สืบค้นงานวิจัย
การใช้สมุนไพรสมุนไพร "กรวยป่า" และ"หนอนตายอยาก" ควบคุมพยาธิภายนอกไก่พื้นเมืองและโค
ทินกร ทาตระกูล - มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
ชื่อเรื่อง: การใช้สมุนไพรสมุนไพร "กรวยป่า" และ"หนอนตายอยาก" ควบคุมพยาธิภายนอกไก่พื้นเมืองและโค
ชื่อเรื่อง (EN): Uses of Caseania grewifolis Vent., and Stenoma tuberosa Lour. to control external Parasites of native chicken and cattle
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: ทินกร ทาตระกูล
บทคัดย่อ: การใช้สมุนไพรกรวยป่าและหนอนตายอยาก สกัดด้วยน้ำกลั่นและเอทานอลระดับต่าง ๆ 3 ระดับ คือ 20 30 และ 40 เปอร์เซ็นต์เพื่อควบคุมพยาธิภายนอกไก่พื้นเมืองและโค แบ่งออกเป็น 3 การทดลอง การทดลองที่ 1 เป็นการทดลองในไก่พื้นเมืองที่เลี้ยงบนกรงตับแบบขังเดี่ยว วางแผนการทดลองแบบ Factorial in CRD แบ่งออกเป็น 12 กลุ่มแต่ละกลุ่มประกอบด้วย 3 ซ้ำ แต่ละซ้ำใช้ไก่พื้นเมืองอายุ 4 เดือน จำนวน 4 ตัวต่อซ้ำ และเลี้ยงไก่เพื่อศึกษาเปรียบเทียบอีก 1 กลุ่มคือไก่ที่ไม่ฉีดพ่นสารใด ๆ รวมไก่พื้นเมืองที่ใช้ทั้งสิ้น 144 ตัว ใช้อาหารที่คำนวณจากโปรแกรม CAFF ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เลี้ยงไก่พื้นเมืองตามปกติ ให้อาหารวันละ 2 ครั้ง คือเวลาเช้าและเย็น เวลานาน 3 ช่วง (ช่วงละ 28 วัน) ก่อนการทดลองนำไก่พื้นเมืองทุกตัวมาปรับสภาพโดยใช้คารืบอนเตตราคลอไรด์ปริมาณ 10 มิลลิลิตรชุบสำลี ใส่ลงในถุงพลาสติกขนาดใหญ่ จากนั้นนำไก่พื้นเมืองที่ใช้เทปกาวปิดมัดบริเวณที่มีคมในตัวไก่ทุกจุดเพื่อป้องกันไม่ให้ไก่ดิ้นเป็นเหตุให้ถุงพลาสติกขาดเป็นรู ก่อนใส่ไก่ในถุงทำการขัดปีกไก่ให้เรียบร้อยก่อน นำไก่พื้นเมืองจำนวน 1 ตัว ต่อ 1 ถุง ทิ้งไว้นาน 15 นาที โดยให้ส่วนหัวของไก่โผล่ออกมานอกถุงพลาสติก (อุดม,2526) เป็นตัวกำจัดพยาธิภายนอกของไก่ทดลองทุกกลุ่ม ผลปรากฎว่าไม่พบความแตกต่างทางสถิติของจำนวนพยาธิภายนอกในไก่พื้นเมืองที่ฉีดพ่นด้วยสารสกัดสมุนไพรทั้งสองชนิดและไม่พบความแตกต่างระหว่างระดับของสมุนไพรสกัดที่ใช้และวิธีการสกัด การทดลองที่ 2 เป็นการใช้สมุนไพรกรวยป่า และหนอนตายอยาก สกัดด้วยน้ำกลั่นและสารเอทานอลระดับ 20 30 และ 40 เปอร์เซ็นต์เพื่อควบคุมเห็บโค โดยฉีดพ่นสารสกัดที่เห็บโคโดยตรงในกล่องพลาสติก วางแผนการทดลองแบบ Factorial in CRD แบ่งเป็น 12 กลุ่ม และจัดกลุ่มศึกษาเปรียบเทียบอีก 3 กลุ่ม คือกลุ่มที่ไม่ได้รับสารใด ๆ กลุ่มที่ได้รับย้ำกลั่นและกลุ่มที่ได้รับสารเอทานอล แต่ละกลุ่มประกอบด้วย 3 ซ้ำ แต่ละซ้ำใช้เห็บโคจำนวน 10 ตัว รวมจำนวนเห็บโคที่ใช้ทั้งสิ้น 450 ตัว ผลปรากฏว่าสมุนไพรหนอนตายอยากมีประสิทธิภาพดีกว่าสมุนไพรกรวยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนวิธีการสกัดด้วยสารเอทานอลมีผลต่ออัตราการตายของเห็บโคมากกว่าการสกัดด้วยน้ำกลั่นในช่วง 4 และ 5 วันของการทดลอง โดยระดับสมุนไพรที่ใช้ 20 เปอร์เซ็นต์ จะมีผลต่ออัตราการตายของเห็บโคน้อยกว่าการใช้สารสกัดในระดับ 30 และ40 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ นอกจากนี้ไม่พบอัตราการตายของเห็บโคในวันที่ 1, 2 และ 3 ของการทดลอง และเห็บโคที่ได้รับสารสกัดสมุนไพรตายหมดทุกกลุ่มในเวลา 11 วันของการทดลอง แต่กลุ่มเปรียบเทียบไม่พบอัตราการตาย การทดลองที่ 3 เป็นการนำสมุนไพรกรวยป่ากลั่นด้วยวิธีพื้นบ้านในระดับ 20 30 และ 40 เปอร์เซ็นต์เพื่อควบคุมเห็บโค โดยจุ่มเห็บในสารสกัดกรวยด้วยวิธีพื้นบ้าน จากนั้นนำเห็บมาเลี้ยงในกล่องพลาสติกที่เจาะรูหายใจไว้ให้ วางแผนการทดลองแบบ Factorial in CRD แบ่งเป็น 4 กลุ่ม แต่ละกลุ่มมี 3 ซ้ำ แต่ละซ้ำใช้เห็บโคจำนวน 10 ตัว รวมจำนวนเห็บโคที่ใช้ทั้งสิ้น 120 ตัว ผลปรากฏว่าระดับสมุนไพรที่ใช้ 20 เปอร์เซ็นต์จะมีผลต่ออัตราการตายของเห็บโคน้อยกว่าการใช้สารสกัดในระดับ 30 และ 40 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติ ไม่พบอัตราการตายของเห็บโคที่ได้รับสารสกัดสมุนไพรด้วยวิธีพื้นบ้านทุกกลุ่มในวันที่ 1 และ 2 แต่พบว่าจะตายหมดภายใน 7 วันของการทดลอง ยกเว้นกลุ่มเปรียบเทียบไม่พบอัตราการตาย นอกจากนี้พบว่าเห็บที่ได้รับสารสกัดสมุนไพรด้วยวิธีพื้นบ้านจะไม่เคลื่อนไหวภายใน 24 ชั่วโมงหลังได้รับสาร จากนั้นจะออกไข่มากผิดปกติ และตัวมีสีเหลืองลีบแบน และตายในที่สุด
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เอกสารแนบ: http://dcms.thailis.or.th/dcms/dccheck.php?Int_code=44&RecId=165&obj_id=962
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
คำสำคัญ: สมุนไพร
เจ้าของลิขสิทธิ์: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
รายละเอียด: การใช้สมุนไพรกรวยป่าและหนอนตายอยาก สกัดด้วยน้ำกลั่นและเอทานอลระดับต่าง ๆ 3 ระดับ คือ 20 30 และ 40 เปอร์เซ็นต์เพื่อควบคุมพยาธิภายนอกไก่พื้นเมืองและโค แบ่งออกเป็น 3 การทดลอง การทดลองที่ 1 เป็นการทดลองในไก่พื้นเมืองที่เลี้ยงบนกรงตับแบบขังเดี่ยว วางแผนการทดลองแบบ Factorial in CRD แบ่งออกเป็น 12 กลุ่มแต่ละกลุ่มประกอบด้วย 3 ซ้ำ แต่ละซ้ำใช้ไก่พื้นเมืองอายุ 4 เดือน จำนวน 4 ตัวต่อซ้ำ และเลี้ยงไก่เพื่อศึกษาเปรียบเทียบอีก 1 กลุ่มคือไก่ที่ไม่ฉีดพ่นสารใด ๆ รวมไก่พื้นเมืองที่ใช้ทั้งสิ้น 144 ตัว ใช้อาหารที่คำนวณจากโปรแกรม CAFF ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เลี้ยงไก่พื้นเมืองตามปกติ ให้อาหารวันละ 2 ครั้ง คือเวลาเช้าและเย็น เวลานาน 3 ช่วง (ช่วงละ 28 วัน) ก่อนการทดลองนำไก่พื้นเมืองทุกตัวมาปรับสภาพโดยใช้คารืบอนเตตราคลอไรด์ปริมาณ 10 มิลลิลิตรชุบสำลี ใส่ลงในถุงพลาสติกขนาดใหญ่ จากนั้นนำไก่พื้นเมืองที่ใช้เทปกาวปิดมัดบริเวณที่มีคมในตัวไก่ทุกจุดเพื่อป้องกันไม่ให้ไก่ดิ้นเป็นเหตุให้ถุงพลาสติกขาดเป็นรู ก่อนใส่ไก่ในถุงทำการขัดปีกไก่ให้เรียบร้อยก่อน นำไก่พื้นเมืองจำนวน 1 ตัว ต่อ 1 ถุง ทิ้งไว้นาน 15 นาที โดยให้ส่วนหัวของไก่โผล่ออกมานอกถุงพลาสติก (อุดม,2526) เป็นตัวกำจัดพยาธิภายนอกของไก่ทดลองทุกกลุ่ม ผลปรากฎว่าไม่พบความแตกต่างทางสถิติของจำนวนพยาธิภายนอกในไก่พื้นเมืองที่ฉีดพ่นด้วยสารสกัดสมุนไพรทั้งสองชนิดและไม่พบความแตกต่างระหว่างระดับของสมุนไพรสกัดที่ใช้และวิธีการสกัด การทดลองที่ 2 เป็นการใช้สมุนไพรกรวยป่า และหนอนตายอยาก สกัดด้วยน้ำกลั่นและสารเอทานอลระดับ 20 30 และ 40 เปอร์เซ็นต์เพื่อควบคุมเห็บโค โดยฉีดพ่นสารสกัดที่เห็บโคโดยตรงในกล่องพลาสติก วางแผนการทดลองแบบ Factorial in CRD แบ่งเป็น 12 กลุ่ม และจัดกลุ่มศึกษาเปรียบเทียบอีก 3 กลุ่ม คือกลุ่มที่ไม่ได้รับสารใด ๆ กลุ่มที่ได้รับย้ำกลั่นและกลุ่มที่ได้รับสารเอทานอล แต่ละกลุ่มประกอบด้วย 3 ซ้ำ แต่ละซ้ำใช้เห็บโคจำนวน 10 ตัว รวมจำนวนเห็บโคที่ใช้ทั้งสิ้น 450 ตัว ผลปรากฏว่าสมุนไพรหนอนตายอยากมีประสิทธิภาพดีกว่าสมุนไพรกรวยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนวิธีการสกัดด้วยสารเอทานอลมีผลต่ออัตราการตายของเห็บโคมากกว่าการสกัดด้วยน้ำกลั่นในช่วง 4 และ 5 วันของการทดลอง โดยระดับสมุนไพรที่ใช้ 20 เปอร์เซ็นต์ จะมีผลต่ออัตราการตายของเห็บโคน้อยกว่าการใช้สารสกัดในระดับ 30 และ40 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ นอกจากนี้ไม่พบอัตราการตายของเห็บโคในวันที่ 1, 2 และ 3 ของการทดลอง และเห็บโคที่ได้รับสารสกัดสมุนไพรตายหมดทุกกลุ่มในเวลา 11 วันของการทดลอง แต่กลุ่มเปรียบเทียบไม่พบอัตราการตาย การทดลองที่ 3 เป็นการนำสมุนไพรกรวยป่ากลั่นด้วยวิธีพื้นบ้านในระดับ 20 30 และ 40 เปอร์เซ็นต์เพื่อควบคุมเห็บโค โดยจุ่มเห็บในสารสกัดกรวยด้วยวิธีพื้นบ้าน จากนั้นนำเห็บมาเลี้ยงในกล่องพลาสติกที่เจาะรูหายใจไว้ให้ วางแผนการทดลองแบบ Factorial in CRD แบ่งเป็น 4 กลุ่ม แต่ละกลุ่มมี 3 ซ้ำ แต่ละซ้ำใช้เห็บโคจำนวน 10 ตัว รวมจำนวนเห็บโคที่ใช้ทั้งสิ้น 120 ตัว ผลปรากฏว่าระดับสมุนไพรที่ใช้ 20 เปอร์เซ็นต์จะมีผลต่ออัตราการตายของเห็บโคน้อยกว่าการใช้สารสกัดในระดับ 30 และ 40 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติ ไม่พบอัตราการตายของเห็บโคที่ได้รับสารสกัดสมุนไพรด้วยวิธีพื้นบ้านทุกกลุ่มในวันที่ 1 และ 2 แต่พบว่าจะตายหมดภายใน 7 วันของการทดลอง ยกเว้นกลุ่มเปรียบเทียบไม่พบอัตราการตาย นอกจากนี้พบว่าเห็บที่ได้รับสารสกัดสมุนไพรด้วยวิธีพื้นบ้านจะไม่เคลื่อนไหวภายใน 24 ชั่วโมงหลังได้รับสาร จากนั้นจะออกไข่มากผิดปกติ และตัวมีสีเหลืองลีบแบน และตายในที่สุด
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การใช้สมุนไพรสมุนไพร "กรวยป่า" และ"หนอนตายอยาก" ควบคุมพยาธิภายนอกไก่พื้นเมืองและโค
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา
2543
การใช้สมุนไพรอัดก้อนสำหรับควบคุมพยาธิโคเนื้อ ผลของการใช้สมุนไพรโรยวัสดุรองพื้นคอกไก่ต่อสมรรถภาพการผลิตของไข่ไก่ ผลงานสิ่งประดิษฐ์เรื่อง เครื่องผลิตสมุนไพรผงสำเร็จรูป รายงานการวิจัย เรื่อง ศึกษาความหลากหลายของพยาธิตัวตืดในไก่พื้นเมืองของอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช การศึกษาประสิทธิภาพของสมุนไพรไทยในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อ อี. โคไล ในลูกสุกร การใช้พืชสมุนไพรไทยในการเพิ่มสมรรถภาพการเจริญเติบโต และควบคุมโรคบิดในไก่เนื้อ การศึกษาการใช้ประโยชน์จากพืชสมุนไพรในเขตป่าชุมชน การรักษาเต้านมอักเสบแบบไม่แสดงอาการและแบบแสดงอาการ ในโคนมด้วยน้ำหมักสมุนไพร วิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีเครื่องหั่นสมุนไพรสำหรับทำสมุนไพรอบผิว การสำรวจพืชสมุนไพรบางชนิดบริเวณจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อแปรรูปเป็นชาสมุนไพรบำรุงสุขภาพ
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก