สืบค้นงานวิจัย
นวัตกรรมน้ำยางธรรมชาติวัลคาไนซ์ด้วยลำอิเล็กตรอนเพื่อการสร้างรายได้ของประเทศไทยจากผลิตภัณฑ์น้ำยางธรรมชาติอย่างยั่งยืน
สุรพิชญ ลอยกุลนันท์ - สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
ชื่อเรื่อง: นวัตกรรมน้ำยางธรรมชาติวัลคาไนซ์ด้วยลำอิเล็กตรอนเพื่อการสร้างรายได้ของประเทศไทยจากผลิตภัณฑ์น้ำยางธรรมชาติอย่างยั่งยืน
ชื่อเรื่อง (EN): Electron Beam Vulcanised Natural Rubber Latex Innovation for Sustainable Income of Thailand from Natural Rubber Latex Products
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: สุรพิชญ ลอยกุลนันท์
หน่วยงานสังกัดผู้แต่ง:
บทคัดย่อ: อุตสาหกรรมยางธรรมชาติมีความสำคัญมากสำหรับประเทศไทยเนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมหลักที่สร้างรายได้ให้ประเทศ ในปี
พ.ศ.2554 ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมยางธรรมชาติสร้างรายได้ให้ประเทศ 819,700 ล้านบาท แต่ประเทศไทยยังสามารถสร้างรายได้
จากยางธรรมชาติเพิ่มได้อีกโดยการเพิ่มการผลิตผลิตภัณฑ์ยางเพื่อการส่งออก ปัจจุบันประเทศไทยใช้ยางธรรมชาติในการผลิต
ผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มเพียงร้อยละ 14 ของปริมาณยางที่ผลิต

ผลิตภัณฑ์ยางหลักที่ประเทศไทยผลิตและส่งออกได้แก่ยางล้อรถและผลิตภัณฑ์จากน้ำยางโดยมีมูลค่าการส่งออกใน 114,300 ล้านบาท
และ 48,980 ล้านบาทตามลำดับ แม้ว่าผลิตภัณฑ์จากน้ำยางจะมีมูลค่าการส่งออกต่ำกว่ายางล้อรถ แต่ผลิตภัณฑ์จากน้ำยางมีศักยภาพ
ในการแข่งขันสูงสำหรับประเทศไทย ปัจจุบันประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกถุงยางอนามัยและเส้นด้ายยางยืดอันดับ 1 ของโลกและ
เป็นอันดับ 2 สำหรับการส่งออกถุงมือยาง โครงการ”นวัตกรรมน้ำยางธรรมชาติวัลคาไนซ์ด้วยลำอิเล็กตรอนเพื่อการสร้างรายได้ของ
ประเทศไทยจากผลิตภัณฑ์น้ำยางธรรมชาติอย่างยั่งยืน”นี้ เสนอที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์จากน้ำยางให้ขยายใหญ่ขึ้นเพื่อสร้าง
รายได้ให้ประเทศเพิ่มขึ้นและอย่างยั่งยืน โดยการวิจัย พัฒนาและประยุกต์เทคโนโลยีใหม่ 2 เทคโนโลยีได้แก่เทคโนโลยีการวัลคาไนซ์
น้ำยางด้วยลำอิเล็กตรอน และเทคโนโลยีการรักษาสภาพน้ำยางธรรมชาติโดยใช้สาร TAPS ทดแทนการใช้แอมโมเนีย ทั้งนี้เพื่อแก้ไข
ปัญหาของอุตสาหกรรมผลิตน้ำยางข้นและอุตสาหกรรมผลิตผลิตภัณฑ์จากน้ำยางธรรมชาติ ได้แก่ปัญหาอันตรายต่อสุขภาพของคน
ที่ทำงานในอุตสาหกรรมที่เกิดจากการสูดดมแอมโมเนียอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน และปัญหาการแพ้โปรตีนในน้ำยางธรรมชาติ
ตลอดจนการแพ้สารเคมีที่ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ ปัญหาทั้งสองมีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมน้ำยางธรรมชาติรุนแรงมากขึ้นทุกที
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการแพ้โปรตีนที่ตกค้างอยู่ในผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติเช่นถุงมือยาง สายสวนปัสสาวะ หัวนมยาง
ทำให้ปัจจุบันผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เริ่มหันไปใช้น้ำยางสังเคราะห์ในการผลิตมากขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นใช้น้ำยางไนไตรล์ในการผลิตถุงมือ
น้ำยางโพลิไอโซพรีนในการผลิตถุงยางอนามัย หากไม่มีการวิจัยและพัฒนาเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ประเทศไทยอาจสูญเสียตลาด
ผลิตภัณฑ์จากน้ำยางธรรมชาติให้แก่น้ำยางสังเคราะห์ปีละประมาณ 9,800 ล้านบาท แต่หากทำการแก้ไขโดยเปลี่ยนมาใช้น้ำยาง
วัลคาไนซ์ด้วยลำอิเล็กตรอนซึ่งคาดว่าจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาการแพ้โปรตีนและสารเคมียาง อย่างน้อยจะช่วยให้สามารถรักษา
ตลาดผลิตภัณฑ์จากน้ำยางนี้ไว้ได้

โครงการวิจัยนี้จึงเสนอที่จะพัฒนาเทคโนโลยีการวัลคาไนซ์น้ำยางด้วยลำอิเล็กตรอนขึ้นในประเทศไทยเพื่อแทนที่น้ำยางวัลคาไนซ์ด้วย
กำมะถัน ซึ่งมีความปลอดภัยน้อยกว่า และประยุกต์ใช้น้ำยาง TAPS ซึ่งเป็นน้ำยางศูนย์เทคโนโลยีโลหะ และวัสดุแห่งชาติได้พัฒนาขึ้น
เพื่อทดแทนน้ำยางที่รักษาสภาพด้วยระบบแอมโมเนีย ซึ่งจะทำให้น้ำยางธรรมชาติมีความปลอดภัยยิ่งขึ้น เนื่องจากแอมโมเนียและสาร
ทีเอ็มทีดี (TMTD) เป็นสารที่สามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ ทั้งนี้เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้แก่อุตสาหกรรมน้ำยาง
ธรรมชาติของประเทศ และรักษารายได้ของประเทศจากการส่งออกผลิตภัณฑ์จากน้ำยางธรรมชาติอย่างยั่งยืน โดยจะจัดทำโครงการใน
รูปแบบของกลุ่มวิจัยและธุรกิจ (research and business consortium) ประกอบด้วยนักวิจัยจากสวทช. สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์
แห่งชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บริษัทผู้ผลิตน้ำยางข้น 2 บริษัทและบริษัทผลิต
ผลิตภัณฑ์จากน้ำยางธรรมชาติ 4 บริษัท และมีแผนการทำงานแบ่งเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 (1.5 ปี) จะเป็นการวิจัยเพื่อผลิตน้ำยาง
TAPS วัลคาไนซ์ด้วยลำอิเล็กตรอนในระดับห้องปฏิบัติการที่สามารถนำไปผลิตผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติได้ และนำ มาทดลอง
ผลิตผลิตภัณฑ์จากน้ำยางในระดับห้องปฏิบัติการ คือ ถุงมือยาง หัวนมยาง สายสวนปัสสาวะ และแผ่นยางใช้ในทางทันตกรรม
ตลอดจนศึกษาข้อดีต่างๆของน้ำยาง TAPS วัลคาไนซ์ด้วยลำอิเล็กตรอนเปรียบเทียบกับการผลิตที่ใช้น้ำยางแอมโมเนียวัลคาไนซ์
ด้วยระบบกำมะถัน ระยะที่ 2 (1 ปี)จะเป็นการทดลองผลิตน้ำยาง TAPS วัลคาไนซ์ด้วยลำอิเล็กตรอนในระดับกึ่งอุตสาหกรรม
เพื่อนำไปทดลองผลิตถุงมือยางและหัวนมยางในโรงงานและเก็บข้อมูลต้นทุนในการผลิต นอกจากนี้จะศึกษาประเมินผลกระทบ
ของผลิตภัณฑ์ในด้านการใช้ทรัพยากร พลังงานและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดวัฏจักรชิวิตของผลิตภัณฑ์และวิจัยและพัฒนา
ผลิตภัณฑ์จากน้ำยางที่ยังไม่มีการผลิตในประเทศไทยได้แก่สายสวนปัสสาวะและแผ่นยางใช้ในทางทันตกรรมโดยใช้น้ำยาง
TAPS วัลคาไนซ์ด้วยลำอิเล็กตรอน ระยะที่ 3 (0.5 ปี) เป็นการผลิตน้ำยาง TAPS วัลคาไนซ์ด้วยลำอิเล็กตรอนเพื่อใช้ทดลอง
ผลิตถุงมือยางและหัวนมยางในเชิงพาณิชย์

การวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการพบว่าโครงการมีความเป็นไปได้เนื่องจากเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากน้ำยางธรรมชาติที่เป็นที่
ต้องการของตลาดคือไม่ก่อให้เกิดการแพ้โปรตีนและสารเคมี และช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้แก่คนงานในโรงงานผลิตน้ำยางข้นและ
ผลิตภัณฑ์จากน้ำยาง และต้นทุนในการผลิตน้ำยางวัลคาไนซ์ใหม่เพิ่มขึ้นจากการผลิตน้ำยางวัลคาไนซ์ด้วยกำมะถัน 1.27 บาทต่อกก.
หรือร้อยละ 30 ซึ่งคาดว่าผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมน่าจะสามารถยอมรับน้ำยางวัลคาไนซ์ด้วยลำอิเล็กตรอนนี้และนำไปผลิต
ผลิตภัณฑ์ในเชิงพาณิชย์ได้ ซึ่งจะทำให้อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์จากน้ำยางไทยเป็นผู้นำของโลกในการผลิตผลิตภัณฑ์จากน้ำยางที่มี
ความปลอดภัยต่อการนำไปใช้งาน ผลิตจากน้ำยางวัลคาไนซ์ด้วยลำอิเล็กตรอน

บทคัดย่อ (EN): The rubber industry is a very important industry for Thailand since it is the main industry which generates income for Thailand. In the year 2554 the rubber industry generated 819,000 million baht for the country. However, Thailand can still increase her income from natural rubber (NR) by increasing the manufacturing of rubber products for export. Today, Thailand uses only 14% of the total NR production for conversion to the higher value-added rubber products.

The main rubber products manufactured in Thailand are tyres and latex products. The export values of these two products are respectively 114,300 and 48,980 millions baht. Although the export value of the latex products is lower than that of tyres, the latex products are actually very competitive rubber products for Thailand. Presently, Thailand is already the number one producer and exporter of condoms and rubber threads in the world, and is the world’s number two exporter of gloves. The “Electron Beam Vulcanised Natural Rubber Latex Innovation for Sustainable, Income of Thailand from Natural Rubber Latex Products Project” proposes to help develop and enlarge the Thai NR latex product industry in order to increase and sustain its income by developing two innovative technologies, the vulcanisation of NR latex by electron beam technology and the preservation technology of NR latex by TAPS instead of ammonia, in order to correct existing problems of the concentrated latex production industry and the latex product manufacturing industry. The problems are health-related problem of industrial workers caused by long-term exposure to ammonia and the problem of protein allergy experienced by users of NR latex products. Both problems have increasing negative impacts on the NR latex product industry, particularly the allergy of NR latex products such as gloves, catheters or rubber teats caused by residual allergenic proteins. The latex industry already begin to use synthetic lattices to replace NR latex, for examples using Nitrile latex for production of rubber gloves or synthetic polyisoprene for production of condoms. Therefore, if nothing is done to divert this trend, Thailand may lose a significant proportion of NR latex product market to synthetic lattices valued at 9,800 millions baht. Electron beam vulcanised NR latex (EBVNRL) is proposed to be a solution to the problem of the NR latex industry since it has been shown to be protein and chemical allergy free.

The present research project proposes to develop technology for vulcanisation of NR latex by electron beam in Thailand to replace sulphur-vulcanised NR latex which is less safe, and also to replace ammonia preserved NR latex with the MTEC-developed TAPS latex. This will make vulcanised NR latex safer since it contains no ammonia or TMTD. The objective of the project is to increase the competitiveness of the Thai latex industry and to maintain the export market of NR latex products which might be lost to synthetic lattices. The research will be done through a Research and Business Consortium consisting of researchers from NSTDA, the National Nuclear Technology Institute, Mahidol University, Walailak University, 3 concentrated latex producers and 5 latex product manufacturers. The work will be done in 3 phases. Phase 1 (1.5 year) will involve development of EB-vulcanised TAPS latex (e-latex) and also gloves , rubber teats, catheter and rubber dam from e-latex ready for lab scale level. Comparative study between e-latex and sulphur-vulcanised latex (s-latex) will be made in order to identify all the advantages of e-latex. Phase 2 (1 year) will comprise factory production trial of gloves and rubber teats, production cost analysis and life cycle assessment of the new products. Furthermore, research and development of latex products which have not been manufactured in Thailand will also be made in this phase of the project. Phase 3 (0.5 year) will be the commercial production trial of gloves and rubber teats from e-latex.

Feasibility and benefit analysis of the project shows that this project is feasible since it will develop innovative latex products which are needed by the market, viz. allergenic protein and chemical free products. Besides, the new EB vulcanized TAPS latex is not harmful to factory workers. The cost of production of EBVNRL is estimated to be 1.27 baht/kg or 30% higher than that of SVNRL. The Thai latex product manufacturers should be able to accept this cost difference. Then the Thai latex product manufacturing industry will be the world leader in the production of safe NR latex products which are produced from EBVNRL.

 

บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
คำสำคัญ: แผ่นยางใช้ในทางทันตกรรม
คำสำคัญ (EN): and rubber dam.
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
นวัตกรรมน้ำยางธรรมชาติวัลคาไนซ์ด้วยลำอิเล็กตรอนเพื่อการสร้างรายได้ของประเทศไทยจากผลิตภัณฑ์น้ำยางธรรมชาติอย่างยั่งยืน
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
2561
การเปลี่ยนแปลงของค่าความจุไฟฟ้าของยางธรรมชาติในขณะวัลคาไนซ์ ภายใต้แผนงาน : การวิจัยขนาดเล็ก เรื่อง ยางพารา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี การเตรียมกาวจากน้ำยางธรรมชาติเพื่อใช้สำหรับงานไม้ยางพารา การผลิตผลิตภัณฑ์เส้นต่อเนื่องจากน้ำยางธรรมชาติ การใช้ผลพลอยได้จากไหมอีรี่เพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สร้างรายได้ การสร้างนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมผลิตภัณฑ์ OTOP จังหวัดเพชรบูรณ์จากภูมิปัญญาถ้องถิ่น ผลิตภัณฑ์จากมะระหวาน การส่งเสริมการปลูกทานตะวันของประเทศไทย การผลิตมะม่วงนอกฤดูอย่างยั่งยืน การส่งเสริมการเพิ่มผลผลิตข้าว เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ข้าวเกรียบปลาปรุงรส
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก