สืบค้นงานวิจัย
การบูรณาการหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและ ส่งเสริมโภชนาการเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในเขต ภาคเหนือตอนล่าง
นีรชา ยิ้มกล่ำ - มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
ชื่อเรื่อง: การบูรณาการหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและ ส่งเสริมโภชนาการเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในเขต ภาคเหนือตอนล่าง
ชื่อเรื่อง (EN): Integrating the Sufficiency Economy Philosophy to Improve the Quality of Life and Nutrition Promotion for R
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: นีรชา ยิ้มกล่ำ
บทคัดย่อ: การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เพื่อศึกษาลักษณะทางประชากร เศรษฐกิจ สังคม พฤติกรรมสุขภาพ และภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดของวัยก่อนสูงอายุ และค้นหา ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับ ภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดของวัยก่อนสูงอายุ รวมถึง เสนอแนะแนวทางประกอบการพิจารณา ส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด โดยใช้ข้อมูลของ ต.บ้านกล้วย อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มตัวอย่าง อายุ 35-59 ปี จำนวน 8,482 คน ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ ระหว่างปัจจัยด้านประชากร เศรษฐกิจ และสังคมกับภาวะ เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดของวัยก่อนสูงอายุ พบว่า เพศ มีความสัมพันธ์กับภาวะเสี่ยง ต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.001 โดยเพศหญิงมีภาวะ เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดร้อยละ 11.3 ส่วนเพศชายมีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดร้อยละ 6.0, อายุมีความสัมพันธ์กับภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.001 โดยกลุ่มอายุ 50-59 ปี และกลุ่มอายุ 40-49 ปีมีภาวะเสี่ยง ต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดร้อยละ 13.9 และร้อยละ 5.8 เนื่องจากอายุมากส่งผลให้เกิด ความเสื่อมของหลอดเลือด ความยืดหยุ่นของผนังหลอดเลือด ลดลง อันก่อให้เกิดภาวะหลอดเลือด แดงแข็งตัว และโรคความดันโลหิตสูงและพบว่าความชุกของโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นตามอายุ, ระดับการศึกษามีความสัมพันธ์กับภาวะเสี่ยงต่อการเกิด โรคหัวใจและหลอดเลือด อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 โดยที่ระดับการศึกษาปริญญาตรีขึ้นไปมีสัดส่วนภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ B และหลอดเลือดมากที่สุดร้อยละ 11.4 รองลงมาระดับมัธยมศึกษาร้อยละ 10.7 ส่วนระดับประถม ศึกษาและไม่ได้เรียน มีสัดส่วนภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดร้อยละ 8.1 เท่ากัน ผู้ที่มี การศึกษาสูงจะมีความรู้ ทัศนคติและการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องด้านสุขภาพ แต่มักจะมีอาชีพที่ ใช้แรงงาน น้อย จึงทำให้มีโอกาสเกิดภาวะเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดได้มากกว่าผู้ที่มีการศึกษาต่ำกว่า, อาชีพมีความสัมพันธ์กับภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ ระดับ 0.001 โดยกลุ่มอาชีพนอกภาคเกษตรและภาคเกษตรมีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและ หลอดเลือดร้อยละ 10.0 และร้อยละ 7.1 ตามลำดับ อาชีพที่ต่างกันย่อมใช้แรงงานแตกต่างกัน ตลอดจนมีวิถีการดำเนินชีวิตที่ต่างกัน จึงทำให้มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดที่ แตกต่างกัน, รายได้มีความสัมพันธ์กับภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ ที่ระดับ 0.001 โดยกลุ่มผู้ที่มีรายได้สูง มีสัดส่วนภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอด เลือดสูงที่สุดร้อยละ 13.0 รองลงมาผู้ที่มีรายได้น้อยร้อยละ 8.3 และผู้ที่มีรายได้ปานกลาง ร้อยละ 6.8, เขตที่อยู่อาศัยมีความสัมพันธ์กับภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 โดยเขตเมืองและเขตชนบทมีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ร้อยละ 10.7 และร้อยละ 8.2 ตามลำดับ, การบริโภคผลไม้เป็นประจำมีความสัมพันธ์กับภาวะเสี่ยง ต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 โดยผู้ที่บริโภค และ ไม่ บริโภคผลไม้ มีสัดส่วนภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดร้อยละ10.3 และ ร้อยละ 8.1 ตามลำดับ, การออกกำลังกาย มีความสัมพันธ์กับภาวะเสี่ยงต่อการเกิด โรคหัวใจและหลอดเลือด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 โดยผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 30 นาที มีสัดส่วนภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดมากที่สุดร้อยละ 14.2 สำหรับผู้ที่ออก กำลังกายนานๆครั้ง และออกกำลังกายสม่ำเสมอแต่ระยะเวลาน้อยกว่า30 นาที มีสัดส่วนภาวะเสี่ยง ต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดเท่ากันร้อยละ 11.1 ส่วนผู้ที่ไม่ออกกำลังกายมีสัดส่วนภาวะเสี่ยง ต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดต่ำสุดร้อยละ 8.3, การดื่มแอลกอฮอล์มีความสัมพันธ์กับภาวะ เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.001 โดยผู้ที่เคยดื่ม ประจำมีสัดส่วนภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงสุดร้อยละ 12.8 รองลงมาคือ ผู้ที่ดื่ม นานๆครั้ง และดื่มประจำ มีสัดส่วนภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดร้อยละ 12.4 ร้อย ละ 5.7 และ ร้อยละ 3.6 ตามลำดับ, การสูบบุหรี่มีความสัมพันธ์กับภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.001 โดยผู้ที่เคยสูบประจำมีสัดส่วนภาวะเสี่ยง ต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงสุดร้อยละ13.8 รองลงมาผู้ที่สูบนานๆครั้ง ไม่สูบ และสูบ ประจำมีสัดส่วนภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดร้อยละ 11.2 ร้อยละ 11.0 และร้อยละ 4.2 ตามลำดับ The purposes of the study were (1) to study demographic, social and economic characteristics, health behaviors and risk factors of cardiovascular diseases among the ageing population, (2) to find out factors relating to risk of having cardiovascular diseases among the ageing, and (3) to suggest guidelines for health promotion and prevention of cardiovascular diseases. A total of 8,482 cases in the Tambon Ban Kluai, Amphoe Chon Daen, Phetchabun database aged 35 - 59 years were the samples. Finding showed that age was significantly related to risk of having cardiovascular diseases among the ageing (p<0.001) because in the age group 50-59 years and 40-49 years age group are at risk for cardiovascular diseases 13.9 percent and 5.8 percent, respectively due to aging resulting from degeneration of blood vessels, the flexibility of the vessel wall degradation that causes atherosclerosis, hypertension, and high blood pressure increases with age. There was a significant relationship between gender and risk of having cardiovascular diseases (p<0.001) which the female has a risk of cardiovascular disease equal 11.3 percent follow by male with a risk equal 6.0 percent. Among the ageing samples, it showed that educational level was significantly related to risk of having cardiovascular diseases (p<0.05) the level of a Bachelor's degree or above have the most risk of cardiovascular diseases at 11.4 percent followed by 10.7 percent of high school as for elementary school and uneducated have the D proportion risk of cardiovascular diseases equal to 8.1 percent seeing that the higher education is knowledgeable attitude and practice correct health but often their occupations less labor as a result the potential risk from cardiovascular disease than those with lower education. It was found that occupations was significantly related to risk of having cardiovascular diseases (p<0.001) by agricultural and non-agricultural occupations are at risk for cardiovascular diseases equal 10.0 percent and 7.1 percent, respectively, a different labor would be different as well as a different lifestyle. The result showed that income was significantly related to risk of having cardiovascular diseases (p<0.001) by a group of people with a higher income, accounting for the highest risk of cardiovascular disease equal 13.0 per cent, followed by those with low income (8.3 percent) and moderate income (6.8 percent). The result revealed that residential area of the aging population was related to risk of having cardiovascular diseases significantly (p<0.05) by urban and rural areas are at risk for cardiovascular disease equal 10.7 percent and 8.2 percent, respectively. There was a significant relationship between regular consumption of fruits and risk of having cardiovascular diseases (p<0.05). There was a significant relationship between exercising and risk of having cardiovascular diseases (p<0.05) by regular and not consumption of fruits is a proportional risk of cardiovascular disease equal 10.3 percent and 8.1 percent, respectively. There was a significant relationship between drinking alcohol and risk of having cardiovascular diseases (p<0.001) by those who ever regularly drink have highest risk equal 12.8 percent, followed by those who not drink, infrequently and regularly drink account for the risk equal 12.4, 5.7 and 3.6 percent, respectively. It showed statistically significant relationship between smoking and risk of having cardiovascular diseases (p<0.001) people who ever regularly smoke have highest risk equal 13.8 percent followed by those who infrequently, and regularly equal 11.2, 11.0 and 4.2 percent, respectively.
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
คำสำคัญ: โรคหัวใจและหลอดเลือด
เจ้าของลิขสิทธิ์: มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
รายละเอียด: การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ เพื่อศึกษาลักษณะทางประชากร เศรษฐกิจ สังคม พฤติกรรมสุขภาพ และภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดของวัยก่อนสูงอายุ และค้นหา ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับ ภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดของวัยก่อนสูงอายุ รวมถึง เสนอแนะแนวทางประกอบการพิจารณา ส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด โดยใช้ข้อมูลของ ต.บ้านกล้วย อ.ชนแดน จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มตัวอย่าง อายุ 35-59 ปี จำนวน 8,482 คน ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ ระหว่างปัจจัยด้านประชากร เศรษฐกิจ และสังคมกับภาวะ เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดของวัยก่อนสูงอายุ พบว่า เพศ มีความสัมพันธ์กับภาวะเสี่ยง ต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.001 โดยเพศหญิงมีภาวะ เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดร้อยละ 11.3 ส่วนเพศชายมีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดร้อยละ 6.0, อายุมีความสัมพันธ์กับภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.001 โดยกลุ่มอายุ 50-59 ปี และกลุ่มอายุ 40-49 ปีมีภาวะเสี่ยง ต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดร้อยละ 13.9 และร้อยละ 5.8 เนื่องจากอายุมากส่งผลให้เกิด ความเสื่อมของหลอดเลือด ความยืดหยุ่นของผนังหลอดเลือด ลดลง อันก่อให้เกิดภาวะหลอดเลือด แดงแข็งตัว และโรคความดันโลหิตสูงและพบว่าความชุกของโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นตามอายุ, ระดับการศึกษามีความสัมพันธ์กับภาวะเสี่ยงต่อการเกิด โรคหัวใจและหลอดเลือด อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 โดยที่ระดับการศึกษาปริญญาตรีขึ้นไปมีสัดส่วนภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ B และหลอดเลือดมากที่สุดร้อยละ 11.4 รองลงมาระดับมัธยมศึกษาร้อยละ 10.7 ส่วนระดับประถม ศึกษาและไม่ได้เรียน มีสัดส่วนภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดร้อยละ 8.1 เท่ากัน ผู้ที่มี การศึกษาสูงจะมีความรู้ ทัศนคติและการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องด้านสุขภาพ แต่มักจะมีอาชีพที่ ใช้แรงงาน น้อย จึงทำให้มีโอกาสเกิดภาวะเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดได้มากกว่าผู้ที่มีการศึกษาต่ำกว่า, อาชีพมีความสัมพันธ์กับภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ ระดับ 0.001 โดยกลุ่มอาชีพนอกภาคเกษตรและภาคเกษตรมีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและ หลอดเลือดร้อยละ 10.0 และร้อยละ 7.1 ตามลำดับ อาชีพที่ต่างกันย่อมใช้แรงงานแตกต่างกัน ตลอดจนมีวิถีการดำเนินชีวิตที่ต่างกัน จึงทำให้มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดที่ แตกต่างกัน, รายได้มีความสัมพันธ์กับภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ ที่ระดับ 0.001 โดยกลุ่มผู้ที่มีรายได้สูง มีสัดส่วนภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอด เลือดสูงที่สุดร้อยละ 13.0 รองลงมาผู้ที่มีรายได้น้อยร้อยละ 8.3 และผู้ที่มีรายได้ปานกลาง ร้อยละ 6.8, เขตที่อยู่อาศัยมีความสัมพันธ์กับภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 โดยเขตเมืองและเขตชนบทมีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ร้อยละ 10.7 และร้อยละ 8.2 ตามลำดับ, การบริโภคผลไม้เป็นประจำมีความสัมพันธ์กับภาวะเสี่ยง ต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 โดยผู้ที่บริโภค และ ไม่ บริโภคผลไม้ มีสัดส่วนภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดร้อยละ10.3 และ ร้อยละ 8.1 ตามลำดับ, การออกกำลังกาย มีความสัมพันธ์กับภาวะเสี่ยงต่อการเกิด โรคหัวใจและหลอดเลือด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05 โดยผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 30 นาที มีสัดส่วนภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดมากที่สุดร้อยละ 14.2 สำหรับผู้ที่ออก กำลังกายนานๆครั้ง และออกกำลังกายสม่ำเสมอแต่ระยะเวลาน้อยกว่า30 นาที มีสัดส่วนภาวะเสี่ยง ต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดเท่ากันร้อยละ 11.1 ส่วนผู้ที่ไม่ออกกำลังกายมีสัดส่วนภาวะเสี่ยง ต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดต่ำสุดร้อยละ 8.3, การดื่มแอลกอฮอล์มีความสัมพันธ์กับภาวะ เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.001 โดยผู้ที่เคยดื่ม ประจำมีสัดส่วนภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงสุดร้อยละ 12.8 รองลงมาคือ ผู้ที่ดื่ม นานๆครั้ง และดื่มประจำ มีสัดส่วนภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดร้อยละ 12.4 ร้อย ละ 5.7 และ ร้อยละ 3.6 ตามลำดับ, การสูบบุหรี่มีความสัมพันธ์กับภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.001 โดยผู้ที่เคยสูบประจำมีสัดส่วนภาวะเสี่ยง ต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงสุดร้อยละ13.8 รองลงมาผู้ที่สูบนานๆครั้ง ไม่สูบ และสูบ ประจำมีสัดส่วนภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดร้อยละ 11.2 ร้อยละ 11.0 และร้อยละ 4.2 ตามลำดับ The purposes of the study were (1) to study demographic, social and economic characteristics, health behaviors and risk factors of cardiovascular diseases among the ageing population, (2) to find out factors relating to risk of having cardiovascular diseases among the ageing, and (3) to suggest guidelines for health promotion and prevention of cardiovascular diseases. A total of 8,482 cases in the Tambon Ban Kluai, Amphoe Chon Daen, Phetchabun database aged 35 - 59 years were the samples. Finding showed that age was significantly related to risk of having cardiovascular diseases among the ageing (p
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การบูรณาการหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและ ส่งเสริมโภชนาการเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในเขต ภาคเหนือตอนล่าง
มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
2558
การศึกษาผลสัมฤทธิ์การใช้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเขตพื้นที่อำเภอเมืองจังหวัดเพชรบูรณ์ การพัฒนาคุณค่าทางโภชนาการของอาหารพื้นบ้านตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง กระบวนการจัดตั้งกลุ่มเกษตรอินทรีย์ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของเกษตรกรในอำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ และการบูรณาการสร้างและพัฒนาระบบตลาดเกษตรอินทรีย์ การออกแบบและพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์อิฐมอญ ในเขตพื้นที่จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง การศึกษาประสิทธิผลเบื้องต้นของผลิตภัณฑ์น้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากสมุนไพรในลูกประคบเพื่อลดอาการปวดกล้ามเนื้อ การลดการเกิดไส้สีน้ำตาลในสับปะรดก่อนและหลังการเก็บเกี่ยว การศึกษาการลดสารเคมีป้องกันกำจัดแมลงในพืชตระกูลกะหล่ำเพื่อการค้าในเขตจังหวัดพิษณุโลก การศึกษาคุณภาพชีวิต และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพชีวิตของเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมันในพื้นที่ภาคใต้ ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนปลูกปาล์มในเขตภาคใต้ของไทย ศึกษาศักยภาพในการจัดตั้งสหกรณ์เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ชุมชนในเขตเทศบาลเมืองตาก
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก