serum samples from 140 randomly selected goats and sheep farms were collected during January to March 2015. Seroprevalence was determined using ELISA for Q fever and Toxoplasmosis and using mRBT and CFT for Brucellosis. To investigate the risk factors associated with the seroprevalence, semi-structural questionnaires were distributed to farm owners to get necessary information. Univariable analysis using chi-square test was employed to find out an association between seropositivity and each hypothesized risk factor on both herd and individual levels. Variables that showed statistically significant (p 1 year (OR: 3.31; 95% CI: 1.98-5.53; p 1 year (OR: 2.29; 95% CI: 1.31-4.00; p=0.004) and shared rams with other farm (OR: 1.52; 95% CI: 1.07-2.15; p=0.020) but not found risk factor at herd level. Risk factors of Brucellosis at individual level were not use of disinfectants in farm (OR: 5.04; 95% CI: 2.33-10.87; p<0.001), history of abortion (OR: 5.35; 95% CI: 1.53-18.75; p=0.009), raised free raising grass in public area (OR: 2.43; 95% CI: 1.17-5.04; p=0.018), mixed rearing goats and sheep (OR: 3.04; 95% CI: 1.56-5.94; p=0.001), raised goats and sheep with other species (OR: 3.76; 95% CI: 1.61-8.80; p=0.002) and use water source with the other farm (OR: 2.65; 95% CI: 1.16-6.02; p=0.020) and at herd level were raised free raising grass in public area (OR: 3.91; 95% CI: 1.04-14.64; p=0.043) and not ever tested Brucellosis in farm before (OR: 5.02; 95% CI: 1.33-18.89; p=0.017). The present study showed remarkable C. burnetii and T. gondii infection rates both individual and herd level and a relatively high rate of Brucella spp. infection at herd level in goats and sheep in western Thailand. So the government agencies and the farmers can use the seroprevalences and risk factors data to control and eradicate the disease and prevent diseases that may be transmitted to human.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: กรมปศุสัตว์
คำสำคัญ: แกะ
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
ความชุกทางซีรัมวิทยาและปัจจัยเสี่ยงของโรคติดต่อระหว่างสัตว์และคนในแพะและแกะในภาคตะวันตกของประเทศไทย
กรมปศุสัตว์
30 กันยายน 2558
กรมปศุสัตว์
ความชุกทางซีรัมวิทยาและปัจจัยเสี่ยงการติดเชื้อ Brucella melitensis และ caprine arthritis encephalitis virus ในแพะภาคตะวันตกของประเทศไทย การตรวจหาแอนติบอดีต่อเชื้อ Caprine arthritis encephalitis virus ในซีรัมของแพะภาคใต้ของประเทศไทย การศึกษาสภาวะโรคปากและเท้าเปื่อยในแพะและแกะในภาคตะวันตกและภาคใต้ของประเทศไทย การใช้วิธีการส่งเสริมแบบต่าง ๆ ของเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรระดับตำบล ในภาคตะวันตกของประเทศไทย การศึกษาทางซีรัมวิทยาและซีโรไทป์ ของโรคบลูทังจ์ในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย การศึกษาทางซีรัมวิทยาของโรคบรูเซลโลซีสและเมลิออยโดซีสใน แพะที่เลี้ยงในภาคใต้ของประเทศไทย การศึกษาความชุกและปัจจัยเสี่ยงของปัญหาขาเจ็บในโคนมในเขตภาคตะวันตก การศึกษาความชุกและปัจจัยเสี่ยงของโรค Trypanosomiasis ที่ทำให้เกิดอาการ แท้งในโคนมในเขตภาคกลาง ของประเทศไทย แนวทางการใช้สมุนไพรในปศุสัตว์ประเทศไทย อนุกรมวิธานของฟิล์มมี่เฟิร์นสกุล Hymenophyllum s.l. (Hymenophyllaceae) ในประเทศไทย
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก