สืบค้นงานวิจัย
การพัฒนาวิธีการตรวจวัดเชื้อแบคทีเรียทั้งหมดในน้ำนมโคดิบด้วยเทคนิคเนียร์อินฟราเรดสเปคโตรสโกปิ
จุฑาพร หงส์ผาทอง - มหาวิทยาลัยนเรศวร
ชื่อเรื่อง: การพัฒนาวิธีการตรวจวัดเชื้อแบคทีเรียทั้งหมดในน้ำนมโคดิบด้วยเทคนิคเนียร์อินฟราเรดสเปคโตรสโกปิ
ชื่อเรื่อง (EN): Method development of total bacterial quantification in raw milk using near infrared spectroscopy
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: จุฑาพร หงส์ผาทอง
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ (EN): Jatuporn Hongpathong
บทคัดย่อ: การปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียในน้ำนม เป็นสาเหตุหลักของการเสื่อมเสียของน้ำนม ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์นมต่าง ๆ และราคาการซื้อขายน้ำนมดิบ สำหรับวิธีการตรวจนับแบคทีเรียในน้ำนมโคดิบในปัจจุบันนั้นใช้วิธีการตรวจนับแบคทีเรียทั้งหมด (Standard plate count; SPC) วิธีดังกล่าวต้องใช้เวลา 48 ชั่วโมง ในการทราบผลการวิเคราะห์ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาวิธีการตรวจวัดปริมาณเชื้อแบคทีเรียในน้ำนมโคดิบด้วยเทคนิคเนียร์อินฟราเรดสเปคโตรสโกปี (Near infrared spectroscopy; NIRS) แบ่งออกเป็น 2 การศึกษา โดยการศึกษาที่ 1 ศึกษาอิทธิพลของระยะที่แสงผ่าน (Pathlength) ต่อประสิทธิภาพการทำนายการตรวจวัดเชื้อแบคทีเรียในน้ำนมโคดิบด้วยเทคนิค NIRS ทำการศึกษาโดยการวัดสเปกตรัมน้ำนมโคดิบในโหมดสะท้อนกลับโดยใช้ Aluminum reflector ที่มีระยะ Optical pathlength 0.1 และ 1.0 มิลลิเมตร เพื่อช่วยในการสะท้อนแสงกลับมายังตัวตรวจวัดสัญญาณ จากนั้นทำการวิเคราะห์แบบจำลองทำนายปริมาณเชื้อแบคทีเรียด้วยวิธี Partial least square regression (PLSR) 0.1 มิลลิเมตร ให้ค่าการทำนายที่แม่นยำกว่า Pathlength 1.0 มิลลิเมตร โดยผลการทำนายที่ดีที่สุด มีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (Correlation coefficient; R) เท่ากับ 0.88 และค่าผิดพลาดมาตรฐานในการทดสอบ (Standard error of cross validation; SECV) เท่ากับ 0.34 log CFU/ml การศึกษาที่2 ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของกิจกรรมของเชื้อแบคทีเรียต่อประสิทธิภาพการทำนายการตรวจวัดเชื้อแบคทีเรียในน้ำนมโคดิบด้วยเทคนิค NIRS โดยการนำตัวอย่างน้ำนมโคดิบผสมกับอาหารเลี้ยงเชื้อชนิดเหลว ที่ระดับความเข้มข้น 10%, 25% และ 50% แล้วทำการศึกษาอิทธิพลของระดับความเข้มข้นน้ำนมและระยะเวลาในการบ่มตัวอย่างน้ำนมต่อประสิทธิภาพการทำนายปริมาณเชื้อแบคทีเรียรวม พบว่าการผสมน้ำนมโคดิบผสมในอาหารเลี้ยงเชื้อชนิดเหลวในอัตราส่วน 10% และ 25% ให้ค่าการทำนายที่มีความแม่นยำมากกว่าการทำนายผ่านตัวอย่างน้ำนมโคดิบ 50% และ 100% มีค่าความคลาดเคลื่อนจากการทำนายที่ใกล้เคียงกันคือ มีค่าผิดพลาดมาตรฐานในกลุ่มทดสอบสมการ (Standard error of prediction; SEP) เท่ากับ 0.34 และ 0.37 log CFU/ml ตามลำดับ หลังจากนั้นนำตัวอย่างน้ำนมโคดิบ 10%, 25% และ 50% ทำการบ่มอุณหภูมิ 32 องศาเซลเซียส ที่ระยะเวลา 30, 60, 90 และ 120 นาที พบว่าผลการทำนายมีความแม่นยำมากขึ้นเมื่อผ่านการจัดการตัวอย่างเป็นน้ำนมโคดิบ 25% ระยะเวลาบ่ม 90 นาที มีค่า R เท่ากับ 0.90 และ ค่า SEP เท่ากับ 0.18 log CFU/ml ดังนั้นการใช้น้ำนมโคดิบผสมอาหารเลี้ยงเชื้อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำนายปริมาณแบคทีเรียในน้ำนมโคดิบด้วยเทคนิคอินฟราเรดสเปคโตรสโกปี
บทคัดย่อ (EN): Abstract is in the attached file.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เอกสารแนบ: http://dcms.lib.nu.ac.th/dcms/TDC2560/454/Jatuporn%20Hongpathong.pdf
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยนเรศวร
คำสำคัญ: เทคนิคเนียร์อินฟราเรดสเปคโตรสโกปิ
คำสำคัญ (EN): near infrared spectroscopy
เจ้าของลิขสิทธิ์: มหาวิทยาลัยนเรศวร
รายละเอียด: .
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การพัฒนาวิธีการตรวจวัดเชื้อแบคทีเรียทั้งหมดในน้ำนมโคดิบด้วยเทคนิคเนียร์อินฟราเรดสเปคโตรสโกปิ
มหาวิทยาลัยนเรศวร
24 เมษายน 2561
การพัฒนาวิธีการตรวจวิเคราะห์การปลอมปนในข้าวหอมมะลิเปลือกและข้าวหอมมะลิขาวอย่างรวดเร็วด้วยเทคนิคเนียร์อินฟราเรด แนวทางปรับปรุงการตรวจวัดคุณภาพเพื่อการรับซื้อข้าวเปลือก ผลผลิตและคุณภาพน้ำนมจากแม่โคที่เลี้ยงด้วยหญ้าผสมถั่วในช่วงฤดูแล้ง สถานภาพด้านแร่ธาตุของโคซึ่งเลี้ยงในพื้นที่ดินพรุและดินทรายในเขตศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง การพัฒนาวิธีการจำแนกเชื้อเลปโตสไปรา ด้วยเทคนิคทางอณูชีววิทยา แนวทางปรับปรุงการตรวจวัดคุณภาพเพื่อการรับซื้อข้าวเปลือก การใช้วัสดุพลอยได้การเกษตรเลี้ยงโค คุณภาพน้ำนมโคดิบ : ปัญหาและการแก้ไข : รายงานผลการวิจัย การตรวจหา Suilysin และโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงของ เชื้อสเตรปโตคอคคัส ซูอิส ที่แยกได้จากสุกรป่วย สุกรปกติที่เป็นพาหะของโรคและคนที่เกี่ยวข้องโดยใช้เทคนิค PCR การทำอาหารแร่ธาตุชนิดก้อนสำหรับเลี้ยงโค
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก