สืบค้นงานวิจัย
การศึกษา และอนุรักษ์บัวหลวงราชินี
นันท์นภัส สุวรรณสินธุ์ - มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
ชื่อเรื่อง: การศึกษา และอนุรักษ์บัวหลวงราชินี
ชื่อเรื่อง (EN): Study and Conservation of Nelumbo nucifera (Gaertn.)
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: นันท์นภัส สุวรรณสินธุ์
บทคัดย่อ: การสำรวจและเก็บรวบรวมข้อมูลบัวหลวงราชินีเพื่อศึกษาลักษณะประจำพันธุ์จากแหล่งปลูกทั้งหมด 8 แหล่งในจังหวัดเพชรบุรี โดยเก็บข้อมูลการพัฒนาของบัวหลวงราชินีจากแหล่งปลูกธรรมชาติ ตั้งแต่ ใบ ดอก ฝัก และเมล็ด เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐาน ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2558 ถึงเดือน กันยายน 2558 พบว่า บัวหลวงราชินี เป็นบัวสายพันธุ์หนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่มบัวหลวงปทุม ซึ่งจากแหล่งอำเภอชะอำมีความยาวของก้านใบ ขนาดของก้านใบ เส้นรอบวงของดอก ความยาวของดอกและเส้นรอบวงของฝักใหญ่ที่สุดเท่ากับ 242.75, 5.45, 18.25, 12.50 และ 32.60 เซนติเมตร ตามลำดับ โดยทุกๆ แหล่งปลูกที่เก็บข้อมูลพบว่า จำนวนกลีบดอก และเกสรตัวเมีย มีเกสรตัวผู้จำนวนมาก และความยาวของเมล็ด ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ ทั้งนี้เนื่องจากบัวหลวงราชินีจะเจริญเติบโตได้ดีในน้ำสะอาด ได้ทั้งน้ำลึกและตื้น หากน้ำลึกมากจะมีลำต้นค่อนข้างใหญ่ โดยเฉพาะฤดูฝน มีต้นสูงใหญ่ ดอกใหญ่ ฝักใหญ่ และรังไข่มาก การใช้วัสดุที่เหมาะสมสำหรับการขยายพันธุ์บัวหลวงราชินี โดยทำการปลูกบัวหลวงราชินี ลงในวงบ่อซีเมนต์ ซึ่งมีวัสดุปลูกต่างกัน 3 ชนิด 1) ดินเหนียวที่เป็นดินนา 2) ดินเหนียว (ที่ใช้ปลูกไม้น้ำ) และ 3) ดินผสม (ดินเหนียวที่ใช้ปลูกไม้น้ำ : มูลโค ; 7 : 1) ทำ 3 ซ้ำๆ ละ 1 วงบ่อ ระหว่างเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2558 ถึง เดือนตุลาคม พ.ศ. 2558 คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี วางแผนทดลองแบบ สุ่มสมบูรณ์ (Completely randomized design, CRD) บันทึกความสูง ขนาดใบ จำนวนใบ และวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยด้วยวิธี Duncan’s Multiple Range Test (DMRT) การวิจัยครั้งนี้พบว่าการเจริญเติบโตของบัวหลวงราชินีในช่วง 1-2 เดือนแรกไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ การใช้ดินเหนียวที่ปลูกไม้น้ำมีแนวโน้มให้ความสูงและจำนวนใบมากกว่า หลังจากปลูกไปแล้ว 4 เดือนพบว่า การใช้ดินเหนียวที่ปลูกไม้น้ำทำให้มีก้านใบยาวที่สุดมีความแตกต่างทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 95 เปอร์เซ็นต์มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 49.67 เซนติเมตร การวิจัยครั้งนี้พบว่าวัสดุปลูกไม่มีผลต่อการเจริญเติบโตของบัวหลวงราชินี สิ่งที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตคือน้ำ สำหรับดินผสม (ดินเหนียวที่ปลูกไม้น้ำผสมกับมูลโคอัตราส่วน 7 : 1 ) มีแนวโน้มให้ดอกเร็วกว่าวัสดุปลูกอื่นๆ เพราะหลังจากปลูกไปแล้ว 6 เดือนเริ่มให้ดอก การศึกษาความหลากหลายทางพันธุกรรมของบัวหลวงสายพันธุ์แท้ 3 สายพันธุ์เปรียบเทียบกับ บัวหลวง 16 ตัวอย่างที่เก็บรวบรวมมาจากจังหวัดเพชรบุรี ตรวจสอบลายพิมพ์ดีเอ็นเอด้วยเทคนิค Random Amplified polymorphic DNA (RAPD) ใช้ไพรเมอร์ จำนวน 159 หมายเลข พบว่าไพรเมอร์ 17 หมายเลขที่แสดงความแตกต่างระหว่างพันธุกรรมบัวหลวง จำนวน 40 ตำแหน่ง และสามารถจัดกลุ่มได้ทั้งหมด 3 กลุ่ม สอดคล้องกับการแพร่กระจายของบัวหลวงตามลักษณะทางภูมิศาสตร์ ในการเปรียบเทียบองค์ประกอบทางเคมีของน้ำมันหอมระเหยจากเกสรบัวหลวงราชินีที่สกัด 3 วิธีได้แก่การสกัดด้วยตัวทำละลาย ไขเย็นและไขร้อน ด้วยเครื่อง GC-MS: Electron, Ionization Acquisition mode; Scan 30-500 amu และเปรียบข้อมูล EI-MS ที่ได้ใน NIST library ส่วนการทดสอบฤทธิ์ ต้านออกซิเดชันด้วยวิธี DPPH โดยมีวิตามินซีเป็นสารควบคุม ผลการวิจัยพบว่าน้ำมันหอมระเหยที่สกัดด้วย ตัวทำละลายจะมีสีน้ำตาลเข้มและเป็นของเหลวหนืด ส่วนการสกัดด้วยไขแพะทั้งสองวิธีเป็นของเหลวใส สีเหลืองอ่อน และน้ำมันหอมระเหยทั้งหมดมีองค์ประกอบทางเคมีที่แตกต่างกันเป็นส่วนใหญ่ สารที่พบทั้งในน้ำมันหอมระเหยที่สกัดด้วยตัวทำละลายและไขเย็นได้แก่สาร 2,3-dihydro-3,5-dihydroxy-6methylpyran-4-one และ lidocain ในปริมาณที่แตกต่างกัน สารที่พบทั้งในน้ำมันหอมระเหยที่สกัดด้วยตัวทำละลายและ ไขร้อนคือ ethyl palmitate โดยมีปริมาณที่ใกล้เคียงกัน น้ำมันหอมระเหยที่สกัดด้วยตัวทำละลายแสดงค่าการต้านออกซิเดชันสูงสุดด้วยค่า IC50 ? SD เท่ากับ 31.00? 0.94 ?g/ml ส่วนน้ำมันหอมระเหยที่สกัดด้วย ไขสัตว์ไม่แสดงค่าการต้านออกซิเดชันที่ความเข้มข้นเริ่มต้น 125.00 ?g/ml และวิตามินซีแสดงค่า การต้านออกซิเดชันด้วยค่า IC50 ? SD เท่ากับ 0.75? 0.22 ?g/ml
บทคัดย่อ (EN): Survey and data collection of Nelumbo nucifera Gaertn. (N. nuccifera) in order to study its characteristics had been done in eight production areas in Phetchaburi Province. Growth and development of leaf, flower, pod, and seed to N. nuccifera were collected from natural growing areas during March to September 2015. Results showed that N. nucifera was a member of N. nucifera species. N. nucifera collected from Cha-am district had the longest leaf petiole, the largest size of leaf petiole, perimeter and width of flowers, and perimeter of pod as 242.75, 5.45, 18.25, 12.50, and 32.60 cm, respectively. In all observatory areas, N. nucifera was found to have large numbers of flower petal, pistil, and stamens. The length of seed had no significant differences. N. nucifera grew well in freshwater and in both shallow and deep water. In very deep-water, size of petiole was relatively big particularly in rainy season. The suitable material for planting of N. nucifera was planted in cement pond with three different soils; 1) clay from cornfield, 2) clay for water-plant planting and 3) mixed soil between clay for water-plant planting and cow dung of ratio 7:1. In this research N. nucifera was planting in three replications with one pond per sample between May, 2015-october, 2015 at Faculty of Agricultural and Technology, Phetchaburi Rajabhat University. The research plans were using completely randomized design (CRD). The data were recorded in height, size and number of leaf. The analysis of statistic data were compared by Duncan’s Multiple Range Test (DMRT). This study found that the growth of this plant of all soils in the first 1-2 months was no significantly different, but N. nucifera planting with clay for water plant planting was tended to more height and number of leaf than other soils. After four months, N. nucifera planting with clay for water plant planting was showed the longest of leaf stalk with mean of 49.67 centimetrics in significantly statistically different at confident level 95 percentage. This research found that planting materials were no effect to the growth of N. nucifera, however, the key condition was water for mixed soil (clay for water plant planting and cow dung of ratio 7:1) was tended to more bloom than others, because after six month, the plant was bloomed. The study of genetic diversity of three pure varieties of N. nucifera was compared with sixteen samples harvested from Phetchaburi province. The finger print of DNA was detected 159 primers by using random amplified polymorphic DNA technique (RAPD). This research found that the 17th primer was showed 40 position differences and be grouping three groups, accordingly the plant distribution was based on geography. The comparison of chemical constituents of three essential oils from different methods, including solvent, enfleurage and marcerated extractions was analysed by GC-MS: Electron, Ionization Acquisition mode; Scan 30-500 amu compared EI-MS data in NIST library. The antioxidation was study by DPPH method, using vitamin C as positive control. The research found that essential oil from solvent extraction was brown crude, and the both oils of extraction with goat fat were light yellow oil. Oils were most deferent constituents. 2,3-dihydro-3,5-dihydroxy-6-methylpyran-4-one and lidocain were found different amount in both essential oils that extracted by solvent and enfleurage. Ethyl palmitate was constitued in similar amount in both solvent extraction and maceration. The antioxidation of the oil from solvent extraction was showed the best activities with IC50 ? SD of 31.00? 0.94 ?g/ml. The others were showed no activities at 125.00 ?g/ml and vitamin C was showed IC50 ? SD of 0.75? 0.22 ?g/ml.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
คำสำคัญ: บัวหลวงราชินี
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การศึกษา และอนุรักษ์บัวหลวงราชินี
มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี
30 กันยายน 2558
การศึกษาฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ของสารสกัดจากบัวหลวง การศึกษาพันธุ์พืชสมุนไพรและการใช้ประโยชน์ เพื่ออนุรักษ์พันธุกรรมพืช การพัฒนาการเพาะเลี้ยงม้าน้ำเพื่อการอนุรักษ์ การสำรวจและอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม่ป่าในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ การสำรวจและอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้ป่าในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชฯ การรวบรวมและอนุรักษ์พันธุ์ข้าว การอนุรักษ์พันธุกรรมข้าว การอนุรักษ์และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตะคร้อ การประเมินและอนุรักษ์พันธุกรรมยางพารา โครงการวิจัยและอนุรักษ์พันธุกรรมพืช
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก