สืบค้นงานวิจัย
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การศึกษาสารสำคัญการ การทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดจากหน่อกะลา
รัชนก เชื้อเตชะ - มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
ชื่อเรื่อง: การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การศึกษาสารสำคัญการ การทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดจากหน่อกะลา
ชื่อเรื่อง (EN): Tissue culture, bioactive compound and biological activities of extracts from alpinia nigra (Noh Kala)
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: รัชนก เชื้อเตชะ
บทคัดย่อ:
จากการศึกษาการขยายพันธุ์หน่อกะลา ซึ่งเป็นพืชตระกูลขิง-ข่า การศึกษานี้เป็นการหาวิธีที่เหมาะสมในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจากส่วนตามข้างของหน่อกะลา ให้ได้ปริมาณมาก โดยการนำมาฟอกฆ่าเชื้อที่ผิวด้วยสาระลายคลอรอกซ์ ความเข้มข้น 30 เปอร์เซ็นต์ ผสม Tween-20 จำนวน 2-3 หยด เป็นเวลา 15 นาที จากนั้นแช่ใน 70 เปอร์เซ็นต์ เอทานอล เป็นเวลา 30 นาที สารละลายคลอรอกซ์ 20 เปอร์เซ็นต์ เป็นเวลา 30 นาที และสารละลาย คลอรอกซ์ 15 เปอร์เซ็นต์ เป็นเวลา 30 นาที แล้วนำไปเลี้ยงในอาหารสูตร MS (Murashige and Skoog 1962) ที่เติมสาร BAP เพื่อ ควบคุมการเจริญเติบโต ที่ความเข้มข้น 0 , 2.0 , และ 4.0 มิลลิกรัมต่อลิตร พบว่าอาหารสูตร MS ที่เติมสารควบคุมการเจริญเติบโต BAP เพียงอย่างเดียวที่ทุกระบบดับความเข้มจ้น ไม่สามารถทำให้ตาข้างของหน่อกะลาเกิดการพัฒนาเป็นยอดได้ ดังนั้นจึงเติม IBA ที่ระดับความเข้มข้น 2.0 มิลลิกรัมต่อลิตร พบว่ามีการเจริญพัฒนาเกิดเป็นยอดได้เร็วขึ้น และมีการแตกยอดมากที่สุด ที่ระดับความเข้มข้นของ BAP และ IBA แต่ละชนิดเป็น 4.0 มิลลิกรัม ต่อลิตร จากการศกึษา พบว่าการเจริญพัฒนาเกิดเป็นยอดในช่วงแรกค่อนข้างช้า และจะพัฒนามียอดจำนวนมากขึ้นโดยใช้เวลานานถึง 16 สัปดาห์ อย่างไรก็ดี BAP และ IBA ในอาหารมีส่วนช่วยส่งเสริมการเกิดยอดของหน่อกะลาให้ดีขึ้นกว่าอาหารพื้นฐานสูตร MS เพียงอย่างเดียว
ผลการศึกษาประสิทธิภาพในการเป็นพืชสมุนไพรของสารสกัดจากหน่อกะลา พบว่าอยู่ในระดับดีพอสมควร จากการตรวจสอบวัดค่าความเข้มข้นต่ำสุด (MIC) ของสารสกัดจากหน่อกะลาที่ใช้เอทานอล และสารสกัดจากหน่อกะลาที่ใช้น้ำเป็นตัวทำลาย พบว่า สารสกัดจากหน่อกะลาที่ใช้น้ำเป็นตัวทำลายให้ค่าความเข้มข้นต่ำสุดในการยับยั้งเชื้อ S. typhimurium เป็น 2.64 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร ส่วนสารสกัดจากหน่อกะลาที่ใช้เอทานอลเป็นตัวทำละลาย ให้ค่าความเข้มข้นต่ำสุดในการยับยั้งเชื้อ S. aureus และ S. typhimurium เป็น 2.64 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร เท่ากัน
การศึกษาสารสำคัญในสารสกัดจากหน่อกะลา โดยวิธีโครมาโตรกราฟีอย่างบาง (Thin Layer Chromatography, TLC) และตรวจสอบด้วยวิธีการต่างๆ กัน พบว่า สารสกัดหน่อกะลา มีส่วนประกอบทางเคมีเป็นสารประเภทเทอร์ปีนส์ สารฟีโนลิก สารกลุ่มแอลคาลอยด์ ไม่น้อยกว่า 4 ชนิด ส่วนการศึกษาสมบัติการเป็นพิษต่อเซลล์ พบว่าสารสกัดจากหน่อกะลาไม่มีความเป็นพิษต่อเซลล์เม็ดเลือดแดงของมนุษย์
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เอกสารแนบ: http://dcms.thailis.or.th/dcms/dccheck.php?Int_code=29&RecId=272&obj_id=796
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
คำสำคัญ: หน่อกะลา
คำสำคัญ (EN): 615
เจ้าของลิขสิทธิ์: มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
รายละเอียด: จากการศึกษาการขยายพันธุ์หน่อกะลา ซึ่งเป็นพืชตระกูลขิง-ข่า การศึกษานี้เป็นการหาวิธีที่เหมาะสมในการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจากส่วนตามข้างของหน่อกะลา ให้ได้ปริมาณมาก โดยการนำมาฟอกฆ่าเชื้อที่ผิวด้วยสาระลายคลอรอกซ์ ความเข้มข้น 30 เปอร์เซ็นต์ ผสม Tween-20 จำนวน 2-3 หยด เป็นเวลา 15 นาที จากนั้นแช่ใน 70 เปอร์เซ็นต์ เอทานอล เป็นเวลา 30 นาที สารละลายคลอรอกซ์ 20 เปอร์เซ็นต์ เป็นเวลา 30 นาที และสารละลาย คลอรอกซ์ 15 เปอร์เซ็นต์ เป็นเวลา 30 นาที แล้วนำไปเลี้ยงในอาหารสูตร MS (Murashige and Skoog 1962) ที่เติมสาร BAP เพื่อ ควบคุมการเจริญเติบโต ที่ความเข้มข้น 0 , 2.0 , และ 4.0 มิลลิกรัมต่อลิตร พบว่าอาหารสูตร MS ที่เติมสารควบคุมการเจริญเติบโต BAP เพียงอย่างเดียวที่ทุกระบบดับความเข้มจ้น ไม่สามารถทำให้ตาข้างของหน่อกะลาเกิดการพัฒนาเป็นยอดได้ ดังนั้นจึงเติม IBA ที่ระดับความเข้มข้น 2.0 มิลลิกรัมต่อลิตร พบว่ามีการเจริญพัฒนาเกิดเป็นยอดได้เร็วขึ้น และมีการแตกยอดมากที่สุด ที่ระดับความเข้มข้นของ BAP และ IBA แต่ละชนิดเป็น 4.0 มิลลิกรัม ต่อลิตร จากการศกึษา พบว่าการเจริญพัฒนาเกิดเป็นยอดในช่วงแรกค่อนข้างช้า และจะพัฒนามียอดจำนวนมากขึ้นโดยใช้เวลานานถึง 16 สัปดาห์ อย่างไรก็ดี BAP และ IBA ในอาหารมีส่วนช่วยส่งเสริมการเกิดยอดของหน่อกะลาให้ดีขึ้นกว่าอาหารพื้นฐานสูตร MS เพียงอย่างเดียว ผลการศึกษาประสิทธิภาพในการเป็นพืชสมุนไพรของสารสกัดจากหน่อกะลา พบว่าอยู่ในระดับดีพอสมควร จากการตรวจสอบวัดค่าความเข้มข้นต่ำสุด (MIC) ของสารสกัดจากหน่อกะลาที่ใช้เอทานอล และสารสกัดจากหน่อกะลาที่ใช้น้ำเป็นตัวทำลาย พบว่า สารสกัดจากหน่อกะลาที่ใช้น้ำเป็นตัวทำลายให้ค่าความเข้มข้นต่ำสุดในการยับยั้งเชื้อ S. typhimurium เป็น 2.64 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร ส่วนสารสกัดจากหน่อกะลาที่ใช้เอทานอลเป็นตัวทำละลาย ให้ค่าความเข้มข้นต่ำสุดในการยับยั้งเชื้อ S. aureus และ S. typhimurium เป็น 2.64 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร เท่ากัน การศึกษาสารสำคัญในสารสกัดจากหน่อกะลา โดยวิธีโครมาโตรกราฟีอย่างบาง (Thin Layer Chromatography, TLC) และตรวจสอบด้วยวิธีการต่างๆ กัน พบว่า สารสกัดหน่อกะลา มีส่วนประกอบทางเคมีเป็นสารประเภทเทอร์ปีนส์ สารฟีโนลิก สารกลุ่มแอลคาลอยด์ ไม่น้อยกว่า 4 ชนิด ส่วนการศึกษาสมบัติการเป็นพิษต่อเซลล์ พบว่าสารสกัดจากหน่อกะลาไม่มีความเป็นพิษต่อเซลล์เม็ดเลือดแดงของมนุษย์
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การศึกษาสารสำคัญการ การทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดจากหน่อกะลา
มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
27 กันยายน 2550
รายงานการวิจัย การศึกษาอัตราส่วนระหว่างปริมาณวัตถุดิบต่อปริมาณของกากน้ำตาลในน้ำสารสกัดชีวภาพ ที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของผักคะน้า รายงานการวิจัย การศึกษาเปรียบเทียบการเจริญเติบโตของผักคะน้าโดยใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับน้ำสกัดชีวภาพจากหอยเชอรี รายงานวิจัยเรื่อง การศึกษาเปรียบเทียบน้ำสกัดชีวภาพโดยใช้น้ำตาลต่างชนิดกันในการหมักต่อการเจริญเติบโตของผักคะน้า รายงานการวิจัยการศึกษาคุณภาพน้ำทางกายภาพ เคมี และชีวภาพในบริเวณพื้นที่ปกปักพันธุกรรมพืช อพ.สธ. เขื่อนน้ำพุง จังหวัดสกลนคร รายงานการวิจัยเรื่องฤทธิ์ทางชีวภาพและน้ำมันหอมระเหยจากต้นกะลา รายงานการวิจัยชีวภาพพร้อมใช้และการนาไปใช้ทางชีวภาพของสารสกัดรางจืด ฤทธิ์ทางชีวภาพและองค์ประกอบทางเคมีในต้นกระถิน สมบัติการต้านออกซิเดชันของสารสกัดจากหน่อกะลา การวิจัย สารแอลลีโลพาธิกจากหญ้าดอกขาว : การสกัดสารและการทดสอบฤทธิ์ทางชีวภาพ การสกัดและฤทธิ์ทางชีวภาพของสารสกัดจากพืชสมุนไพร
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก