สืบค้นงานวิจัย
การบูรณาการเทคโนโลยีเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาการใช้ประโยชน์พื้นที่ดินเค็มบริเวณแอ่งโคราชและแอ่งสกลนคร
อรรณพ พุทธโส - กรมพัฒนาที่ดิน
ชื่อเรื่อง: การบูรณาการเทคโนโลยีเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาการใช้ประโยชน์พื้นที่ดินเค็มบริเวณแอ่งโคราชและแอ่งสกลนคร
ชื่อเรื่อง (EN): Integration of technology for reclamation and development on the utilization of soil salinity in the Korat basin and Sakon Nakhon basin
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: อรรณพ พุทธโส
บทคัดย่อ: ดินที่ได้รับผลกระทบจากเกลือซึ่งก่อให้เกิดดินเค็มที่เป็นสาเหตุให้เกษตรกรต้องมีการฟื้นฟูและจัดการเพื่อการปลูกพืช โดยการจัดการดินที่มีปัญหาดินเค็มขึ้นอยู่กับระดับของความเค็มและกระบวนการเกิดดินเค็ม เช่น การล้างเกลือและระบาย การปรับรูปพืนที่ การคลุมดิน การใช้วัสดุอินทรีย์ปรับปรุงดิน การเลือกพืชปลูก และการผสมผสานการจัดการในเชิงพื้นที่ผ่านการสร้างเครือข่ายในชุมชนผู้ที่ได้รับผลกระทบ การแพร่กระจายของพื้นที่ได้รับผลกระทบอาจเกิดจากกระบวนการทางธรรมชาติ และกิจกรรมของมนุษย์ซึ่งพบในพื้นที่แอ่งโคราชและแอ่งสกลนครในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดังนั้น การติดตามสถานการณ์ดินเค็มในพื้นที่ควรได้รับการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อนำไปสู่การจัดการดินที่เหมาะสมสำหรับระบบการปลูกพืช งานวิจัยนี้ แบ่งออกเป็น 4 ส่วน โดยส่วนที่ 1 มีวัตถุประสงค์ส่วนที่ 1 เพื่อศึกษาการกระจายตัวของคราบเกลือ ลักษณะและสมบัติทางกายภาพ และเคมีของดินในพื้นที่ตัวแทนอำเภอขามทะเลสอ อำเภอบัวใหญ่ อำเภอบำเหน็จณรงค์ อำเภอเนินสง่า อำเภอพระยืน และ อำเภอหนองหาน ในจังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น ชัยภูมิ และอุดรธานี ผลการศึกษาพบว่า การกระจายของคราบเกลือแตกต่างกันตามพื้นที่ โดยแยกเป็น 5 กลุ่ม ประกอบด้วย 1) คราบเกลือมากกว่า 50% 2) คราบเกลือ 10-50% 3) คราบเกลือ 1-10% 4) คราบเกลือน้อยกว่า 1% 5) พื้นที่ดอนที่มีชั้นหินเกลือรองรับข้างล่าง โดยกระจายตัวในพื้นที่อำเภอต่างๆ ของจังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น ชัยภูมิ และอุดรธานี โดยเฉพาะดินเนื้อหยาบบริเวณที่ลุ่ม และบริเวณชายเนินของที่ดอน ส่วนใหญ่มีการใช้ประโยชน์สำหรับปลูกข้าว นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาลักษณะและสมบัติของดินในพื้นที่โดยเฉพาะค่า ECe ของดิน พบว่า พื้นที่ที่มีคราบเกลือมากกว่า 50% ส่วนใหญ่มีค่า ECe สูงโดยเฉพาะอำเภอขามทะเลสอ (6.42-14.5 dS m-1) อำเภอบัวใหญ่ (9.9-85.5 dS m-1) จังหวัดนครราชสีมา สำหรับพื้นที่มีคราบเกลือ 10-50% และ1-10% มีค่า ECe อยู่ในช่วง 2.4-33.1 และ 0.05-6.33 dS m-1 ในขณะพื้นที่มีปริมาณคราบเกลือน้อยกว่า 1% มีค่า ECe ต่ำกว่า 1 dS m-1 นอกจากนี้ ในพื้นที่ดินส่วนใหญ่มีเนื้อดินเป็นทราย อินทรียวัตถุในดินต่ำ (<1%) ค่าร้อยละเบสที่อิ่มตัวสูงตลอดหน้าตัดดินในเกือบทุกพื้นที่ และยังพบว่า มีปริมาณธาตุอาหารในดินต่ำโดยเฉพาะพื้นที่มีคราบเกลือมากกว่า 50% ยกเว้น โพแทสเซียมที่เป็นประโยชน์ซึ่งมีในระดับสูงในบางพื้นที่ ในบางพื้นที่ถูกปล่อยทิ้งร้างไว้ไม่มีการจัดการดินยิ่งส่งผลต่อความเสื่อมคุณภาพดิน นอกจากนี้ ความร่วมมือกันของเครือข่ายชุมชนในจัดการปัญหาดินเค็มร่วมกับเครือข่ายเกษตรกรหรือชุมชนนำไปสู่การพัฒนาที่ดินอย่างยั่งยืน วัตถุประสงค์ในส่วนที่ 2 เพื่อศึกษาสภาพความชื้นและสถานภาพธาตุอาหารในดินพื้นที่ตัวแทนที่ได้รับผลกระทบจากเกลือเขตอำเภอขามทะเลสอ อำเภอบัวใหญ่ อำเภอบำเหน็จณรงค์ อำเภอเนินสง่า อำเภอพระยืน และ อำเภอหนองหาน ในจังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น ชัยภูมิ และอุดรธานี ผลการศึกษาพบว่า การแพร่กระจายดินเค็มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีเนื้อที่ประมาณ 2,666,321 ไร่ ซึ่งพบมากสุดจังหวัดนครราชสีมา โดยแยกเป็น 5 กลุ่ม ประกอบด้วย 1) คราบเกลือมากกว่า 50% 2) คราบเกลือ 10-50% 3) คราบเกลือ 1-10% 4) คราบเกลือน้อยกว่า 1% 5) พื้นที่ดอนที่มีชั้นหินเกลือรองรับข้างล่าง ดินส่วนใหญ่มีค่าความหนาแน่นรวมในดินล่างสูงกว่าดินบน (0-30 เซนติเมตร) ซึ่งพบสูงในดินที่มีปริมาณอนุภาคขนาดดินเหนียวสูง ค่าสัมประสิทธ์การนำน้ำของดิน (Ksat) มีค่ามากสุดในดินที่มีเนื้อดินทรายปนดินร่วน รองลงมา คือ ดินร่วนปนทราย ดินร่วนเหนียวปนทราย ดินเหนียวปนทรายแป้ง และดินร่วนเหนียวปนทรายแป้ง ตามลำดับ เมื่อพิจารณาความชื้นดินที่ระดับความลึกต่างๆ พบว่า ดินในพื้นที่ลุ่มจะมีความชื้นมากกว่าที่ดอน และความชื้นในดินบนต่ำกว่าดินล่าง ในดินที่มีปริมาณคราบเกลือมากกว่า 50% ของพื้นที่ มีความชื้นต่ำสุดเมื่อเทียบกับพื้นที่ที่มีคราบเกลือในระดับต่างๆ ความชื้นที่ระดับความจุความชื้นสนาม และจุดเหี่ยวถาวรมีค่าเพิ่มขึ้นตามดินที่มีปริมาณอนุภาคขนาดดินเหนียวเพิ่มขึ้นในทุกพื้นที่ที่มีปริมาณคราบเกลือต่างๆ ส่วนระดับความชื้นที่เป็นประโยชน์ต่อพืช จะเห็นว่า เมื่อดินมีปริมาณอนุภาคขนาดดินเหนียวเพิ่มขึ้นส่งผลให้ช่วงของความชื้นที่เป็นประโยชน์ต่อพืชลดลง โดยช่วงของความชื้นที่เป็นประโยชน์ต่อพืชมากที่สุดพบในดินร่วนปนทรายซึ่งมีปริมาณคราบเกลือ 1-10% (10.49%) นอกจากนี้ ยังพบว่า พื้นที่ที่มีปริมาณคราบเกลือมากกว่า 50%, 10-50% และ1-10% มีความอุดมสมบูรณ์ในระดับต่ำ ในขณะดินในพื้นที่ที่มีปริมาณคราบเกลือน้อยกว่า 1% มีความอุดมสมบูรณ์ของดินปานกลาง จะเห็นว่า สถานภาพของธาตุอาหารในดินผันแปรไปตามความชื้นในดิน วัตถุประสงค์ในส่วนที่ 3 เพื่อศึกษาการกระจายคราบเกลือต่อชนิดและปริมาณจุลินทรีย์ประกอบด้วย กลุ่มย่อยสลายอินทรียวัตถุ กลุ่มตรึงไนโตรเจนจากอากาศ กลุ่มละลายอนินทรีย์ฟอสฟอรัส และกลุ่มละลายอนินทรีย์โพแทสเซียม ในพื้นที่ตัวแทนอำเภอขามทะเลสอ อำเภอบัวใหญ่ อำเภอบำเหน็จณรงค์ อำเภอเนินสง่า อำเภอพระยืน และ อำเภอหนองหาน ในจังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น ชัยภูมิ และอุดรธานี ผลการศึกษาพบว่า การใช้ประโยชน์ที่ดินที่แตกต่างกันในพื้นที่ดินเค็มน้อยถึงเค็มจัดมีปริมาณจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ทางการเกษตร ดินมีเนื้อดินทรายปนร่วนจนถึงดินร่วนเหนียวปนทราย ค่าความเป็นกรดเป็นด่างอยู่ในช่วง 5.5-8.5 ในพื้นที่ทิ้งร้างและนาข้าวพบจุลินทรีย์ย่อยเซลลูโลสอยู่ในช่วง 104-106 โคโลนีต่อกรัมดิน และแบคทีเรียตรึงไนโตรเจนอิสระสูงสุดอยู่ในช่วง 102-103 โคโลนีต่อกรัมดิน ส่วนจุลินทรีย์ละลายอนินทรีย์ฟอสเฟต และจุลินทรีย์ละลายอนินทรีย์โพแทสเซียมพบในทุกพื้นที่การใช้ประโยชน์มีปริมาณอยู่ในช่วง 103-104 และ 103-104 โคโลนีต่อกรัมดิน ตามลำดับ ผลนี้ สรุปได้ว่า การใช้ประโยชน์ที่ดินที่ต่างกันภายใต้ดินที่มีปริมาณคราบเกลือแตกต่างกันในพื้นที่ดินเค็มแอ่งโคราชและแอ่งสกลนคร ทำให้ปริมาณจุลินทรีย์ดินที่เป็นประโยชน์แตกต่างกัน แต่ความหลากหลายของจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ไม่แตกต่างกัน วัตถุประสงค์ในส่วนที่ 4 เพื่อศึกษาสภาพพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคม ความรู้ในเรื่องการฟื้นฟูระบบนิเวศน์ดินเค็ม และปัญหาและข้อเสนอแนะของเกษตรกรการยอมรับของเกษตรกรของเกษตรกรในท้องถิ่น กลุ่มตัวอย่างเป็นเกษตรกรในพื้นที่ดินเค็มจังหวัดขอนแก่นจำนวน 50 ราย ผลการศึกษาพบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุเฉลี่ย 40.10 ปี ร้อยละ 56 จบประถมศึกษา มีสมาชิกในครอบครัว เฉลี่ย 5.72 คน ร้อยละ 44.0 เป็นสมาชิกธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ร้อยละ 48.0 เคยได้รับการฝึกอบรมความรู้ทั่วไป และเคยไปทัศนศึกษาดูงานนอกสถานที่ (ร้อยละ 32.0) สำหรับแหล่งข้อมูลความรู้เกี่ยวกับดินเค็มที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่กรมพัฒนาที่ดิน (ร้อยละ 48.0) แผ่นพับ (32.0) นอกจากนี้ เกษตรกรร้อยละ 64.0 มีเอกสิทธิ์ถือครองที่ดินเป็นโฉนดโดยมีพื้นที่ถือครอง 12.52 ไร่ ในขณะที่เกษตรกรร้อยละ 90.0 มีพื้นที่ถือครองทางการเกษตร (11.80 ไร่) เกษตรกร (ร้อยละ 96) มีรายได้ในภาคเกษตรเฉลี่ย 61,590 บาท ส่วนใหญ่มีอาชีพนอกภาคการเกษตร (ร้อยละ 71.79) และเกษตรกรส่วนใหญ่ (ร้อยละ 42) มีแหล่งสินเชื่อจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ เมื่อพิจารณาถึงสภาพปัญหาดินเค็ม พบว่า เกษตรกรมีความรู้ที่ถูกต้องเรื่องดินเค็ม (ร้อยละ 92.57) และ แนวทางการจัดการดินเค็มและการปรับปรุงดินเค็ม (ร้อยละ 90.86) เกษตรกรยอมรับแนวทางการฟื้นฟูดินเค็ม ได้แก่ การใช้เมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสด (3.12) การใช้วัสดุปูนทางการเกษตร และการผลิตและใช้สารอินทรีย์ (3.40) การใช้แกลบ ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก และปุ๋ยอินทรีย์ (3.33) การปลูกหญ้าแฝก (3.0) การงดเผาฟางและไถกลบตอซัง (3.40) การปรับรูปแปลงนา (3.40) และการปลูกไม้ยืนต้นโตเร็วหรือพืชทนเค็ม นอกจากนี้ ยังพบว่า เกษตรกรในพื้นที่ส่วนใหญ่มีปัญหาด้านผลผลิตต่ำและดินขาดความอุดมสมบูรณ์ ผลการศึกษานี้มีข้อเสนอว่า เจ้าหน้าที่ควรให้คำแนะนำ ปรึกษา และอบรมแก่เกษตรกรในการจัดการฟื้นฟูแก้ไขปัญหาดินเค็มเพื่อเพิ่มผลผลิตพืช และศึกษาการยอมรับของเกษตรกรต่อการฟื้นฟูระบบนิเวศน์ดินเค็มอย่างต่อเนื่อง
บทคัดย่อ (EN): Sat-affected soil causes major problems on soil and crop to remediation and management practices. Remediation of saly-affected soils depends upon the degree of salinity and specific salination and related to management approach including leaching and drainage, land levelling, surface mulching, organic amendment application, selection of salt tolerant species or varieties and integrated management by the community participatory network. The wide spread salt-affected soils caused by both natural and anthropogenic salination processes which scattered in the Korat and Sakon Nakhon Basins. The monitoring on the status of saline soil especially in agricultural areas is should be considered in order to management for suitable cropping system. This research work is organized into four parts. The objectives of the first part were to investigate the distribution of salt crust on surface soil and determine soil characteristic including physical and chemical properties. The Kham Thale So, Bua Yai, Bamnet Narong, Noen Sa-nga, Phra Yuen, Nong Han in Nakhon Ratchasima, Khon Kaen, Chaiyaphum and Udon thani provinces were selected as representative in Northeast of Thailand. The result found that the distribution of occurred salt crust (%) was classified into 5 groups including 1) salt crust >50% 2) salt crust 10-50% 3) salt crust 1-10% 4) salt crust 50% 2) salt crust 10-50% 3) salt crust 1-10% 4) salt crust 50%, 10-50% and1-10% had low fertility level. While, soil covered less than 1% of salt crust had medium fertility level. Our study stated that the nutrient status was related soil moisture content. The objective of the third part was to investigate the distribution of salt crust on type and quantity of microorganisms such as organic matter decomposer, nitrogen fixing bacteria, inorganic phosphorus and potassium solubilizer, was conducted in Amphoe The Kham Thale So, Bua Yai, Bamnet Narong, Noen Sa-nga, Phra Yuen, Nong Han in Nakhon Ratchasima, Khon Kaen, Chaiyaphum and Udon thani provinces in Northeast of Thailand. The result found that the useful microorganisms were found in slightly and strongly soil salinity. The soils were loamy sand to sandy loam which had pH value ranged 5.5-8.5. We found that soil under abandoned and paddy field had cellulytic bacteria and nitrogen fixation bacteria ranged 104 - 106 and 102 - 103 colony g-1 dry soil, respectively. While, the Phosphorus and potassium solubilizing bacteria were found ranged 103 -104 colony g-1 dry soil in all areas. Result of this study summarized that different land uses under different amount of scattered salt crust plays on various amount of soil microorganisms but non-significant in varieties of microorganism. The objective of the fourth part was to study on socio-economic bases on local farmers, knowledge on rehabilitation of saline soil and local farmers problems, suggestions and acceptance its rehabilitation. The 50 farmers’s interview were collected in salt-affected area in Khon Kaen province. The results found tha most of farmers are female, aged 40.10 years, 56% graduated primary education, family members 5.72 person and the 44.0% of farmers are member of Bank for Agriculture and Cooperatives. In addition, the 48.0% farmers had been trained in general knowledge and previously visited the field trip (32.0%) on saline soil management. Considering on knowledge information about saline soil, farmers received by introduction from Land Development Department’s staff (48.0%), brochure (32.0%). The 64.0% of the farmers ownerships of hoding with had average 12.52 rai, while about 90% of farmers had the agricultural land (11.8 rai). In addition, the 96% of farmers had income about 61,590 baht per year. Most of farmer worked as non-agricultural occupation (71.79%). The 42.0% of the farmers had loans from Bank for Agriculture and Cooperatives. Considering on the knowledge on saline soil, we found the 92.57% had correct knowledge about saline soils and had knowledge about saline soil management and saline soil improvement (90.86%). Farmers have accepted on rehabilitation of the saline soil at all levels such as promoting by using green manure (3.12) lime and organic materials (3.40) rice husk, cattle manure, compost and organic fertilizer (3.33), vetiver cultivation (3.0) unburning and incorporated rice straw into soil (3.40) land releveling (3.40) and tree plantation especially in paddy field. In addition, we also found that farmer’s problems in order to salt-affected soil were low yield production and low soil fertility. Our results suggested that the farmers in the salt-affected areas is to be considered on providing the knowledge employing by training, counsel and acceptance for rehabilitation to increase crop yield.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: กรมพัฒนาที่ดิน
คำสำคัญ: จุลินทรีย์ดิน
คำสำคัญ (EN): Sakon Nakhon basin
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การบูรณาการเทคโนโลยีเพื่อฟื้นฟูและพัฒนาการใช้ประโยชน์พื้นที่ดินเค็มบริเวณแอ่งโคราชและแอ่งสกลนคร
กรมพัฒนาที่ดิน
30 กันยายน 2560
ศึกษาการเจริญเติบโตของไม้ยืนต้นทนเค็มภายหลังการพัฒนาพื้นที่ดินเค็มในพื้นที่ลุ่มน้ำลำสะแทด การเปลี่ยนแปลงการแพร่กระจายคราบเกลือบนผิวดินหลังจากการพัฒนา ดินเค็มแบบบูรณาการในพื้นที่ ตำบลด่านช้าง ตำบลขุนทอง อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา การสำรวจและศึกษารูปแบบและพันธุ์หญ้าแฝกที่ใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดินเค็มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การใช้ประโยชน์จากเศษเหลือทิ้งของข้าวโพดฝักอ่อนจากโรงงานอุตสาหกรรมอาหารกระป๋อง การประยุกต์ใช้ฐานข้อมูลทรัพยากรดินและลักษณะทางธรณีวิทยาการทำแผนที่และการประเมินพื้นที่ดินเค็มเพื่อการจัดการและการปลูกพืชตามศักยภาพของดิน การเปรียบเทียบพันธุ์หญ้าแฝกทนเค็มสำหรับพื้นที่ดินเค็มจังหวัดกาฬสินธุ์ ความสำคัญของปุ๋ยพืชสดกับการพัฒนาพื้นที่ดินเค็มเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน: กรณีศึกษาในพื้นที่แปลงสาธิตหนองบ่อ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม การฟื้นฟูและการใช้ประโยชน์พื้นที่ดินเค็มเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การยอมรับโครงการป้องกันการแพร่กระจายดินเค็มของเกษตรกร การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความหลากหลายของพืชพรรณและคุณสมบัติของดินบางประการในพื้นที่ดินเค็มปานกลางบริเวณพื้นที่ลุ่มนํ้าชี
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก