สืบค้นงานวิจัย
ผลของโคเลสเทอรอลต่อการเตรียมไลโปโซมด้วยวิธีดับเบิลอิมัลชันและการนำไปใช้กักเก็บกรดแอสคอร์บิกและเบทา-แคโรทีน
ศรัล วรุณพันธุ์ - มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ชื่อเรื่อง: ผลของโคเลสเทอรอลต่อการเตรียมไลโปโซมด้วยวิธีดับเบิลอิมัลชันและการนำไปใช้กักเก็บกรดแอสคอร์บิกและเบทา-แคโรทีน
ชื่อเรื่อง (EN): Effect of cholesterol on liposomes preparation by double emulsion method and application for encapsulating ascorbic acid and beta-carotene
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: ศรัล วรุณพันธุ์
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ (EN): Saral Waroonphan
บทคัดย่อ: การศึกษาผลของโคเลสเทอรอล (cholesterol) ที่มีตอการเตรียมไลโปโซม (liposomes) โดยวิธีดับเบิลอิมัลชัน ได้ทดลองโดยเตรียมไลโปโซมด้วยฟอสฟาทิดิลโคลีน (phosphatidylcholine, PC) และโคเลสเทอรอลที่แยกได้จากไข่แดง แล้วทดสอบประสิทธิภาพในการกักเก็บสารละลายด้วยสาร 6-คาร์บอกซีฟลูออเรสซีน (6-carboxyfluorescein, CF) ก่อนที่จะใช้กักเก็บกรดแอสคอร์บิกและเบทาแรโคทีน ในการแยกสารไขมันจากไข่แดงเพื่อใช้เตรียมไลโปโซม ใช้วิธีสกัดโคเลสเทอรอลจากไขมันของไข่แดงด้วยพิโทรเลียมอีเทอร์ภายหลังการซาปอนนิฟิเคชัน แล้วตกผลึกซ้ำโดยใช้เมทานอลร้อน ผลการแยกได้ผลึกโคเลสเทอรอลที่มีความบริสุทธิ์ร้อยละ 94.16 สำหรับการเตรียม PC ใช้วิธีเจือจางไข่แดงแล้วนำไปแช่แข็งที่ -20 องศาเซลเซียส นาน 24 ชั่วโมง เมื่อทำให้ละลายแล้วแยกตะกอนไลโปโปรตีนมาสกัด PC ด้วยเอทานอล แล้วจึงตกตะกอน PC ด้วยซิงค์คลอไรด์ สามารถแยก PC ได้เกือนทั้งหมดของปริมาณที่มีในไข่แดง โดยมีความบริสุทธิ์ร้อยละ 78.17 เมื่อใช้ PC ที่แยกได้ละลายในไดคลอโรมีเทนให้มีความเข้มข้นต่างกันและนำไปเตรียมไลโปโซมเพื่อใช้กักเก็บสาร CF พบว่าความเข้มข้นของ PC ที่ระดับ 80 และ 100 มิลลิกรัม/ลบ.ซม. ให้ประสิทธิภาพในการกักเก็บสาร CF ได้ดีเท่ากัน คือ ร้อยละ 40.28ในการศึกษาผลของโคเลสเทอรอลต่อสมบัติในการกักเก็บสารของไลโปโซมใช้อัตราส่วนของ PC ที่ความเข้มข้น 80 มิลลิกรัม / ลบ.ซม. กับ โคเลสเทอรอล 1 : 0, 1 : 0.25, 1 : 0.50, 1 : 0.75 และ 1 : 1 โดยน้ำหนัก ซึ่งเมื่อทดสอบการกักเก็บสาร CF พบว่าอัตราส่วนที่ใช้โคเลสเทอรอลปริมาณต่ำแต่ยังให้ประสิทธิภาพในการกักเก็บสารที่ดี คือ 1 : 50 ซึ่งเมื่อนำไปทดลองใช้กักเก็บกรดแอสคอร์บิกความเข้มข้น 23, 46, 69 และ 115 มิลลิโมลาร์ และใช้กักเก็บเบทา-แคโรทีนความเข้มข้น 10, 20, 30 และ 40 มิลลิกรัม / ลบ.ซม. สามารถกักเก็บกรดแอสคอร์บิกได้ในช่วงร้อยละ 53.86 ถึง 61.58 ส่วนประสิทธิภาพในการกักเก็บเบทา-แคโรทีนที่ทุกความเข้มข้น คือ ร้อยละ 93.12 ถึบ 98.85 ในด้านความคงตัวของกรดแอสคอร์บิกที่กักเก็บในไลโปโซม ได้ทดสอบโดยนำไลโปโซมไปกระจายตัวในฟอสเฟตบัฟเฟอร์ที่มีค่าความเป็นกรดเบส 3.5 และ 5.0 และเก็บที่ 4 องศาเซลเซียส ในที่มืดปรากฏว่าหลังจากเวลา 36 วัน กรดแอสคอร์บิกสลายไปเพียงร้อยละ 10.44 The effect of cholesterol on liposomes prepared by double emulsion method was studies. The liposomes were prepared from egg yolk phosphatidycholine (PC) and cholesterol, tested for aqueous entrapment efficiency with 6-carboxyfluorescein (CF) and then used for encapsulating ascorbic acid and beta-carotene. Cholesterol was extracted from yolk lipids with petroleum ether after saponification and recrystallised with hot methanol. The derived cholesterol crystal had the purity of 94.16 percent. PC was prepared by freezing diluted egg yolk at minus 20 deg C for 24 hrs. After thawing, PC was extracted from precipitated lipoprotein by using ethanol. Finally, the PC was precipitated from the ethanol extract with ZnCl2. The PC obtained had the purity of 78.17 percent which accounted for almost all of total PC in the yolk. Different PC concentrations in dichloromethane were used for preparing liposomes. The analysis for CF entrapment efficiency showed that the PC concentrations of 80 and 100 mg/cubic cm gave the best entrapment efficiency of 40.28 percent.The effect of cholesterol on the entrapment properties of liposomes was experimented by using the PC concentration of 80 mg/cubic cm to varying cholesterol ratios of 1 : 0, 1 : 0.25, 1 : 0.50, 1 : 0.75 and 1 : 1 by weight. The study showed that the ratio with low content of cholesterol and yet giving the most effective result on the CF entrapment efficiency was 1 : 0.50. This ratio was then used for entrapping ascrobic acid at the concentrations of 23, 46, 69 and 115 mM as well as beta-carotene at the concentrations of 10, 20, 30 and 40 mg/cubic cm. It was found that the liposomes could entrap ascorbic acid from 53.86 to 61.58 percent. As for betacarotene, the entrapment efficiency range from 93.12 to 98.85 percent. The stability of ascorbic acid entrapped in the liposomes was studied by dispersing the liposomes in phosphate buffer at pH 3.5 and 5.0, stored at 4 deg C in the dark for 36 days. The results revealed that the degradation of entrapped ascorbic acid were only 8.64 and 10.44 percent.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เอกสารแนบ: http://www.lib.ku.ac.th/KUthesis/SaralWar/index.html
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
คำสำคัญ: กรดเบทา-แคโรทีน
เจ้าของลิขสิทธิ์: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
รายละเอียด: การศึกษาผลของโคเลสเทอรอล (cholesterol) ที่มีตอการเตรียมไลโปโซม (liposomes) โดยวิธีดับเบิลอิมัลชัน ได้ทดลองโดยเตรียมไลโปโซมด้วยฟอสฟาทิดิลโคลีน (phosphatidylcholine, PC) และโคเลสเทอรอลที่แยกได้จากไข่แดง แล้วทดสอบประสิทธิภาพในการกักเก็บสารละลายด้วยสาร 6-คาร์บอกซีฟลูออเรสซีน (6-carboxyfluorescein, CF) ก่อนที่จะใช้กักเก็บกรดแอสคอร์บิกและเบทาแรโคทีน ในการแยกสารไขมันจากไข่แดงเพื่อใช้เตรียมไลโปโซม ใช้วิธีสกัดโคเลสเทอรอลจากไขมันของไข่แดงด้วยพิโทรเลียมอีเทอร์ภายหลังการซาปอนนิฟิเคชัน แล้วตกผลึกซ้ำโดยใช้เมทานอลร้อน ผลการแยกได้ผลึกโคเลสเทอรอลที่มีความบริสุทธิ์ร้อยละ 94.16 สำหรับการเตรียม PC ใช้วิธีเจือจางไข่แดงแล้วนำไปแช่แข็งที่ -20 องศาเซลเซียส นาน 24 ชั่วโมง เมื่อทำให้ละลายแล้วแยกตะกอนไลโปโปรตีนมาสกัด PC ด้วยเอทานอล แล้วจึงตกตะกอน PC ด้วยซิงค์คลอไรด์ สามารถแยก PC ได้เกือนทั้งหมดของปริมาณที่มีในไข่แดง โดยมีความบริสุทธิ์ร้อยละ 78.17 เมื่อใช้ PC ที่แยกได้ละลายในไดคลอโรมีเทนให้มีความเข้มข้นต่างกันและนำไปเตรียมไลโปโซมเพื่อใช้กักเก็บสาร CF พบว่าความเข้มข้นของ PC ที่ระดับ 80 และ 100 มิลลิกรัม/ลบ.ซม. ให้ประสิทธิภาพในการกักเก็บสาร CF ได้ดีเท่ากัน คือ ร้อยละ 40.28ในการศึกษาผลของโคเลสเทอรอลต่อสมบัติในการกักเก็บสารของไลโปโซมใช้อัตราส่วนของ PC ที่ความเข้มข้น 80 มิลลิกรัม / ลบ.ซม. กับ โคเลสเทอรอล 1 : 0, 1 : 0.25, 1 : 0.50, 1 : 0.75 และ 1 : 1 โดยน้ำหนัก ซึ่งเมื่อทดสอบการกักเก็บสาร CF พบว่าอัตราส่วนที่ใช้โคเลสเทอรอลปริมาณต่ำแต่ยังให้ประสิทธิภาพในการกักเก็บสารที่ดี คือ 1 : 50 ซึ่งเมื่อนำไปทดลองใช้กักเก็บกรดแอสคอร์บิกความเข้มข้น 23, 46, 69 และ 115 มิลลิโมลาร์ และใช้กักเก็บเบทา-แคโรทีนความเข้มข้น 10, 20, 30 และ 40 มิลลิกรัม / ลบ.ซม. สามารถกักเก็บกรดแอสคอร์บิกได้ในช่วงร้อยละ 53.86 ถึง 61.58 ส่วนประสิทธิภาพในการกักเก็บเบทา-แคโรทีนที่ทุกความเข้มข้น คือ ร้อยละ 93.12 ถึบ 98.85 ในด้านความคงตัวของกรดแอสคอร์บิกที่กักเก็บในไลโปโซม ได้ทดสอบโดยนำไลโปโซมไปกระจายตัวในฟอสเฟตบัฟเฟอร์ที่มีค่าความเป็นกรดเบส 3.5 และ 5.0 และเก็บที่ 4 องศาเซลเซียส ในที่มืดปรากฏว่าหลังจากเวลา 36 วัน กรดแอสคอร์บิกสลายไปเพียงร้อยละ 10.44 The effect of cholesterol on liposomes prepared by double emulsion method was studies. The liposomes were prepared from egg yolk phosphatidycholine (PC) and cholesterol, tested for aqueous entrapment efficiency with 6-carboxyfluorescein (CF) and then used for encapsulating ascorbic acid and beta-carotene. Cholesterol was extracted from yolk lipids with petroleum ether after saponification and recrystallised with hot methanol. The derived cholesterol crystal had the purity of 94.16 percent. PC was prepared by freezing diluted egg yolk at minus 20 deg C for 24 hrs. After thawing, PC was extracted from precipitated lipoprotein by using ethanol. Finally, the PC was precipitated from the ethanol extract with ZnCl2. The PC obtained had the purity of 78.17 percent which accounted for almost all of total PC in the yolk. Different PC concentrations in dichloromethane were used for preparing liposomes. The analysis for CF entrapment efficiency showed that the PC concentrations of 80 and 100 mg/cubic cm gave the best entrapment efficiency of 40.28 percent.The effect of cholesterol on the entrapment properties of liposomes was experimented by using the PC concentration of 80 mg/cubic cm to varying cholesterol ratios of 1 : 0, 1 : 0.25, 1 : 0.50, 1 : 0.75 and 1 : 1 by weight. The study showed that the ratio with low content of cholesterol and yet giving the most effective result on the CF entrapment efficiency was 1 : 0.50. This ratio was then used for entrapping ascrobic acid at the concentrations of 23, 46, 69 and 115 mM as well as beta-carotene at the concentrations of 10, 20, 30 and 40 mg/cubic cm. It was found that the liposomes could entrap ascorbic acid from 53.86 to 61.58 percent. As for betacarotene, the entrapment efficiency range from 93.12 to 98.85 percent. The stability of ascorbic acid entrapped in the liposomes was studied by dispersing the liposomes in phosphate buffer at pH 3.5 and 5.0, stored at 4 deg C in the dark for 36 days. The results revealed that the degradation of entrapped ascorbic acid were only 8.64 and 10.44 percent.
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
ผลของโคเลสเทอรอลต่อการเตรียมไลโปโซมด้วยวิธีดับเบิลอิมัลชันและการนำไปใช้กักเก็บกรดแอสคอร์บิกและเบทา-แคโรทีน
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
2544
การพัฒนาเครื่องสีข้าวขนาดเล็กที่เหมาะสมกับการใช้ในครัวเรือน ผลของกรดซิตริก กรดเพอร์ออกซีซิตริก และกรดแอสคอร์บิกร่วมกับไคโทซานต่อคุณภาพและอายุการเก็บรักษาของผลลิ้นจี่พันธุ์จักรพรรดิ์ การเก็บกักกรดโคจิกและอนุพันธ์ในอนุภาคผนังสองชั้นเพื่อใช้ทางเครื่องสำอาง การเปรียบเทียบคุณภาพเนื้อขิงโคขาวลำพูนและลูกผสมบราห์มันที่เลี้ยงด้วยหญ้าแพงโกล่าสด ผลของความเข้มแสงและความเป็นกรด-เบสต่อการเจริญของ Spirulina platensis และ Chlorella vulgaris การปั่นเส้นใยด้วยไฟฟ้าสถิตแบบแกนร่วมของ PLLAPEO เพื่อใช้เป็นวัสดุกักเก็บและนำส่งโปรตีนอัลบูมิน การพัฒนาผลิตภัณฑ์ไข่แดงเทียมปราศจากโคเลสเตอรอล. การพัฒนาตำรับอนุภาคขนาดเล็กที่เก็บกักน้ำแร่เพื่อใช้ทางผิวหนัง การใช้ไทโอยูเรียในการสกัดทองจากแร่ชาโคไพไรด์และการดูดซับทองไทโอยูเรีย โดยใช้ Chlorella vulgaris และแกลบ การเปรียบเทียบวิธีเก็บตัวอย่างน้ำฝนและการวิเคราะห์การตกสะสมของกรดโดยไอออนโครมาโทกราฟี
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก