สืบค้นงานวิจัย
ผลกระทบของการใช้ประโยชน์ที่ดินต่อการเกิดชั้นดาน พื้นที่ปลูกอ้อย ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลัง จังหวัดนครราชสีมา
รวมพร มูลจันทร์ - กรมพัฒนาที่ดิน
ชื่อเรื่อง: ผลกระทบของการใช้ประโยชน์ที่ดินต่อการเกิดชั้นดาน พื้นที่ปลูกอ้อย ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลัง จังหวัดนครราชสีมา
ชื่อเรื่อง (EN): EFFECT OF LAND USE ON HARD PAN IN SUGARCANE, MAIZE AND CASSAVA IN NAKONRATCHASIMA PROVINCE
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: รวมพร มูลจันทร์
บทคัดย่อ: ผลกระทบของการใช้ประโยชน์ที่ดินต่อการเกิดชั้นดานพื้นที่ปลูกอ้อยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลัง จังหวัดนครราชสีมา จากโครงการวิจัยย่อย 3 โครงการ 1) การคาดการณ์การเกิดชั้นดานในพื้นที่ปลูกพืชเชิงเดี่ยว ซ้ำซากโดยใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ 2) การศึกษาการเกิดชั้นดานโดยใช้อุปกรณ์ HAND PENETROMETER EUKELKAMP พื้นที่ปลูกอ้อย ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง และ 3) การประเมินผลผลิตอ้อย ข้าวโพดเลี้ยง สัตว์และมันสำปะหลัง ที่ปลูกในดินดาน จังหวัดนครรชสีมา ซึ่งเป็นการทำงานอย่างต่อเนื่องกัน โดยเบื้องตันประเมิน ด้วยการใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ในการคาดการณ์พื้นที่ในกลุ่มดินที่มีความเสี่ยงในการเกิดดินดานจากการ รวบรวมข้อมูลเบื้อง และนำพื้นที่เป้าหมายมาศึกษาต่อโดยใช้อุปกรณ์ HAND PENETROMETER EUKELKAMP พื้นที่ ปลูกอ้อย ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง และต่อด้วยการประเมินผลผลิตอ้อย ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมัน สำปะหลัง ที่ปลูกในดินดานจังหวัดนครราชสีมา จากการวิเคราะห์ปัญหาการเกิดชั้นตานโดยการนำข้อมูลการใช้ ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ปลูกอ้อย ข้าวโพด และมันสำะหลัง มาซ้อนทับ (Overlay) กับกลุ่มชุดดินในจังหวัดนครราชสีมา โดยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ โดยเฉพาะความซ้ำชากจาการใช้ประโยชน์จากการปลูกอ้อยโรงงาน ข้าวโพดเลี้ยง สัตว์ และมันสำปะหลัง มาเป็นปัจจัยสำคัญในการศึกษา และทำการวิเคราะห์พื้นที่การเกิดชั้นดานจากการใช้ ประโยชน์ที่ดินซ้ำซาก พบว่า จังหวัดนครราชสีมามีพื้นที่ปลูกพืชซ้ำซากจำนวน 23 อำเภอ รวมเป็นเนื้อที่ประมาณ 800,00 ไร่ โดยการตรวจสอบแยกออกตามประเภทของชั้นขนาดอนุภาคดินต่างๆ ที่ปลูกพืชทั้ง 3 ชนิด ด้วยเครื่อง soil Hardness Meter พบว่า พื้นที่ปลูกมีแนวโน้มของความแข็งของดินเพิ่มสูงขึ้นในช่วงความลึกประมาณ 20- 40 เซนติเมตร และจะลดลงตามความลึก ในทุกๆ ชั้นขนาดอนุภาคดิน ซึ่งช่วงความลึก 20-40 เขนติเมตร ซึ่ง เป็นชั้นที่อยู่ใต้ชั้นไถพรวน สรุปเบื้องต้นว่า การปลูกพืชซ้ำซากมีแนวโน้มทำให้เกิดชั้นดานไถพรวนได้ ซึ่งสามารถแบ่งกลุ่ม ออกเป็นดินที่ไม่มีแนวโน้มในการเกิดดินชั้นดาน ได้แก่ ดินที่มีชั้นขนาดอนุภาคดินเป็นดินทราย (Sand) และดินที่ มีชั้นขนาดอนุภาคดินเป็นดินเหนียว (Fine) สีแดงในอันดับออกซิซอลส์ (Oxisols) ดินที่มีแนวโน้มในการเกิดดินชั้น ดานในระดับป่านกลาง ได้แก่ ดินที่อยู่ในชั้นขนาดอนุภาคดินร่วน (Loamy) ถึงชั้นขนาดอนุภาคดินร่วนหยาบ (Coarse-oamy) ดินที่มีแนวโน้มในการเกิดดินชั้นดานในระดับสูง ได้แก่ ดินที่มีชั้นขนาดอนุภาคดินทรายแป้ง (Fine- silty) ชั้นขนาดอนุภาคดินเหนียว (Fine) และชั้นขนาดอนุภาคดินร่วนละเอียด (Fine-loamy) ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษา การเกิดชั้นดานโดยใช้อุปกรณ์ HAND PENETROMETER EUKELKAMP พื้นที่ปลูกอ้อย ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลังในจังหวัดนครราชสีมา เป็นการศึกษาตามชั้นขนาดอนุภาคดิน 4 กลุ่ม คือ กลุ่มชั้นขนาดอนุภาคดินเหนียว ( มากกว่าร้อยละ60) สีแดง ในอันดับดินออกซิซอลส์ (Oxisols) กลุ่มชุดดิน 29 กลุ่มชั้นขนาดอนุภาคดินทรายแป้ง ละเอียด (Fine-silty) อันดับดินแอลฟิซอลส์ (Alisols) กลุ่มชุดดิน 33 กลุ่มชั้นขนาตอนุภาคดินร่วนละเอียด (Fine-loany) ในอันดับดินอัลทิซอลส์ (Utisols) กลุ่มชุดติน 35 และ อันดับดินแอลฟิซอลส์ (Alfisols) กลุ่มชุตดิน 36 และ กลุ่มชั้นขนาดอนุภาคดินร่วนหยาบ (Coarse-loamy)ในอันดับดินอัลทิชอลส์ (Ultisols)กลุ่มชุดดิน 40 ผล ศึกษาค่ำความต้านทานดินในแนวดิ่ง จากเครื่อง Hand Penetrometer Eukelkamp และค่ความต้นทานตินใน แนวราบ จากเครื่อง Pocket Penetrometer เมื่อนำเปรียบเทียบความหนาแน่นรวมของดิน ก็พบว่าค่ที่ได้จาก เครื่อง Hand Penetrometer Eukelkamp และจากเครื่อง Pocket Penetrometer ยังไม่สามารถนำค่ทั้งคู่มาใช้ ในการกำหนดเกณฑ์มาตราฐานในการเกิดชั้นดานไถพรวน เนื่องจากมีข้อจัดในเจาะทะลุชั้นดินทั้งในแนวดิ้งและ แนวราบ และเมื่อทำการเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มชุดดินเดียวกันกับพืชที่ปลูกต่างกัน พบว่า กลุ่มชั้นขนาดอนุภาคดิน เหนียว (มากกว่าร้อยละ60) สีแดง ในอันดับดินออกซิซอลส์ (Oxisols) กลุ่มชุดดิน 29 ที่ปลูกอ้อย ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง ไม่ปรากฏพบชั้นดานไถพรวน กลุ่มชั้นขนาดอนุภาคดินทรายแป้งละเอียด (Fine-sity) อันดับดิน แอลพืชอลส์ (Aเfsols) กลุ่มชุดดินที่ 33 ที่ปลูกอ้อย และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ไม่ปรากฎพบชั้นดานไถพรวน แตในพื้นที่ มีการปลูกมันสำปะหลัง มีแนวโน้มในการเกิดขั้นดานไถพรวน ช่วงความลึก 36-60 เชนติเมตร กลุ่มชั้นขนาดอนุภาค ดินร่วนละเอียด (Fine-Loamy) อันดับดินแอลฟิซอลส์ (AIfisols) กลุ่มชุดดิน 36 ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ไม่ปรากฏพบ ชั้นดานไถพรวน สำหรับในอันดับดินอัลทิซอลส์ (Ultisols กลุ่มชุดดิ่น 35 ที่ปลูกอ้อย พบว่ามีแนวโน้มในการเกิดชั้น ดานไถพรวน ช่วงความลึกตั้งแต่ 20-50 เขนติเมตร สำหรับพื้นที่ปลูกมันสำะหลัง แม้ว่าจะไม่เกิดชั้นดานไถพรวน ในตอนนี้ แต่ความหนาแน่นรวมของดินล่างมีตัวเลขบ่งขี้ว่าใกล้จะเกิดขั้นดานไถพรวนในอนาคตอันใกล้นี้ และกลุ่มชั้น ขนาดอนุภาคตินร่วนหยาบ (Coarse-loamy ในอันดับดินอัลทิซอลส์ (Ultisols) กลุ่มชุดติน 40 พบว่ามีแนวโน้มใน การเกิดชั้นดานไถพรวน ทั้งอ้อย ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และ มันสำะหลัง ในช่วงขั้นกำเนิดดิน AB-Bt ช่วงความลึกตั้งแต่ 20-5 ขนติมตร สำหรับแนวโน้มในการเกิดชั้นดานไถพรวนใต้ชั้นดินบน เรียงจากโอกาสมากไปโอกาสน้อย คือ กลุ่มชั้นขนาดอนุภาคดินร่วนหยาบ (Coarse-loamy) > กลุ่มชั้นขนาดอนุภาคดินร่วนละเอียด (Fine-loamy)> กลุ่ม ชั้นขนาดอนุภาคดินทรายแป้งละเอียด (Fine-silty) > กลุ่มชั้นขนาดอนุภาคดินเหนียว (Clayey) ตามลำดับ นอกจากนี้แนวโน้มในการเกิดชั้นดานไถพรวนใต้ชั้นดินบนของพืชที่ปลูก จากโอกาสมากไปโอกาสน้อย คือ มันสำปะหลัง 2 อ้อย > ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ตามลำดับ ซึ่งเมื่อนำกลุ่มอนุภาคดินดังกล่าวมาทำการประเมินผลผลิต อ้อยโรงงาน ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำะหลัง ที่ปลูกในดินดาน จังหวัดนครราชสีมา โตยการใช้ประยุกต์ใช้ แบบจำลองการปลูกพืชเพื่อช่วยในการสนับสนุนการตัดสินใจ ในการเลือกปลูกพืชสำหรับเกษตรกร ร่วมกับการทำ แปลงทดสอบเพื่อเปรียบเทียบระหว่างแบบจำลองและแปลงของเกษตรกรนั้น เป็นการช่วยเพิ่มระดับความมั่นใจ ให้กับเกษตรกรในการเลือกข้อมูลสนับสนุนจากแบบจำลอง โดยในงานวิจัยฉบับนี้ เป็นการเปรียบเทียบระหว่าง แบบจำลองและแปลงเกษตรกร มีพืช 3 ชนิด ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัต มันสำปะหลัง และอ้อยโรงงาน สามารถแบ่ง ตามชั้นขนาดอนุภาคติน 4 กลุ่มดินนั้น และทำการเก็บข้อมูลการเจริญเติบโตของพืชทั้ง 3 ชนิด ในดินขนาดอนุภาค ต่าง ๆ นำข้อมูลเข้าประเมินด้วยแบบจำลอง และเปรียบเทียบกับข้อมูลแปลงของเกษตรกร จังหวัดนครราชสีมา ปี 2558-2559 พบว่าข้อมูลเปรียบเทียบมีความสัมพันธ์กันที่ระดับความเชื้อมั่น 95% มีค่าสหสัมพันธ์เป็น 0.91 อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของการใช้ประโยชน์ที่ดินต่อการเกิดชั้นดานพื้นที่ปลูกอ้อยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และ มันสำปะหลัง จังหวัดนครรชสีมา ซึ่งปัจจัยเรื่องของการใช้ประโยชน์ที่ดินซ้ำซากเป็นเพียงแค่ปัจจัยหนึ่ง ในการเกิด ดินชั้นดาน เพราะสาเหตุของการเกิดดินชั้นดานนั้นยังมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น เรื่องของความชื้น ลักษณะและสมบัติ ของดิน กิจกรรมที่มีผลกระทบกับดินในช่วงเวลาต่างๆ ที่เป็นสาเหตุในการเกิดดินชั้นดาน ดังนั้นในการศึกษาการเกิด ดินชั้นดานเนื่องจากการทำการเกษตรจำเป็นต้องทราบข้อมูลเหล่านี้ เพื่อประกอบการศึกษาว่าดินชั้นดานนั้นเกิดจาก สาเหตุใด ซึ่งจะทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสมกับสาเหตุของปัญหาดังกล่าว โดยร่วมกับการประยุกต์ใช้ แบบจำลองการปลูกพืช เพื่อเป็นพื้นฐานในการนำไปทดสอบเปรียบเทียบกับการปลูกจริง ซึ่งเป็นการลดระยะเวลา และงบประมาณนการทดลองทางการเกษตร และนำไปสู่คำแนะนำเบื้องตันในการจัดการการปลูกพืชในพื้นดินดาน สำหรับพืชไร่เศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้เพื่อเป็นการใช้ประโยชน์ที่ดินได้อย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: กรมพัฒนาที่ดิน
คำสำคัญ: ปุ๋ยเคมี
คำสำคัญ (EN): NAKONRATCHASIMA PROVINCE
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
ผลกระทบของการใช้ประโยชน์ที่ดินต่อการเกิดชั้นดาน พื้นที่ปลูกอ้อย ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลัง จังหวัดนครราชสีมา
กรมพัฒนาที่ดิน
30 กันยายน 2559
อาหารจากมันสำปะหลัง เปรียบเทียบการใช้ชนิดและปริมาณปุ๋ยอินทรีย์ในการปลูกอ้อยเพื่อเกษตรกรรายย่อยใน อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ ปกป้องสายตาด้วยข้าวโพด การปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดเพื่อเพิ่มคุณภาพโปรตีน การศึกษาการเกิดชั้นดานโดยใช้อุปกรณ์ HAND PENETROMETER EIJKELKAMP พื้นที่ปลูกอ้อย ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลังในจังหวัดนครราชสีมา ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการยอมรับเทคโนโลยีการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของเกษตรกรตามโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวโพดชุมชนจังหวัดพะเยา การประเมินผลผลิตอ้อย ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลัง ที่ปลูกในดินดาน จังหวัดนครราชสีมา การใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีชีวภาพในการเพิ่มมูลค่าข้าวโพด การหาพื้นที่ใบจากภาพถ่ายดิจิตอล การใช้เทคโนโลยีการผลิตมันสำปะหลังของเกษตรกรโครงการหมู่บ้านมันสำปะหลังพัฒนาในจังหวัดนครราชสีมา
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก