สืบค้นงานวิจัย
โครงการวิจัยการศึกษาระบบการจัดการการผลิตวัตถุดิบจากพืชสำหรับผลิตพลังงาน
อรรัตน์ วงศ์ศรี - กรมวิชาการเกษตร
ชื่อเรื่อง: โครงการวิจัยการศึกษาระบบการจัดการการผลิตวัตถุดิบจากพืชสำหรับผลิตพลังงาน
ชื่อเรื่อง (EN): Crop Production Management For Energy
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: อรรัตน์ วงศ์ศรี
บทคัดย่อ: กิจกรรมงานวิจัย ศึกษาระบบการจัดการการผลิตวัตถุดิบจากพืชสำหรับผลิตไบโอดีเซล การศึกษาระบบจัดการการผลิตปาล์มน้ำมันสำหรับผลิตไบโอดีเซล เพื่อให้ได้ข้อมูลด้านสถานการณ์การผลิตของเกษตรกรนำไปสู่การปรับใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับพื้นที่ และเป็นข้อมูลสำหรับการวางแผนการผลิตปาล์มน้ำมันเพื่อผลิตไบโอดีเซลได้อย่างเพียงพอ ดำเนินการสำรวจข้อมูลจากแปลงเกษตรกรทั่วประเทศในช่วงปี 2549-2553 พบว่าในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี จ.นครศรีธรรมราช จ.ชุมพร จ.ระนอง จ. กระบี่ จ.ตรัง และจ.นราธิวาส จาก 112 แปลง พื้นที่ปลูก 2,878 ไร่ มีสวนเกษตรกรที่ให้ผลผลิตทะลายสดสูงสุด 5,609, 6,416, 5,554, 3,958, 5,469 3,823 และ 4,900 กก./ไร่/ปี ตามลำดับ เนื่องจากความเหมาะสมของสภาพพื้นที่ เกษตรกรมีจัดการสวนที่ดี และผลผลิตต่ำสุด 592, 1,090, 1,077, 1,148, 2,154 1,402 และ 500 กก./ไร่/ปี ตามลำดับ พบประเด็นปัญหาคือ ใช้พันธุ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน การใช้ปุ๋ยไม่ถูกต้อง การจัดการพื้นที่ปลูกไม่เหมาะสม การเก็บเกี่ยวระยะสุกแก่ไม่ถูกต้อง พื้นที่ภาคตะวันออก (จ.ชลบุรี จันทบุรี และตราด) พบว่า สวนปาล์มน้ำมันอายุ 4-6 ปี ให้ผลผลิตทะลายสด 780, 1,473 และ 1,086 กก./ไร่/ปี ตามลำดับ สวนปาล์มน้ำมันอายุมากกว่า 6-13 ปี ให้ผลผลิตทะลายสด 2,103, 2,847 และ 2,323 กก./ไร่/ปี ในรอบปีมีผลผลิตออกมากในช่วงฤดูฝน ได้แก่ เดือนกรกฎาคม และสิงหาคม และลดลงในช่วงฤดูแล้ง ได้แก่ เดือนพฤศจิกายน ธันวาคม มกราคม และมีนาคม ซึ่งสวนปาล์มน้ำมันที่มีผลผลิตทะลายสดมากที่สุดเป็นสวนที่มีการจัดการธาตุอาหารหลักครบถ้วน พร้อมทั้งมีการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมด้วย นอกจากนี้พบว่าสวนที่มีการให้น้ำมีผลผลิตทะลายสดมากกว่าสวนที่ไม่มีการจัดการน้ำ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.อำนาจเจริญ สวนปาล์มน้ำมันอายุ 7-10 ปีได้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 3,200-3,500 กก./ไร่/ปี จ.ศรีสะเกษ อายุ 7-8 ปีได้ผลผลิตประมาณ 2,000 กก./ไร่/ปี อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี มี 2 แปลง แปลงที่ 1 ได้ผลผลิตประมาณ 1,800-2,000 กก./ไร่/ปี ส่วนแปลงที่ 2 ได้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 2,000-2,300 กก./ไร่/ปี จังหวัดหนองคาย ประเมินผลผลิตทะลายสดปาล์มน้ำมันของสวนเกษตรกร อายุ 3-4 ปี พบว่าอยู่ในช่วง 900-1,600 กก./ไร่/ปี ส่วนแปลงของศูนย์วิจัยหนองคาย อายุ 6 ปี ให้ผลผลิตทะลายสด 2,100 กก./ไร่/ปี จังหวัดเลย ปาล์มน้ำมันอายุ 5-7 ปี ผลผลิตทะลายสดเฉลี่ย 1,500-1,900 กก./ไร่/ปี จังหวัดนครพนม ผลผลิต 1,700 -1,900 กก./ไร่/ปี ส่วนจังหวัดกาฬสินธุ์ ปาล์มน้ำมันอายุ 9 ปี ผลผลิตเฉลี่ย 572.5 กก./ไร่/ปี และจังหวัดอุดรธานี ปาล์มน้ำมันอายุ 4 ปี มีผลผลิตเฉลี่ย 104.7 กก./ไร่/ปี พบว่าประเด็นปัญหาที่ทำให้ผลผลิตต่ำ เนื่องจากพื้นที่ปลูกอยู่ในเขตที่ปริมาณน้ำฝนไม่เพียงพอ จังหวัดอุทัยธานี นครสวรรค์ ชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี สระบุรี ปทุมธานี กาญจนบุรี นครปฐม เพชรบุรี และราชบุรี เป็นพื้นที่ที่เพิ่งเริ่มมีการปลูกปาล์มน้ำมันเช่นกัน พบว่า ปัญหาส่วนมากเกษตรกรไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการจัดการการผลิตปาล์มน้ำมัน ทั้งหมดมีการใช้ต้นกล้าโดยที่ไม่รู้ชื่อพันธุ์ แต่ปลูกโดยใช้ระยะปลูกที่ถูกต้อง เกือบทั้งหมดใส่ปุ๋ยไม่ถูกต้อง ส่วนมากไม่มีร่องระบายน้ำ ยกเว้นในพื้นที่ จ. ปทุมธานี และสระบุรี มีการตัดแต่งทางใบที่ถูกต้อง รวมทั้งการจัดการเก็บเกี่ยวและระบบการจัดการการจำหน่ายผลผลิต อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ปาล์มน้ำมันเพิ่งเริ่มให้ผลผลิต พบว่ามีการเจริญเติบโตปกติ ผลผลิตของเกษตรกรส่วนใหญ่ใกล้เคียงเมื่อเทียบกับ Yied profile ของภาคใต้ ได้แก่ในเขต จ.อุทัยธานี กาญจนบุรี ปทุมธานี อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบการให้ผลผลิตที่ชัดเจน จึงควรมีการติดตามต่อไป ศึกษาระบบการจัดการการผลิตต้นกล้าปาล์มน้ำมัน เพื่อทราบถึงศักยภาพการผลิตต้นกล้าของประเทศ ข้อมูลที่ได้สามารถนำมาประเมินผลการบรรลุตามเป้าหมายของแผนยุทธศาสตร์ปาล์มน้ำมันและพลังงานทดแทน และสามารถนำไปประเมินการขยายพื้นที่ปลูกของประเทศ ปี 2553 มีแปลงเพาะกล้าปาล์มน้ำมันทั่วประเทศที่ได้รับการจดทะเบียนเป็นแปลงเพาะชำที่ได้มาตรฐานจำนวน 339 แปลง มีต้นกล้า 12,545,321 ต้น คิดเป็นพื้นที่ปลูกได้ 0.5 ล้านไร่ ในช่วงปี 2549 – 2553 มีแปลงเพาะที่มีการผลิตต้นกล้ามากกว่า 100,000 ต้นต่อปี จำนวน 43 39 17 22 และ 28 แปลงเพาะ ตามลำดับ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ ส่วนแปลงเพาะกล้าขนาดเล็กและขนาดกลาง มีจำนวน 467 438 267 319 และ 311 แปลง ตามลำดับ แปลงเพาะชำส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ จังหวัดกระบี่มีปริมาณต้นกล้าในแต่ละปีมากที่สุด 4,223,331 ต้น มีแปลงเพาะ 90 แปลง รองลงมาได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีแปลงเพาะ 142 แปลง มีต้นกล้า 2,149,801 ต้น และมีแปลงเพาะชำของเอกชนกระจายทุกภาคของประเทศ ผลผลิตปาล์มน้ำมันมีการเคลื่อนไหวสูงต่ำในรอบปี พบว่า จ.สุราษฎร์ธานี จ.นครศรีธรรมราช ให้ผลผลิตสูงในเดือนสิงหาคม-ตุลาคม ส่วนจ.ชุมพรในเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคมและสิงหาคม-ตุลาคม จ.ระนองในเดือนมิถุนายน-กันยายน และจากแปลงขนาดใหญ่ระดับบริษัทในเขต อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ปาล์มน้ำมันจะให้ผลผลิตสูงสุดในช่วงเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนมิถุนายน และผลผลิตต่ำสุดในช่วงเดือนธันวาคมถึงเดือนมกราคม ในเขต อ.สิเกา จ.ตรัง ผลผลิตสูงสุดในช่วงเดือนเมษายน และผลผลิตต่ำสุด ระหว่างเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ ในเขต อ.เขาพนม จ.กระบี่ ผลผลิตสูงสุดในช่วงเดือน ธันวาคม-กุมภาพันธ์ และในเขต อ.กาญจนดิษฐ์ และ อ.คีรีรัฐนิคม ผลผลิตสูงสุด ในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน และอ.กาญจนดิษฐ์ ผลผลิตต่ำสุดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม แต่ในพื้นที่ อ.คีรีรัฐนิคม ปาล์มน้ำมันให้ผลผลิตต่ำสุดในช่วงเดือนเมษายน--พฤษภาคม ส่วนพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันในภาคตะวันออก ในรอบปีมีผลผลิตออกมากในช่วงฤดูฝน ได้แก่ เดือนกรกฎาคม และสิงหาคม และลดลงในช่วงฤดูแล้ง ได้แก่เดือนพฤศจิกายน ธันวาคม มกราคม และมีนาคม สามารถนำผลไปใช้ในการจัดการระบบการเก็บเกี่ยวให้เหมาะสม และเป็นข้อมูลในการคาดการณ์สถานการณ์ปาล์มน้ำมันที่อาจเชื่อมโยงระบบการผลิตปาล์มน้ำมันของประเทศ อย่างไรก็ตาม การขึ้นลงของผลผลิตปาล์มน้ำมันมีความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกระจายตัวของฝน และการขาดน้ำ ซึ่งการขาดน้ำในช่วง 10 เดือนก่อนระยะเก็บเกี่ยว จะส่งผลให้ผลผลิตลดลง การศึกษาเทคโนโลยีการผลิตสบู่ดำ สำหรับนำไปจัดการระบบการผลิตให้เหมาะสมเพื่อให้มีวัตถุดิบเพียงพอในการผลิตไบโอดีเซล พบว่า จากแปลงเปรียบเทียบพันธุ์แบบต้นต่อแถว ชุดที่ 1 สบู่ดำสายพันธุ์ A 34 ให้ผลผลิตรวม 3 ปี สูงกว่าพันธุ์อื่น 291.18 กก./ไร่ รองลงมา คือ สายพันธุ์ A 30 และ A 03ให้ผลผลิต 243.20 และ 216.44 กก./ไร่ ตามลำดับ และในแปลงเปรียบเทียบพันธุ์แบบต้นต่อแถว ชุดที่ 2 พบว่า สบู่ดำสายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงที่สุด รวม 3 ปี คือ สายพันธุ์ B 34 ให้ผลผลิต 242.28 กก./ไร่ รองลงมา คือ สายพันธุ์ B 32 และ B 26 ให้ผลผลิต 155.66 และ 155.62 กก./ไร่ ในแปลงเปรียบเทียบพันธุ์ในท้องถิ่น จำนวน 12 พันธุ์ พบว่า สบู่ดำสายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์อื่น ในปีที่ 3 คือ สายพันธุ์ GB 07-04 ให้ผลผลิต 324.97 กก./ไร่ รองลงมา คือ สายพันธุ์ B 04-03 และ 18/36 ให้ผลผลิต 311.59 และ 295.12 กก./ไร่ ตามลำดับ การจัดทำลายพิมพ์ดีเอ็นเอของสบู่ดำเพื่อการจำแนกพันธุ์และปรับปรุงพันธุ์ ได้ทำการวิเคราะห์โดยเทคนิค Amplified fragment length polymorphism (AFLP) พบว่า สามารถจำแนกสบู่ดำทั้ง 32 ตัวอย่าง ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ที่มีความแตกต่างกัน ได้แก่ กลุ่ม A และ B โดยกลุ่ม A มีจำนวน 21 ตัวอย่าง จะมีตัวอย่างที่มีความเหมือนกันทางพันธุกรรมสูงมาก โดยมีค่าความแตกต่างตั้งแต่ 0 - 0.12 เท่านั้น อาจกล่าวได้ว่าตัวอย่างเหล่านี้น่าจะมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน ประกอบด้วย 4 กลุ่ม ส่วนตัวอย่างอื่นๆ มีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมที่ห่างออกไป การวิเคราะห์โดยเทคนิค Simple sequence repeat (SSR) ได้ตรวจสอบและเลือกเฉพาะลำดับพันธุกรรมที่มีตำแหน่งของเบสซ้ำ นำมาออกแบบไพรเมอร์ SSR และคัดเลือกไพรเมอร์ไ ด้ 39 คู่ พบว่า ไพรเมอร์ทั้งหมดให้แถบดีเอ็นเอที่ไม่ชัดเจน ยังไม่สามารถบอกความแตกต่างของสบู่ดำ 32 ตัวอย่างนี้ได้ การศึกษาต้นทุนการปลูกสบู่ดำ พบว่า การผลิตแบบหัวไร่ปลายนา เฉลี่ย 3 ปี 413.33 บาท/ไร่ และได้ผลผลิตเฉลี่ย 333.33 กก./ไร่ สำหรับแบบกึ่งพาณิชย์ และแบบพาณิชย์ มีต้นทุนการผลิตเฉลี่ย 1,576 และ11,049.67 บาท/ไร่ และได้ผลผลิตเฉลี่ย 733.33 และ 700 กก/ไร่ ตามลำดับ ระยะปลูกที่เหมาะสมของสบู่ดำ พบว่า ในปีที่ 3 การปลูกที่ระยะ 1 x 1 เมตร ให้ผลผลิตสูงที่สุด คือ 72 กก./ไร่ รองลงมา คือ ระยะ 1 x 1 x 3 เมตร และ ระยะ 2 x 2 เมตร ให้ผลผลิต 55 กก./ไร่ และ 51 กก./ไร่ ตามลำดับ การปลูกสบู่ดำโดยการให้น้ำร่วมกับการใช้ปุ๋ยเคมี 15-15-15 พบว่า สบู่ดำที่มีอายุ 1, 2, 3 และ 4 ปี ให้ผลผลิตเฉลี่ย 188.7, 239.6, 117.2 และ 145.2 กก./ไร่ ตามลำดับ กรรมวิธีให้น้ำพบว่าสบู่ดำให้ผลผลิต 122.4 กก./ไร่ ต่ำกว่าการไม่ให้น้ำ ที่ได้ผลผลิต 168.0 กก./ไร่ การใส่ปุ๋ย 15-15-15 อัตรา 45 กก./ไร่ ให้ผลผลิตสูง 176.3 กก./ไร่ จากผลการศึกษาการตัดแต่งและควบคุมจำนวนกิ่งในสบู่ดำอายุ 3 ปี พบว่า เมื่อตัดแต่งและควบคุมจำนวนกิ่ง ต้นละ 11-15 กิ่ง ให้ผลผลิตสูงที่สุด 203.9 กก./ไร่ รองลงมา คือ การตัดแต่งและควบคุมจำนวนกิ่ง ต้นละ 6-10 กิ่ง และ การตัดแต่งและไม่ควบคุมจำนวนกิ่ง ให้ผลผลิตใกล้เคียงกัน 193.7 และ 193.3 กก./ไร่ ตามลำดับ แต่การไม่ตัดแต่งกิ่ง ให้ผลผลิต 160.1 กก./ไร่ แมลงศัตรูสบู่ดำที่พบทุกพื้นที่ ได้แก่ เพลี้ยแป้ง และ สารฆ่าแมลง dinotefuran (Starkle 10 % WP) อัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร มีประสิทธิภาพดีที่สุด ศัตรูชนิดอื่นที่พบในบางพื้นที่ ได้แก่ เพลี้ยไฟ เพลี้ยหอย มวนหลังแข็ง หนอนชอนใบ แมลงค่อมทอง แมลงหวี่ขาว และไรขาว การเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศ มีผลต่อปริมาณการระบาดของศัตรูมากน้อยต่างกัน ในปี 2552-53 ฝนตกกระจายเกือบตลอดทั้งปี จึงพบเพลี้ยแป้งในปริมาณน้อย ส่วนในแหล่งปลูกที่มีการใส่ปุ๋ยให้น้ำความชื้นสูง พบโรคระบาดรุนแรงหลายชนิด ดังนี้ โรคใบจุด, โรคแอนแทรคโนสและผลเน่า, โรคต้นเน่า, โรคใบไหม้, โรคราแป้ง และโรคในระยะต้นกล้า ซึ่งในแปลงปลูกที่ไม่ให้น้ำและใส่ปุ๋ยน้อย พบเพียงโรคใบจุดแอนแทรคโนส ผลเน่าระบาดเท่านั้น โรคที่ทำให้ผลผลิตเสียหายมาก คือ โรคต้นเน่า และ แอนแทรคโนสที่ทำให้ผลร่วง และอาการใบไหม้คล้ายน้ำร้อนลวกในฤดูแล้ง อาการนี้จะหายไปได้เองเมื่อได้รับความชื้น ไม่พบว่าลุกลามระบาดสู่พื้นที่ปลูกอื่นๆ การเก็บเกี่ยว ระยะที่เหมาะสมคือ พิจารณาจากผลสบู่ดำที่มีสีดำ หรือสีน้ำตาล และควรเก็บรักษาในรูปน้ำมันในสภาพอุณหภูมิต่ำดีกว่าการเก็บในรูปเมล็ด เพราะสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิสูงจะทำให้น้ำมันในเมล็ดเกิดออกซิเดชั่นสูงกว่าในน้ำมัน การเก็บรักษาในรูปน้ำมัน คุณภาพน้ำมัน เช่น ค่า IV PV และ AV จะมีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก ถึงแม้จะเก็บไว้นาน 6 เดือน แต่การเก็บรักษาในรูปเมล็ด คุณภาพน้ำมันจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเกิดออกซิเดชั่นสูงกว่ามาก กิจกรรมงานวิจัย ศึกษาระบบจัดการการผลิตวัตถุดิบจากพืชสำหรับผลิตแกสโซฮอลล์ ปัญหาระบบการจัดการการผลิตมันสำปะหลังในพื้นที่รอบโรงงานเอทานอล คือ เกษตรกร ใช้พื้นที่ปลูกไม่เหมาะสม ดินเสื่อมโทรม ฝนทิ้งช่วง ทำให้ผลผลิต คุณภาพต่ำ และต้นทุนสูง ส่วนโรงงานเอทานอล มีวัตถุดิบไม่สม่ำเสมอ บางเดือนล้น บางเดือนขาด และระบบการปลูกและเก็บเกี่ยวของเกษตรกรไม่สอดคล้องกับความต้องการของโรงงาน ดังนั้นจึงได้ทำการศึกษาระบบการจัดการการผลิตมันสำปะหลังเพื่อผลิตเอทานอล โดยมี วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาระบบการผลิตมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบอย่างเพียงพอสำหรับผลิตเอทานอล ประกอบด้วย 3 กรอบการทดลอง คือ 1) ศึกษาศักยภาพการ ผลิตมันสำปะหลังในพื้นที่รอบโรงงาน 2) การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับพื้นที่รอบโรงงาน 3) การศึกษาและพัฒนาระบบการผลิตมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบผลิตเอทานอล ดำเนินการวิจัยในศูนย์วิจัยพืช/ศูนย์วิจัยและพัฒนา และไร่เกษตรกรใน 8 จังหวัด ระหว่างเดือนตุลาคม 2548 ถึงกันยายน2553 ผลการศึกษาศักยภาพการผลิต มันสำปะหลังในพื้นที่รอบโรงงาน พบว่า สามารถแสดงผลของพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังในรูปแผนที่ศักยภาพรอบตำแหน่งที่ตั้ง (หรือที่คาดว่าจะตั้ง) ของโรงงานเอทานอล 5 แห่ง โดยพื้นที่โดยรอบของแต่ละโรงงาน มีศักยภาพการให้ผลผลิต มันสำปะหลังสูงกว่า 5 ตันต่อไร่ ร้อยละ 31.5-92.5 ส่วนงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับพื้นที่รอบโรงงาน พบว่า พันธุ์ระยอง 72 เป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตหัวสดสูงในดินชุดวารินในเขตจังหวัดขอนแก่น และดินชุดปากช่องในเขตลพบุรี ส่วนเขตจังหวัดนครราชสีมา มีดินชุดสีคิ้ว คือ พันธุ์ระยอง 5 ดินชุดโชคชัยคือ พันธุ์ห้วยบง 60 พันธุ์ระยอง 9 และพันธุ์ระยอง 11 เขตจังหวัดนครสวรรค์ในดินชุดลพบุรี และวังไฮ คือ พันธุ์ห้วยบง 60 และพันธุ์ระยอง 9 สำหรับดินชุดกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี และดินชุดห้วยโป่ง จังหวัดระยอง คือ พันธุ์ระยอง 9 และพันธุ์ระยอง 7 วันปลูกที่เหมาะสมในรอบปีที่ให้ทั้งผลผลิตหัวสด เปอร์เซ็นต์แป้ง และผลผลิตแป้งสูง คือ ต้นเดือนมีนาคม และ กลางเดือนกรกฎาคม โดยผลผลิตของมันสำปะหลังจะเพิ่มขึ้นตามอายุเก็บเกี่ยว การตัดต้นมันสำปะหลังที่อายุ 10 และ 12 เดือน นำไปทำท่อนพันธุ์ ควรเก็บผลผลิตในช่วงอายุ 6-7 และ 4-5 เดือนหลังตัด ตามลำดับ ซึ่งเป็นช่วงให้ผลผลิตและเปอร์เซ็นต์แป้งสูงสุดอีกครั้ง ควรมีการปรับปรุงดินโดยใส่ปุ๋ยมูลไก่แกลบอัตรา 1,000 กิโลกรัมต่อไร่ ร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-7-18 อัตรา 50 กิโลกรัมต่อไร่ และปลูกถั่วพร้าแซมมันสำปะหลังเป็นพืชสดคลุมดินในดินร่วนทราย สำหรับพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ของดินสูงกว่าระดับค่าวิกฤตของค่าวิเคราะห์ดินปลูกมันสำปะหลัง โดยเฉพาะดินชุดตาคลี ลพบุรี และวังไฮ ควรใส่ปุ๋ยเคมี 0.5 ของ N-P2O5-K2O ตามค่าวิเคราะห์ดิน จะทำให้ช่วยลดต้นทุน และให้ผลตอบแทนสูงกว่าการใส่ปุ๋ยตามวิธีเกษตรกร สำหรับการจัดการน้ำ ควรมีการให้น้ำที่อัตรา 60-80 เปอร์เซ็นต์ของค่าการระเหยสะสมครบ 60 มิลลิเมตร (14 วันต่อครั้ง ๆ ละ 40 มิลลิเมตร) อย่างไรก็ตาม การให้น้ำช่วง 2-5 เดือนหลังปลูก ก็ให้ผลผลิตสูงใกล้เคียงกับการให้น้ำตลอดฤดูปลูก(เมื่อความชื้น<10 %) และยังพบอีกว่า การให้น้ำทุก 1 และทุก 3 เดือน (ในช่วง 2-5 เดือน) ให้ผลผลิตสูงใกล้เคียงกัน ส่วนการศึกษาและพัฒนาระบบการผลิตมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบผลิต เอทานอล ทำให้ได้ต้นแบบระบบการผลิตมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบอย่างเพียงพอสำหรับการผลิตเอทานอล โดยการเลือกใช้พื้นที่ที่มีศักยภาพปลูกมันสำปะหลัง การใช้เทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสมจากผลงานวิจัย เพื่อเพิ่มผลผลิตหรือลดต้นทุนการผลิต รวมทั้งการจัดการการปลูกและเก็บเกี่ยวให้สอดคล้องกับความต้องการของโรงงาน ตลอดจนพัฒนาและทดสอบการจัดการการผลิตมันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบผลิตเอทานอลในพื้นที่เป้าหมาย โรงงานเอทานอลสามารถนำผลการวิจัยไปประยุกต์ใช้วางแผนและการจัดการวัตถุดิบจากมันสำปะหลังได้อย่างพอเพียงกับความต้องการใช้ผลิตเอทานอล เกษตรกรสามารถใช้เทคโนโลยีการผลิตจากผลงานวิจัย เพื่อเพิ่มผลผลิตและคุณภาพ/ลดต้นทุน และนักวิจัยสามารถนำผลวิจัยต้นแบบไปทดสอบและพัฒนาให้เหมาะสมกับพื้นที่ในเขตรับผิดชอบ และขยายผลต่อไปหรือสร้างงานวิจัยต่อยอด ซึ่งผลการวิจัยนี้ได้มีการเผยแพร่และถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่กลุ่มเป้าหมาย ข้าวฟ่างหวานสามารถเป็นพืชที่จะช่วยเสริมระบบการผลิตเอทานอลของโรงงานให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ดังนั้นจึงได้ทำการวิจัยและพัฒนาข้าวฟ่างหวานเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบผลิตเอทานอล ในพื้นที่ชลประทาน ในนาและในเขตใช้น้ำฝน เพื่อให้ได้เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการผลิต พบว่า ในเขตชลประทาน พันธุ์ BJ 248 ให้ผลผลิตต้นสดและใบสูงที่สุด 11.94 ตันต่อไร่ พันธุ์ Keller และ Wray ให้ปริมาณน้ำหีบได้สูงสุด คือ 33.57 และ 32.44 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ และพันธุ์ BJ248 และ Wray ให้เปอร์เซ็นต์ความหวานสูงสุดคือ 18.25 และ 17.60 Brix ตามลำดับ การปลูกข้าวฟ่างหวาน ควรให้น้ำที่อัตรา IW/E0.8 แต่ไม่ควรให้น้ำต่ำกว่าอัตราดังกล่าวเพราะจะทำให้ผลผลิตลดลง และการหยุดให้น้ำในช่วงการเจริญเติบโตที่เหมาะสม เพื่อลดค่าใช้จ่ายพบว่า เมื่อหยุดให้น้ำที่ระยะใบที่ 4 ให้ผลผลิตน้ำหนักต้นและใบสด 4,458-4,581 กก./ไร่น้ำหนักต้นสด 3,506-3,734 กก./ไร่และน้ำหนักเมล็ด 537-976 กก./ไร่ ส่วนโรคที่เข้าทำลาย ข้าวฟ่างหวานในสภาพธรรมชาติ พบอาการใบไหม้ที่เกิดจากเชื้อรา Exerohilum turcicum และอาการใบจุดร่วมกับอาการแผลไหม้ ขอบแผลสีเข้ม สามารถแยกได้เชื้อรา Curvularia sp. นอกจากนี้ หนอนแมลงวันเจาะยอดข้าวฟ่าง (Atherigona soccata Rondani) และเพลี้ยอ่อนอาจเป็นปัญหาในการผลิต ควรเก็บเกี่ยวข้าวฟ่างหวาน พันธุ์ Wray, Rio, KKU40 และ Suwan Sweet ที่ระยะ 25 -30 วันหลังดอกบาน พันธุ์ Suwan Sweet เป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตเมล็ดต่ำกว่าพันธุ์อื่นและเมล็ดยังมีความงอกต่ำ ขณะที่พันธุ์ Rio ให้ผลผลิตเมล็ดสูงสุดและ พันธุ์ Wray มีเปอร์เซ็นต์ความงอกสูงที่สุด การปลูกข้าวฟ่างหวานโดยมีการกำจัดวัชพืชตลอดฤดูปลูก ให้ผลผลิต 10.8 ตัน/ไร่ ข้าวฟ่างหวานสามารถทนการแข่งขันของวัชพืชได้ถึง 4 สัปดาห์ การจัดการที่เหมาะสมหลังเก็บเกี่ยว พบว่า การเก็บต้นสดไว้ในแปลงนาน 10 วัน มีผลทำให้น้ำหนักต้นสด และปริมาณน้ำคั้น ลดลง 33.4 และ19.8% ตามลำดับ สำหรับพันธุ์ มข. 40 และ 29.4 และ 28.4% สำหรับพันธุ์ Rio แต่เมื่อเก็บไว้ในแปลง นาน 6 วัน ความหวานน้ำคั้นเพิ่มขึ้น โดย เพิ่มขึ้นจาก 17.05 เป็น 18.36 %brix และจาก 15.00 เป็น 17.31 % brix ในพันธุ์ มข. 40 และพันธุ์ Rio ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม พันธุ์ Rio เมื่อเก็บไว้นานกว่า 6 วันไม่ทำให้ความหวานเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่า การเก็บต้นสดทั้งต้น ให้ปริมาณน้ำคั้นและความหวานสูงกว่าการเก็บต้นสดที่ตัดใบและช่อดอกออก อย่างมีนัยสำคัญ ผลการทดสอบเทคโนโลยีการผลิตข้าวฟ่างหวานพันธุ์ Wray Keller และ Cowler ที่จังหวัดชัยนาท ทั้ง 2 ฤดูปลูกดังกล่าว ให้น้ำหนักต้นสดเฉลี่ย 8.1-10.3 ตันต่อไร่ โดยการปลูกในฤดูฝนจะให้น้ำหนักต้นสดสูงกว่าการปลูกในฤดูแล้ง 27.16 เปอร์เซ็นต์ การปลูกในฤดูฝนข้าวฟ่างหวานให้ความหวานเฉลี่ย 15.16 เปอร์เซ็นต์บริกซ์ และปริมาณน้ำคั้นต้นสดเฉลี่ย 401 ลิตรต่อต้นสด 1 ตัน สูงกว่าในฤดูแล้คิดเป็น 5.9 และ 18.5 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ พันธุ์ Wray ให้น้ำหนักต้นสดและความหวานเฉลี่ยทั้งฤดูแล้งและฤดูฝน 9.9 ตันต่อไร่ และ 16.7 เปอร์เซ็นต์บริกซ์ สูงกว่าพันธุ์ Keller และ Cowler 11.2-12.5 และ 15.9-28.4 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ ในขณะที่พันธุ์ Keller ให้ปริมาณน้ำคั้นเฉลี่ยทั้ง 2 ฤดูดังกล่าวสูงสุด คือ 470 ลิตรต่อต้นสด 1 ตัน ในเขตพื้นที่อาศัยน้ำฝน จังหวัดนครสวรรค์ พบว่าข้าวฟ่างสายพันธุ์ Utis23585 ให้ผลผลิตต้นสดสูงสุด 15.4 ตันต่อไร่ และมีค่าความหวาน 12.4 %Brix รองลงมาคือสายพันธุ์ Wray ที่ให้ผลผลิตต้นสด 14.1 ตันต่อไร่ ค่าความหวาน 12.2 %Brix และเมื่อไว้ตอ ข้าวฟ่างหวานตอให้น้ำหนักต้นสดหลังออกช่อดอก 20 วัน เฉลี่ย 3.9 ตันต่อไร่ โดยเกือบทุกสายพันธุ์ให้น้ำหนักต้นสดหลังออกช่อดอก 2 วัน ไม่แตกต่างกันคืออยู่ระหว่าง 3.5-4.5 ตันต่อไร่ ยกเว้นพันธุ์ Wray#2 ที่ให้น้ำหนักต้นสดหลังออกช่อดอก 20 วัน ต่ำสุด 2.7 ตันต่อไร่ พันธุ์ Cowley มีค่าความหวานสูงสุด 16.8 เปอร์เซ็นต์บริกซ์ ไม่แตกต่างจากพันธุ์ BJ281 และ BJ248 ซึ่งให้ค่าความหวาน 16.2 และ 15.7 เปอร์เซ็นต์บริกซ์ ตามลำดับ การจัดการเขตกรรมในภาตตะวันออกเฉียงเหนือ พบว่าฤดูกาลปลูกมีผลต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของข้าวฟ่างหวาน โดยการปลูกในช่วงเดือนธันวาคมให้ผลผลิต 7.73 ตันต่อไร่ สูงกว่าวันปลูกอื่นๆ ส่วนค่าความหวานจะสูงเมื่อปลูกในช่วงเดือนมิถุนายนถึงกรกฎาคม เท่ากับ 20.94 และ 22.18 องศาบริกซ์ ตามลำดับ ส่วนการปลูกในช่วงฤดูฝน พบว่า เดือนมิถุนายนข้าวฟ่างหวานให้ผลผลิตสูงกว่าปลูกล่าไปเดือนกรกฎาคมหรือเดือนสิงหาคม การหว่านปุ๋ยหมัก อัตรา 500 กิโลกรัมต่อไร่ก่อนปลูก ทำให้มวลชีวภาพทั้งน้ำหนักสด และผลผลิตเมล็ดที่ความชื้น 14 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่าวิธีการไม่หว่าน แต่ไม่ทำให้ปริมาณน้ำคั้นที่ได้ (มิลลิลิตรต่อกิโลกรัม ณ ความชื้น 70 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนัก) ค่าความหวานบริกซ์ และเส้นใยของมวลชีวภาพของข้าวฟ่างเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด และพบว่า ข้าวฟ่างที่ปลูกในดินชุดน้ำพองให้ปริมาณค่าความหวานของน้ำคั้น และเส้นใยสูงกว่าดินชุดสตึก-ตื้นอย่างเด่นชัด และข้าวฟ่างพันธุ์ริโอที่ปลูกในดินชุดน้ำพอง จ.ขอนแก่น ให้มวลชีวภาพทั้งน้ำหนักสดและแห้งสูงกว่าดินชุดสตึก-ตื้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เนื่องจาก ดินชุดน้ำพอง ที่ไร่เกษตรกร อ.โคกโพธิ์ชัย มีชั้นดินที่ลึกกว่า และมีปริมาณและการกระจายของฝนที่สม่ำเสมอ เหมาะสมกว่าดินชุดสตึก-ตื้น แม้ว่าจะมีปริมาณฝนตลอดฤดูปลูกเพียง 525 มิลลิเมตร การเก็บเกี่ยวที่ระยะ Soft dough และHard dough ให้น้ำหนักต้นสดและบริกซ์สูงกว่าระยะอื่น การจัดการผลิตข้าวฟ่างหวานในสภาพก่อนนาและหลังนา พันธุ์ Wray ให้ผลผลิตต้นสดและปริมาณน้ำคั้นสูงสุด และให้ผลผลิตต้นสดสูงสุดเมื่อไว้ตอ การใช้อัตราปลูก 32,000 ต้น/ไร่ (50 x 10 ซม.) ให้ผลผลิตต้นสดและปริมาณน้ำคั้นสูงสุด การใช้ปุ๋ยไนโตรเจน 25 กก./ร่ โดยแบ่งใส่ 2 ครั้ง ให้ผลผลิตต้นสดและปริมาณน้ำคั้นสูงสุด การใช้สารกำจัดวัชพืชหลังงอก Butachlor และ Thiobencarb มีประสิทธิภาพการควบคุมวัชพืชในแปลงข้าวฟ่างหวานได้ดี การใช้สารกำจัดวัชพืช หรือ ดายหญ้า 1 ครั้ง ให้ผลผลิตต้นสดและปริมาณน้ำคั้นสูง แมลงศัตรูข้าวฟ่างหวานที่สำคัญ คือ หนอน แมลงวันเจาะยอด และ หนอนเจาะลำต้น ระบบการจัดการการผลิตอ้อยเพื่อผลิตเอทานอล ในอ้อยกลุ่มพันธุ์ที่มีอัตราการเจริญเติบโตเร็ว การจัดการควรทำดังนี้ ถ้าปลูกเดือนมีนาคม อายุเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมคือตัดอ้อยปลูกที่อายุ 10 เดือนและอ้อยตอที่อายุ 10 เดือน ส่วนอ้อยที่ปลูกเดือนกันยายน ควรตัดอ้อยปลูกที่อายุ 12 เดือนและตัดอ้อยตอ 8 เดือน เนื่องจากถ้าอยู่ในสภาวะที่อ้อยสามารถเติบโตต่อได้การเก็บเกี่ยวที่อายุมากขึ้นทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นตามอายุ ส่วนการเขตกรรมที่เหมาะสมของอ้อยพลังงาน พบว่า การปลูกโดยใช้ตาเขียว งอกได้ดีกว่าตาแก่และตาอ่อนใต้ใบเขียว เมื่อนำต้นกล้าไปปลูกในแปลงเป็นแถว ระยะระหว่างแถว 1 เมตร ระหว่างหลุม 50 เซนติเมตร ยาว 8 เมตร ต้นอ้อยที่ปลูกจากทุกลักษณะตามีอัตราการสร้างใบและการเพิ่มความสูงไม่แตกต่างกัน ผลผลิตจากต้นที่ปลูกด้วยตาสดสูงกว่าที่ปลูกจากตาแก่ เพราะมีจำนวนลำเก็บเกี่ยวมากกว่าเนื่องจากแตกกอได้ดีกว่า พันธุ์ BC04-291 BC04-588 ให้ผลผลิตสูงกว่าอ้อยปกติ K88-92 และมีจำนวนลำเก็บเกี่ยวมากกว่า การเจริญเติบโตและการสะสมน้ำหนักของอ้อยพลังงาน 2 โคลนพันธุ์ BC 04-291 และ BC 04-588 ทั้ง 2 พันธุ์เข้าสู่ระยะออกดอกในช่วงเดือนพฤศจิกายน ดอกบานต้นธันวาคมพันธุ์ BC04-588 มีใบรวม 43.3 ใบ อัตราการสร้างใบ 0.143 ใบต่อวัน ความสูงสุดท้าย 330 เซนติเมตร อัตราการเพิ่มความสูง 1.130 เซนติเมตรต่อวัน น้ำหนังแห้งรวมสูงสุด 3,308 กรัมต่อตารางเมตร พันธุ์ BC04-291 มีใบรวม 39.7 ใบ มีอัตราการสร้างใบ 0.136 ใบต่อวัน ความสูงสุดท้าย 359 เซนติเมตร อัตราการเพิ่มความสูง 1.252 เซนติเมตรต่อวัน น้ำหนักแห้งรวม 3,701 กรัมต่อตารางเมตร ส่วนการให้ผลผลิตที่ระยะปลูกต่างๆ โคลนพันธุ์ BC04-452 ระยะแถว 0.8 1.0 1.2 และ 1.4 เมตร ทุกระยะปลูกมีจำนวนลำเก็บเกี่ยวไม่ต่างกัน และให้ผลผลิตลำและผลผลิตชีวมวลไม่แตกต่างกันทั้งในอ้อยปลูกและอ้อยตอ การประเมินศักยภาพการให้ผลผลิตชีวมวลของโคลนพันธุ์อ้อยพลังงาน พบว่า ในอ้อยปลูกอ้อยพลังงาน ให้ผลผลิตลำอ้อย 15.17-18.86 ตันต่อไร่ ละผลผลิตชีวมวล 7.17-8.14 ตันต่อไร่ ไม่แตกต่างจากอ้อยการค้า ขอนแก่น 3 ในด้านผลผลิตน้ำตาล พันธุ์ขอนแก่น 3 ให้ผลผลิตน้ำตาล 2.85 ตันซีซีเอสต่อไร่ สูงกว่าอ้อยชีวมวลทุกพันธุ์ แต่ผลผลิตน้ำตาลรวมมีอ้อยพลังงาน 7 พันธุ์ที่ให้ผลผลิตไม่แตกต่างจากพันธุ์ขอนแก่น 3 ที่ได้ผลผลิตน้ำตาลรวม 3.64 ตันต่อไร่ และ พันธุ์ BC1 04-580 ให้ผลผลิตไฟเบอร์ 2.90 ตันไฟเบอร์ต่อไร่ สูงกว่าพันธุ์ขอนแก่น 3 และกลุ่มพันธุ์อ้อยพลังงานจะให้ผลผลิตอ้อยตอได้ดีกว่าพันธุ์ขอนแก่น 3 การศึกษาระบบการผลิตมันเทศเพื่อผลิตเอทานอล ประกอบด้วยการจำแนกและกำหนดพื้นที่เป้าหมายการปลูกมันเทศสำหรับผลิตเอทานอล ในภาคเหนือตอนล่าง และจังหวัดขอนแก่น การประเมินพันธุ์มันเทศที่มีแป้งสูงเพื่อผลิตเอทานอลในวันปลูกต่างๆ การศึกษาการผลิตต้นพันธุ์มันเทศ การควบคุมด้วงงวงมันเทศด้วยวิธีต่างๆ การทดลองผลของปุ๋ยต่อผลผลิตและแป้งมันเทศ การคัดเลือกพันธุ์มันเทศเพื่อผลิตเอทานอล และการทดสอบชุดเทคโนโลยีการผลิตมันเทศเป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตเอทานอล พบว่า พื้นที่ที่มีศักยภาพของเขตภาคเหนือตอนล่าง อยู่ที่อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ปลูกในฤดูฝนตามเชิงเขา และที่อำเภอบึงนาราง จังหวัดพิจิตร ปลูกสลับกับอ้อยในฤดูฝนและปลายฝน ในจังหวัดขอนแก่น มีพื้นทีเหมาะสม 272,098 ไร่ การปลูกในสภาพนาและให้น้ำในฤดูแล้ง ควรปลูกปลายเดือนธันวาคมถึงปลายเดือนมกราคมจะได้ผลผลิตสูง ในขณะที่ในสภาพนาอาศัยความชื้นในดินหลังฤดูทำนา ควรปลูกช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนถึงกลางเดือนธันวาคม ส่วนการปลูกในสภาพไร่อาศัยน้ำฝนในฤดูฝนควรปลูกต้นฤดูในเดือนพฤษภาคมและปลูกปลายฤดูในเดือนสิงหาคม หน่อพันธุ์ขนาด 10 เซนติเมตรขึ้นไป หรือยอดพันธุ์ที่ได้จากการใช้หัวปลูก สามารถใช้เป็นวัสดุปลูกได้เช่นเดียวกับยอดพันธุ์ที่ได้จากเถาหลังเก็บเกี่ยว ยอดพันธุ์มันเทศมีอายุเก็บรักษาสั้น ต่ำกว่า 7 วัน การใช้หัวทุกขนาดที่ใช้บริโภคโดยทั่วไปปลูกสามารถแบ่งหัวเป็น1/2 ส่วน ก่อนปลูกทำให้เพิ่มปริมาณหน่อปลูกได้ การใช้พลาสติกคลุมแปลง มีการเข้าทำลายของด้วงงวงมันเทศน้อยที่สุด ให้ผลผลิตน้อยที่สุด การใช้ไส้เดือยฝอยให้ผลผลิตสูง มีการเข้าทำลายของด้วงงวงน้อยแต่ค่าใช้จ่ายสูง การใช้แกลบคลุมให้ผลผลิตสูงและมีการทำลายของ ด้วงงวงไม่มาก พันธุ์พจ. 65-16 และพันธุ์จีนให้ผลผลิตสูง มีปริมาณแป้งในระดับปานกลาง มีขนาดหัวโตเหมาะสำหรับผลิตเพื่ออุตสาหกรรม และมีดรรชนีเก็บเกี่ยวค่อนข้างสูงในฤดูแล้ง การปลูกมันเทศหลังฤดูทำนาอาศัยความชื้นในดินแนะนำให้ปลูกพันธุ์ พจ.65-16 ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 ไร่ละ 100 กก. เก็บเกี่ยวอายุ 3 เดือน การปลูกมันเทศให้น้ำในฤดูแล้งและการปลูกมันเทศในสภาพไร่ฤดูฝนอาศัยน้ำฝนแนะนำให้ปลูกพันธุ์ จีน เก็บเกี่ยวที่อายุ 3 เดือนครึ่ง
บทคัดย่อ (EN): Research and development of oil palm plantation management for Bio-diesel Production in the southern region of Thailand that the main growing area of oil palm (Suratthani, Nakorn Srithumarat Chumphon Ranong Krabi and Trung province) and other regions. The reports of the study for oil palm production policy of Thailand. The experiments were conducted during October 2005 to September 2010. The first experiments showed that potential yield (FFB:fresh fruit bunch) were higher than yield profile during 3,823-6,416 kg./rai/year. Because of oil palm plantations are suitiable and farmers have a good agricultural practical field experience. In the others hand, there are any plantations that low potential yield such as 592, 1,090, 1,077, 1,148, 2,154 and 1,402 kg./rai/year. The limiting factors for oil palm cultivation that are the problems of farmers such as understandard variety, unsuitable fertilizer management and soil site preparation, lack of knowledge harvesting process. In the easthern region East (Chonburi, Chanthaburi and Trat) were 4-6 years old oil palm yield of 780, 1,473 and 1,086 kg / rai/ year, respectively, Over 6-13 years old oil palm yield were 2103, 2847 and 2323 kg / rai/ year. Last year the yields is much in the rainy months are July and August and decreased during the dry season. Including November December January February and March. The oilpalm fresh fruit bunch yield the most plantation with full management of key elements. Along with organic fertilizer with In addition, it was found that the fertigation with fresh fruit bunch yield more than a plantaion without fertigation management. Northeast Amnat Charoen oilpalm production, age 7-10 years, averaging about 3.2 to 3.5 tons / rai Sisaket province, age 7-8 years, yield about 2 tons / rai. In . Nachaluai, Ubonratchathani yield of about 1.8 to 2.3 tons / rai, Nong Khai province. oilpalm yield assessment of aged 3-4 years were in the range of 900-1600 kg / rai / year, the conversion of 6 years of age Nong Khai Research Center, , yield of 2.1 tons / rai / year, Loei provinces, oil palm age 5-7 years average yield 1500-1900 kg / rai / year. Nakhon Phanom province, 1700 -1900 tons yield / rai / year. Kalasin province. 9 years old oil palm yield 572.5 kg / rai and Udon Thani. 4 year old oilpalm yield 104.7 kg / rai was found that the problem of low yields. Because the area is planted in the rain is not enough. In Central and Western region of Thailand is new plantation oilpalm. The problem in this area were all knowledge of oilpalm. For the yield in this area didn’t had data. Growing ratio of oilpalm were the same in southern. For yield profile and growing ratio had to collect more data in this two region. In Study of nursery management . This study were study for possibility of nursery in Thailand. For the data can used for evaluate the achievement of Strategic plan of Oilpalm and Alternative energy and evaluate the expansion of oilpalm cultivated areas. In year 2010 Had been 339 nursery did incorporated the standard nursery. Those nursery had 12,545,321 seedlings. Equivalent to planting area 0.5 million rai. During the year 2006 to 2010 are nursery production has more than 100,000 seedlings per year 43, 39, 17, 22 and 28 respectively. Represents approximately 60 percent of seedling in the market. Cultivating the nursery of small and medium sized had 467 438 267 319 and 311 nursery. Oilpalm nursery, located mainly in the southern region. Krabi amount of seedlings each year , most from the 4,223,331 seedlings and had oilpalm nursery 90 nursery. Suratthani ,followed by a nursery of the 142 nursery from seedilings 2,149,801. And nursery of private nursery distributed in all regions of the country Oilpalm production is movement of high and low for the year, Suratthani, Nakhon Si Thammarat high yields in the months August to October. Chumphon in the months February to May and August to October. Ranong province in June to September. And plantation a large company in Thasae district, Chumphon oilpalm will yield the highest during the months of May to June. And the lowest yield in December and January. In Si Kao, Trang in yield during the months of April and Low productivity. Between December and February in Krabi, Kho Phanom district in the most productive months. In Kanchanadit and Khiri Pattanikhon yield during August and September. And Kanchanadit. Yield the lowest in February and March, but in Khiri Pattanikhon. Oilpalm yields a minimum during the months of April to May. The Oilpalm plantation in the east. Last year the production is much in the rainy months are July and August and decreased during the dry season. Including November December January February and March can be used to manage the harvesting system to fit. And data to anticipate situations that may be linked palm oil production systems, palm oil, however, up and down the countrys palm oil output is related to the environment. Especially distribution of rainfall and lack of water without the water during the 10 months prior to the harvest stage. Will result in reduced yields. Study on jatropha production technologies for good production system management in the order that sufficiency materials in biodiesel production. The result show the comparison treatment in plant / row type. The first group A34 line have total yield in 3 years is 1,819.88 kg/ha. that higher than another line, the secondary A30 and A03 are 1,518.75 and 1,352.75kg/ha., respectively. The second group found B34 is highest yield line in 3 years are 1,514.25 kg/ha, B32 and B26 total yield are 972.88 and 972.63 kg/ha, respectively. And 12 local varieties plots that found GB07-04 have highest yield is 2,031.06 kg/ha, the secondary are B-0403, 18/36 yield are 1,947.44 and 1,844.5 kg/ha, respectively. DNA finger print for identification and breeding analysis by Amplified Fragment Length Polymorphism technique (AFLP) found that jatropha classify are 12 sample, in group A, there are similarity genetic sample at 0-0.12 significant so there are the same origin, in the other hand there are wide genetic relationship. Simple sequence repeat (SSR) were primer test and selection, there are 39 base pairs, found that the primer have unclear DNA strip that can not identify between 32 sample. The jatropha planting cost showed the total product of ridge production type in 3 years are 2,583.31 baht/ha, the average yield are 2,083.31 kg/ha, the planting coast of semi-commercial and commercial are 9,850 and 69,060.44 baht/ha, the average yield and the average yield are 4,583.31 and 4,375 kg/ha., respectively. The flexibility of jatropha planting space, in the third year found 1x1 metre planting space have highest yield is 450 kg/ha, the secondary 1x1x3 and 2x2 metre are 343.75 and 318.75 kg/ha, respectively. Jatropha planting model by irrigation with 15-15-15 chemical fertilizer found that jatropha average yield in 1,2,3 and 4 years are 1,179.38, 1,497.5, 732.5 and 907.5 kg/ha, respectively. The irrigation model found that jatropha have yield 765 kg/ha. that lesster than non-irrigation 1,050 kg/ha. 15-15-15 fertilizer in 281.25 kg/ha is high yield 1,101.88 kg/ha. The study on trim and branch number control in 3 years found that when trim and branch number control ;11-15 branch/plant have highest yield 1,274.38 kg/ha, the secondary are trim and branch number control ; 6-6 branch/plant, and trim and not control of branch number have similar yield are 1,210.63 and 1,208.13 kg/ha, respectively but the yield in non trim are 1,000.63 kg/ha. The pest insect that found every jatropha planting area is mealybug, the elimination is Dinotefuran (Starkle 10 % WP) in 10g/20 litre ratio. Another pest insect that found ie, thrip, scale insect, shield backed bugs, whiteflies and broad mite. The climate change has an effect on pest insect breakout. In 2009-2010, the result show rain split whole year so there are some mealybug, part of planting area that apply fertilizer and watering found disease spread ie, leaf spot disease, anthracnose and fruit rot, stem rot disease, powdery mildew and disease in germination stage, in the field that non watering and less fertilizing found anthracnose and fruit rot. The virulent damage disease are stem rot disease and anthracnose that make fruit falling and leaf blast seem the hot water blast, the symptom will disappear when have humidity. Flexibility harvest management period is inquire from black or brown jatropha fruit, and high temperature preserve cause of into the seed that have high oxidation more than oil. Oil form preserve, oil quality ie, IV, PV and AV have some change although more than 6 months but the seed form preserve, oil quality will change so fast and there are high oxidation. Management system of cassava production for ethanol manufacture in the area around ethanol plants was facing unsuitable land used, unfertile soil and insufficient rain fall or dry spell. Therefore farmers received low root yield, yield quality and high production cost. The ethanol plants got unstable raw materials supply, under or over supply often occurs. Planting and harvesting dates of the farmers were not correspondence to the plants demand. To meet the requirement of rapidly large and stable demand of cassava roots for ethanol production, this study focused on management systems of cassava production for raw material supplied to the plants. Three experiments were carried out. The first trial was a study on yield potential of cassava production in areas around the plants. The second trial was a research and development on cassava production technology which was suitable for the buffer areas. The third trial was a study and development on cassava production systems for raw materials supplied to the ethanol manufacture. The experiments were conducted at Field Crops Research Centers, Agricultural Research and Development Centers and farmer fields in 8 provinces during October 2005 to September 2010. Results of the first experiments showed mapping of potential yield of cassava root yield in the area around 5 ethanol plants or expected situation of the plants. About 31.5 to 92.5 % of the area around each factory showed to provide a potential yield of ? 5 tons of cassava root yield/rai. Results of the second trial showed that suitable varieties for each area were as following; Rayoong 72 for Khon Khaen(Warin soil series) and Lopburi(Pak Chong soil series) areas, Rayoong 5 for Nakornrachasima area(Si Khiu soil series), except Chok Chai soil series which was suitable for var. Huaybong 60 , Rayong 9 and Rayong 11,but Huaybong 60 and Rayong 9 for Nakorn Sawan (Lop Buri and Wang Hai soil series), and Rayong 9 and Rayong 7 for Prachinburi(Kabin Buri soil series) and Rayong (Huai Pong soil series) areas. Suitable planting dates around the year for high root yield and high starch percentage were early March and mid of July. However, the root yields were increased depending on harvesting date. In the field which stalks were cut for propagation at 10 and 12 months , root yield should be harvested during 6-7 and 4-5 months after stalk cutting respectively, to get high root yield and high starch percentage. Applications of chicken manure at the rate of 1,000 tons per rai with chemical fertilizer (15-7-18 of N-P2O5-K2O) at the rate of 50 kg/rai and green manure (jack bean) was the most effective integrated soil management system on loamy sand soil. For fertile soil containing N-P2O5-K2O more than the critical value, especially in Takhli, Lop Buri ,Wang Hai soil series, chemical fertilizer should be applied at the rate of 0.5 of N-P2O5-K2O of the analytical recommendation. This fertilizer application rate could decrease cost and increase profit comparing to farmer used fertilizer rate. In sandy loam soil, irrigation should be operated when 60-80 % of accumulated evaporation reached 60 milliliters by Evaporation pan (40 ml/time at fortnight intervals). However, irrigation during 2-5 months after planting provided high root yield as well as irrigations through out the growing season (when soil moisture < 10 %). Irrigation every 3 months intervals (during 2 to5 months after planting) provided root yield and starch percentage as well as irrigations every 1 months intervals. Results of the third trial provided a model of cassava production for adequate root yield of cassava to meet the requirement of the ethanol manufacture. Appropriate planting area selection by using cassava yield potential map and appropriate technologies of cassava production to increase root yield and yield quality or decrease cost should be determined. Planting and harvesting system should also be managed to ensure that there would be sufficient raw materials for the ethanol plants. From this research results, the ethanol plants can apply for cassava production management system to get enough raw materials for ethanol production. Whereas farmers can get high root yield, high starch percentage and decrease cost. Researchers can use the research model to test and develop to suit for another area. The finding technology was also transferred to target groups. Research and development of sweet sorghum as a raw material for ethanol production was conducted in irrigation area, rainfed and paddy soil. The objectives of this study are to evaluate yield performances of sweet sorghum under suitiable technology. Thera are conclusion of these experiments that were DOA recommendations such as BJ 248 variety has the higher stalk fresh yield 11.94 ton/rai and 18.25 Brix. Water uses in Sweet sorghum at IW/E 1.0 and IW/E 0.8 are appropriate irrigation because of increase yield 50.2-55.2 % more than IW/E 0.0, 0.2,0.4 and 0.6. Irrigation management stop at 4 leaf collar stage did decrease cost of water uses and high yielding 4,458-4,581 kg./rai. Study on plant pathology found that Exerohilum turcicum and Curvularia sp.are fungi damage leaf . Recommendation for Harvesting stage at 25-30 days after anthesis. Under irrigation conditions, BJ 248 yielded highest stock and fresh leaves. Keller and Wray gave juice quantity of 33.57 and 32.44 percent respectively. BJ248 and Wray had higher sweetness (18.25 and 17.60 Brix, respectively). For irrigation management studies, it was suggested that irrigation should be applied at a rate of 80% evaporation during the period from 4th leaf stage until dough stage. Leaf blight caused by fungi Exerohilum turcicum and clinical leaf spot with symptoms burns edge wound dark isolated fungus Curvularia sp. were a major diseases for sweet sorghum. In addition, worms, flies, pierced top millet (Atherigona soccata Rondani), and aphids were major insects of sweet sorghum. The results suggested that sweet sorghum varieties Wray, Rio, KKU40 and Suwan Sweet should be harvested at 25 -30 days after flowering. Rio gave the highest seed yield, whereas Suwan Sweet yielded the lowest. Wray had the highest percentage of germination. Sweet sorghum could withstand the competition of weeds for up to 4 weeks. Leave the sweet sorghum plants for 10 days in the field after harvest reduced 33.4% of stock fresh weight and 19.8% of juice quantity. Sweetness of juice, however, increased with increasing period of leaving sweet sorghum plants in the field up to 6 days after harvest. The rainy season growing produced 27.16% stock fresh weight 18.5% juice quantity and 5.9% sweetness higher than the dry season growing. Study on sweet potato production system for ethanol production composed of classification and target on sweet potato planting for ethanol production in the lower North and in upper Northeast region, evaluation of high starch sweet potato varieties in different sowing dates, study on sweet potato planting materials, control on sweet potato weevils with various treatments, selection on sweetpotatos for ethanol production, and test on the package technology of sweet potato production for producing ethanol. The study revealed that potential producing area in lower North was in Amphoe Nakorn Thai, Pisnuloke province where sweet potatoes were grown in rainy season on foot hills and in Amphoe Bueng Rang, Pichitr Province where they were alternate to sugarcane in rainy season and post rainy season. In Khon Kaen province, appropriated sweet potato planting area was 272,098 rais in approximately. Sweet potato cultivated in paddy field with irrigation in summer should be planted by the end of December until end of January while sweet potato cultivated in paddy field using residual moisture should be grown during the end of November to mid December. In rainy season, the appropriated planting dates were early May and end of August. Sweet potato roots were larger than 10 centimeters or shoots sprouted from roots could be used for planting as well as top parts of their vines after harvesting. According to the short lasting of the vine tops, using ? divided sweet potato roots to grow is recommended to increase more planting material. Using plastic sheet cover sweet potato field minimized weevil damage and increase root yield while applying nematode gave high yield, minimized weevil damage but costly. Using rice husk cover sweet potato field gave high sweet potato yield, minimized weevil damage and seemed practically. Varities PJ65-16 and China were high yield, moderate starch content, large roots and quite high harvest index. The recommend for growing sweet potato in paddy field with residual moisture was: growing PJ 65-16, applied 13-13-21 Kg of N-P2O5-K2O/rai and harvested at 3 months after planting. While growing sweet potato with irrigation in summer and in rainfed condition, China variety harvested at 3 and half month old was recommended.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: กรมวิชาการเกษตร
คำสำคัญ: อ้อย
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
โครงการวิจัยการศึกษาระบบการจัดการการผลิตวัตถุดิบจากพืชสำหรับผลิตพลังงาน
กรมวิชาการเกษตร
30 กันยายน 2553
การผลิต Inulin และ Oligofructose จากกล้วยเพื่อใช้เป็นสารเสริมอาหาร การศึกษาสภาพการผลิตมะนาวในจังหวัดเพชรบุรี โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสับปะรด การศึกษาสภาพการผลิตและการตลาดผักพื้นบ้าน การศึกษาการผลิตและผลตอบแทนการผลิตต้นไหลสตรอเบอรี่ โครงการวิจัยและพัฒนาการผลิตละมุดอย่างมีคุณภาพ พืชอ้างอิงสำหรับประเมินการตรึงไนโตรเจนโดย N Isotope Dilution Technique โครงการวิจัยศึกษาเศรษฐกิจการผลิตยางในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การพื้นฟูดินสันป่าตองด้วยหญ้าแฝกเพื่อเพิ่มผลิตมันสำปะหลัง การจัดการโรงเรือนเพื่อเพิ่มผลผลิตและคุณภาพผัก
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก