สืบค้นงานวิจัย
ศักยภาพการใช้สารกำจัดวัชพืชชีวภาพในการควบคุมวัชพืชพิษในพื้นที่ชลประทานอย่างยั่งยืนและปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม
นางอำพร คล้ายแก้ว - สำนักวิจัยและพัฒนา กรมชลประทาน
ชื่อเรื่อง: ศักยภาพการใช้สารกำจัดวัชพืชชีวภาพในการควบคุมวัชพืชพิษในพื้นที่ชลประทานอย่างยั่งยืนและปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม
ชื่อเรื่อง (EN): Bioherbicide Potential Used for Control Noxious Weed in lrrigation Areas with Sustainability and Environmental Safety
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: นางอำพร คล้ายแก้ว
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ (EN): Amporn Klaykeaw
หน่วยงานสังกัดผู้แต่ง:
บทคัดย่อ: บทคัดย่อ จากลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของวัชพืชน้ำที่มีการแพร่ระบาดอย่างมากทำให้ยากต่อการควบคุมกำจัด สำนักวิจัยและพัฒนา กรมชลประทาน ได้มีการค้นหาวิธีการที่จะมาใช้ในการควบคุมกำจัดวัชพืชน้ำให้มีปริมาณลดน้อยลง หรือหมดไปจากพื้นที่ชลประทาน ด้วยวิธีการที่มีประสิทธิภาพประหยัดค่าใช้จ่าย และปลอดภัยต่อสภาพแวดล้อม เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งน้ำ และการระบายน้ำได้อย่างรวดเร็ว จึงได้มีการศึกษาการใช้นวัตกรรมใหม่ๆ โดยการใช้สารกำจัดวัชพืชชีวภาพ (bioherbicide) สกัดจากวัชพืชร้ายแรง (Noxious weed) มาใช้ควบคุมการแพร่ระบาดของวัชพืช แบ่งการศึกษา ตามรายละเอียดดังนี้ 1. การใช้สารสกัดจากวัชพืชร้ายแรงควบคุมวัชพืชใต้น้ำ รายละเอียด ดังนี้ 1.1 การศึกษาอัตราการเจริญเติบโตของวัชพืชใต้น้ำ ทั้ง 5 ชนิด ได้แก่ 1. ดีปลีน้ำ (Potamogeton malaianus) 2. สาหร่ายหางกระรอก (Hydrilla verticillta) 3. สันตะวาใบพาย (Ottelia alismoisdes) 4. สาหร่ายพุงชะโด (Ceratophyllum demersum) และ 5. สาหร่ายเส้นด้าย (Najas graminea) พบว่า ที่ระยะเวลา 0 (เริ่มต้น), 15, 30, 45, 60, 75, 90, 105, 120 และ 135 วัน ในสภาพเรือนทดลอง พบว่า ดีปลีน้ำ มีการเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วที่สุด ที่ระยะเวลา 60 วัน สาหร่ายหางกระรอก มีเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วที่สุด ที่ระยะเวลา 45 วัน สันตะวาใบพาย มีการเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วที่สุด ที่ระยะเวลา 30 วัน สาหร่ายพุงชะโด มีการเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วที่สุด ที่ระยะเวลา 60 วัน สาหร่ายเส้นด้าย มีการเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วที่สุด ที่ระยะเวลา 90 วัน 1.2 ผลการใช้สารสกัดจากวัชพืชร้ายแรงควบคุมวัชพืชใต้น้ำ การใช้สารสกัดจากวัชพืชร้ายแรง 4 ชนิด ได้แก่ ผักตบชวา ธูปฤาษี จอกหูหนูยักษ์ และผักกระเฉด ที่อัตราความเข้มข้น 0, 15, 30 และ 100 เปอร์เซ็นต์ เปรียบเทียบกับการใช้สารกำจัดวัชพืชใต้น้ำ 2 ชนิด ได้แก่ สารไดยูรอน และสารไดยูรอน+เฮกซาซิโนน ที่ระดับความเข้มข้น 2 ส่วนในล้านส่วน (ppm.) มีผลต่อวัชพืชใต้น้ำ 3 ชนิด ได้แก่ สาหร่ายหางกระรอก ดีปลีน้ำ และสันตะวาใบพาย ภายในสภาพเรือนทดลอง พบว่าสารสกัดจากผักตบชวา ธูปฤาษี จอกหูหนูยักษ์ และผักกระเฉด ที่อัตราความเข้มข้น 0, 15, 30 และ 100 เปอร์เซ็นต์ มีผลการควบคุมกำจัดวัชพืชใต้น้ำเล็กน้อย จากการประเมินผลการตาย ด้วยการให้คะแนนการตาย น้ำหนักสดและแห้ง (กรัม) ไม่แตกต่างกันทางสถิติ แตกต่างจากชุดควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ 2. การใช้สารสกัดจากวัชพืชร้ายแรง ควบคุมวัชพืชริมน้ำ การทดสอบการยับยั้งการงอกของเมล็ดไมยราบยักษ์ และการเจริญเติบโตของต้นกล้าไมยราบยักษ์ ด้วยการใช้สารสกัดจากวัชพืชร้ายแรง 4 ชนิด ได้แก่ ผักตบชวา ธูปฤาษี จอกหูหนูยักษ์ และผักกระเฉด ที่อัตราความเข้มข้น 0, 15, 30 และ 100 เปอร์เซ็นต์ เปรียบเทียบกับการใช้สารกำจัดวัชพืชใต้น้ำ 2 ชนิด ได้แก่ สารไดยูรอน และสารไดยูรอน+เฮกซาซิโนน ที่ระดับความเข้มข้น 2 ส่วน ในล้านส่วน (ppm.) พบว่าอัตราการงอก (%) ความยาวต้นกล้า (ซม.) น้ำหนักสด (กรัม) และน้ำหนักแห้ง (กรัม) พบว่า สารสกัดจากธูปฤาษี จอกหูหนูยักษ์ และผักกระเฉด ที่อัตราความเข้มข้น 100% สามารถยับยั้งการงอกของเมล็ดไมยราบยักษ์ ได้ 100% 3. การใช้สารกำจัดวัชพืชชีวภาพ (Bioherbicide) ควบคุมกำจัดวัชพืชลอยน้ำ ได้แก่ ผักตบชวา (Eichhornia crassipes) และประสิทธิภาพของสารเพิ่มประสิทธิภาพ แบ่งเป็นการศึกษาดังนี้ 3.1 ผลการศึกษาการทดสอบประสิทธิภาพของเชื้อรา Myrothecium roridum ต่อการควบคุมผักตบชวา (Eichhornia crassipes) ในสภาพเรือนทดลองการทดสอบประสิทธิภาพของเชื้อรา Myrothecium roridum ต่อการควบคุมผักตบชวา ที่ระยะเวลา 7, 14, 21, 28 และ 35 วัน ในสภาพเรือนทดลอง เป็นการศึกษาการควบคุมผักตบชวาโดยชีววิธีด้วยการใช้เชื้อรา Myrothecium roridum จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดย ดร. อาร์ม อันอาตม์งาม และคณะ เป็นวิธีการหนึ่งที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยต่อสภาพแวดล้อม ดังนั้นเพื่อให้การนำไปใช้ในพื้นที่ชลประทานมีประสิทธิภาพ ฝ่ายวัชพืช ส่วนวิจัยและและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม สำนักวิจัยและพัฒนา จึงต้องทำการศึกษาทดสอบประสิทธิภาพของเชื้อรา Myrothecium roridum ในการควบคุมผักตบชวา ในสภาพเรือนทดลอง ก่อนที่จะนำไปใช้ในพื้นที่ชลประทานต่อไปในอนาคต ผลประสิทธิภาพของเชื้อรา M. roridum ทำลายต้นผักตบชวาที่มีขนาดเล็กได้ดีกว่าต้นผักตบชวาขนาดใหญ่ ใบที่ถูกทำลายจากเชื้อราจะยุบตัวและทำให้เกิดช่องว่างระหว่างต้นมากขึ้น จึงเหมาะในการนำไปใช้กับผักตบชวาที่มีขนาดเล็กและฉีดพ่นซ้ำเพื่อให้ผลการทำลายดียิ่งขึ้น เหมาะสมกับปริมาณต้นผักตบชวาไม่มาก ไม่เหมาะกับพื้นที่ที่มีผักตบชวาแพร่ระบาดรุนแรง เนื่องจากขนาดของต้นผักตบชวาใหญ่ ประสิทธิภาพการทำลายของเชื้อราไม่ทันต่อการเจริญเติบโตของผักตบชวาซึ่งเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพในการรบกวนการเจริญเติบโตของผักตบชวาแต่ไม่สามารถที่จะกำจัดผักตบชวาให้หมดไปในระยะเวลาสั้น ดังนั้นจึงไม่เหมาะสมที่จะนำไปในพื้นที่ที่ต้องการควบคุมกำจัดอย่างเร่งด่วน 3.2 ผลการทดสอบการใช้สารชีวภัณฑ์สำเร็จรูป ชื่อทางการค้า นิวตรอน 5 in 1 อัตราความเข้มข้น 10,000 พีพีเอ็ม เปรียบเทียบกับสาร 2,4- ดี อัตราความเข้มข้น 10,000 พีพีเอ็ม และสาร 2,4- ดี อัตราความเข้มข้น 10,000 พีพีเอ็ม ผสมกลีเซอรีน อัตราความเข้มข้น 5% และทวีน 80 (surfactant and emulsifier) อัตราความเข้มข้น 5% ทดสอบกำจัดผักตบชวา ในสภาพเรือนทดลอง พบว่าการใช้สาร 2,4- ดีผสมกลีเซอรีน และทวีน 80 ที่อัตราความเข้มข้น 10,000 พีพีเอ็ม+5%+5% หลังการฉีดพ่นสาร ที่ระยะเวลา 3 วัน มีประสิทธิภาพในการกำจัดดีที่สุด และรวดเร็วทำให้ผักตบชวาตายโดยสิ้นเชิง เนื่องจากมีสารที่ช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพ ของการกำจัด และสารทวีน 80 ผสมลงไปเพื่อช่วยลดแรงตึงผิวที่ผิวใบผักตบชวาเคลือบด้วยไขมัน (Wax) ทำให้สารเข้าสู่ใบผักตบชวา ได้อย่างรวดเร็ว 3.3 ผลการทดสอบสารสกัดจากต้นยูคาลิปตัส (1,8-Cineole) ใช้ส่วนใบ และส่วนเมล็ด สกัดด้วยน้ำ และเอทานอล นำมาใช้ในการกำจัดผักตบชวา ที่อัตราความเข้มข้น 50% และ100% ในสภาพเรือนทดลอง พบว่าสารสกัด จากต้นยูคาลิปตัสส่วนใบ และเมล็ด สกัดด้วยเอทานอล ที่อัตราความเข้มข้น 100% มีประสิทธิภาพดีที่สุดมีผลต่อผักตบชวาเล็กน้อย เนื่องจากวัตถุดิบที่นำมาสกัดไม่ดี มีปริมาณน้ำมัน หรือสาร 1,8-Cineole มีความเข้มข้นน้อย 3.4 ผลการทดสอบประสิทธิภาพของสารผสม 3 ชนิด ได้แก่ น้ำมันยูคาลิปตัส (1,8-Cineole)+2,4-D disodium salt+กลีเซอรีน ที่อัตราความเข้มข้น (%) 100+0+5, 75+25+5, 50+50+5, 25+75+5 และ 0+100+5 เพื่อคัดเลือกอัตราที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดเป็นสารผสม สวพ.62-RID No.1 ในการกำจัดผักตบชวา พบว่าสารผสมน้ำมันยูคาลิปตัส (1,8-Cineole)+2,4-D disodium salt+กลีเซอรีน ที่อัตราความเข้มข้น (%) 50+50+5 ให้ผลในการควบคุมกำจัดผักตบชวามีประสิทธิภาพดีที่สุด และรวดเร็วทำให้ผักตบชวาตายโดยสิ้นเชิง 3.5 ผลการทดสอบประสิทธิภาพของสารละลาย สวพ.62-RID No.1 ในสภาพเรือนทดลอง โดยคัดเลือกสารผสม 3 ชนิด ประกอบด้วย น้ำมันยูคาลิปตัส+สาร 2,4-D disodium salt และกลีเซอรีน อัตราความเข้มข้น (%) 50+50+5 ให้ชื่อว่าสวพ.62-RID No.1 ที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดผักตบชวาได้ดีที่สุดและไม่มีผลกระทบต่อคุณภาพน้ำ มีผลในการควบคุมกำจัดผักตบชวามีประสิทธิภาพดีที่สุด และรวดเร็วทำให้ผักตบชวาตายโดยสิ้นเชิง การศึกษาผลตกค้างและการสลายตัวในน้ำของสารสารละลาย สวพ.62-RID No.1 ต่อผักตบชวาที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในสภาพเรือนทดลอง ผลการตรวจวัดผลกระทบต่อแหล่งน้ำหลังการทดสอบการกำจัดผักตบชวา ด้วยสารละลาย สวพ.62-RID No.1 โดยการตรวจวัดคุณภาพน้ำทางเคมี (chemical) และทางชีววิธี (bioassay) ในน้ำ ผลตามรายละเอียดดังนี้ 1) ผลการตรวจวัดคุณภาพน้ำทางเคมี (chemical) หลังการทดสอบการกำจัดผักตบชวา ด้วยสารสารละลาย สวพ.62-RID No.1 ที่ระยะเวลา 3, 7, 14, 21 และ 30 วัน ในสภาพเรือนทดลอง โดยการวัดอุณหภูมิ (T.) ค่าปริมาณออกซิเจนที่ละลายน้ำ (DO) ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) และค่าการนำไฟฟ้า (Ec) พบว่าคุณภาพน้ำไม่มีการเปลี่ยนแปลงหลังการทดสอบสารละลาย สวพ.62-RID No.1 ซึ่งตามเกณฑ์คุณภาพน้ำชลประทาน ตามมาตรา 8 2) ผลการตรวจวัดผลตกค้างในน้ำด้วยวิธีทางชีววิธี (Bioassay) หลังการทดสอบการกำจัดผักตบชวา ด้วยสารสารละลาย สวพ.62-RID No.1 ที่ระยะเวลา 3, 7, 14, 21 และ 30 วัน ในสภาพเรือนทดลอง โดยทดสอบการงอกของเมล็ดผักกาด เพื่อวิเคราะห์ผลตกค้างของสารในน้ำที่มีผลต่ออัตราการงอกของเมล็ดผักกาด หลังการทดสอบที่ระยะเวลา 5 วัน โดยวัดอัตราการงอก (%) การยับยั้ง (Inhibition) ความยาวต้น และรากของเมล็ดผักกาด พบว่าผลการทดสอบคุณภาพน้ำเพื่อวิเคราะห์หาผลตกค้างของสารในน้ำด้วยวิธีทางชีววิธี ไม่มีผลต่อการงอกของเมล็ดผักกาด 4. การทดสอบประสิทธิภาพของสารละลาย สวพ.62-RID No.1 ในการควบคุมกำจัดผักตบชวา ในพื้นที่ชลประทาน บริเวณคลองระบายน้ำ คลองหนองนาค โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาคลองเพรียว-เสาไห้ จ.สระบุรี สำนักงานชลประทานที่ 10 พบว่ามีประสิทธิภาพในการควบคุมกำจัดผักตบชวาดีที่สุดมีประสิทธิภาพในการกำจัดผักตบชวาได้ดีที่สุด และไม่มีผลกระทบต่อคุณภาพน้ำ มีผลในการควบคุมกำจัดผักตบชวามีประสิทธิภาพดีที่สุด และรวดเร็วทำให้ผักตบชวาตายโดยสิ้นเชิง การติดตามและประเมินผลตกค้างในน้ำของสารละลาย สวพ.62-RID No.1 ก่อนและหลัง การควบคุมกำจัดผักตบชวา ที่ระยะเวลา 3, 7, 14, 21, 28 และ 60 วัน ด้วยการสุ่มเก็บตัวอย่างน้ำ ในแปลงทดสอบบริเวณพื้นที่ชลประทาน คลองระบายน้ำ คลองหนองนาค โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาคลองเพรียว-เสาไห้ จ.สระบุรี ส่งตัวอย่างน้ำวิเคราะห์โดยบริษัทห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) จำกัด และตรวจวัดคุณภาพน้ำทางเคมี (Chemical analysis) ด้วยเครื่องวัดคุณภาพน้ำแบบหัวรวม (Multiparameter) พบว่าหลังการฉีดพ่นสารสวพ.62-RID No.1ไม่มีผลกระทบต่อคุณภาพน้ำไม่มีการเปลี่ยนแปลง การวิเคราะห์หาปริมาณสาร 2,4-D หลังการทดสอบสารสวพ.62-RID No.1 พบปริมาณ 2,4-D น้อยมาก ที่ระยะเวลาที่มีการตายของผักตบชวาแช่อยู่ในน้ำในแปลงทดลองอยู่ในเกณฑ์คุณภาพน้ำ เพื่อการคุ้มครองทรัพยากรสัตว์น้ำจืด สถาบันประมงน้ำจืดแห่งชาติ ฉบับที่ 2530 กรมประมง สาร 2,4-D ระดับความเข้มข้นสูงสุดที่ยินยอมให้มีได้ค่า 45.0 มิลลิกรัม/ลิตร (ตามตารางภาคผนวก) ที่ระยะเวลา 60 วัน ผักตบชวาตายจมลงใต้น้ำไม่พบปริมาณ 2,4-D ไม่มีการวิเคราะห์หา สาร1,8-Cineole และกลีเซอลีน เพราะเป็นสารชีวภาพจะมีการสลายตัวในธรรมชาติด้วยจุลินทรีย์ทั่วๆ ไป จึงไม่จำเป็นต้องหาผลตกค้าง
บทคัดย่อ (EN): Abstract is in the attached file.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: สำนักวิจัยและพัฒนา กรมชลประทาน
คำสำคัญ: สภาพแวดล้อม
คำสำคัญ (EN): milieu
หมวดหมู่: อื่นๆ
เจ้าของลิขสิทธิ์: กรมชลประทาน
รายละเอียด: Submitted by รดา รุจณรงค์ กรมชลประทาน (rada_ru@rid.go.th) on 2020-04-02T02:48:53Z No. of bitstreams: 2 สวพ. 43-2562-ผสาน.pdf: 16411871 bytes, checksum: 6ea1d945ee97c2e6aea72e6504fc1cf9 (MD5) license_rdf: 811 bytes, checksum: 53b05846eb6eeb1c33891ab08e36a383 (MD5)
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
ศักยภาพการใช้สารกำจัดวัชพืชชีวภาพในการควบคุมวัชพืชพิษในพื้นที่ชลประทานอย่างยั่งยืนและปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม
สำนักวิจัยและพัฒนา กรมชลประทาน
2562
การพัฒนาสารกำจัดวัชพืชชีวภาพ (Bioherbicide) จากสาบแร้งสาบกา ผกากรองป่า ก้นจ้ำเพื่อควบคุมกำจัดผักตบชวาและจอกหูหนูยักษ์อย่างปลอดภัยต่อสภาพแวดล้อม The integration of environmental education and communicative english based on multiple intelligence theory for students in extended schools Enhancing management effectiveness of environmental protected areas, Thailand Potential of RNAi applications to control viral diseases of farmed shrimp ๊๊Use of Alachlor Mixing with Paraquat for Weed Control in Maize Sustainable leadership and entrepreneurship for corporate sustainability in small enterprises: An empirical analysis Effects of Peanut Intercropped and Trash Mulch on Weed Control and Growth of Sugarcane Assessing governability of environmental protected areas in Phetchaburi and Prachuap Kirikhan, Thailand Indicator of environmental problems of agricultural sectors under the environmental modeling STUDY ON THE POTENCY OF SERRATIA BACTERIA USED TO CONTROL WHITE ROOT DISEASE IN RUBBER
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก