สืบค้นงานวิจัย
อิทธิพลของการใช้ผลพลอยได้จากโรงงานแป้งมันสำปะหลังในรูปแบบหมักในสูตรอาหารแกะขุนต่อสมรรถนะการให้ผลผลิตและองค์ประกอบของกรดไขมันคอนจูเกตลิโนเลอิกในเนื้อแกะ
กรรณิการ์ วงษ์พานิชย์ - มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ชื่อเรื่อง: อิทธิพลของการใช้ผลพลอยได้จากโรงงานแป้งมันสำปะหลังในรูปแบบหมักในสูตรอาหารแกะขุนต่อสมรรถนะการให้ผลผลิตและองค์ประกอบของกรดไขมันคอนจูเกตลิโนเลอิกในเนื้อแกะ
ชื่อเรื่อง (EN): Effects of using cassava flour industrial by-products as a fermentation form in finishing lamb diets on productive performance and conjugated linoleic acid constituent in meat lambs.
บทคัดย่อ: การศึกษาครั้งนี้เพื่อทดสอบผลของการใช้ผลพลอยได้จากโรงงานแป้งมันและเมล็ดฝ้าย ในอาหารสูตรรวมแกะขุน ต่อสมรรถนะการเจริญเติบโต คุณภาพซาก และองค์ประกอบของกรดไขมันลิโนเลอิกในเนื้อ โดยใช้แกะลูกผสม (ซานต้าอิเนสXดอร์เปอร์Xพื้นเมือง) จำนวน 20 ตัว จัดการทดลองแบบ 1+(2x2) Factorial in randomized complete block design (RCBD) ได้แก่ 1) อาหารควบคุม 2) อาหารTMR (40% เปลือกมันสำปะหลังหมัก + 0% เมล็ดฝ้าย) 3) อาหาร TMR (40% เปลือกมันสำปะหลังหมัก + 20% เมล็ดฝ้าย) 4) อาหาร TMR (40% กากมันสำปะหลังหมัก + 0% เมล็ดฝ้าย) และ 5) อาหาร TMR (40% กากมันสำปะหลังหมัก + 20% เมล็ดฝ้าย) โดยให้กินอาหารแบบเต็มที่ (Ad libitum) เมื่อเลี้ยงขุนครบกำหนด (90 วัน) ทำการฆ่าและวัดคุณภาพซาก ผลการทดลองพบว่า การกินได้ของวัตถุแห้ง เปอร์เซ็นต์การกินได้ของวัตถุแห้งต่อน้ำหนักตัว การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก อัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยต่อวัน และอัตราการแลกเนื้อ ไม่แตกต่างกันทางสถิติระหว่างกลุ่มการทดลอง สำหรับการย่อยได้ของโภชนะพบว่า การย่อยได้ของวัตถุแห้ง โปรตีน เยื่อใยที่ไม่ละลายในสารฟอกที่เป็นกลาง (NDF) และเยื่อใยที่ไม่ละลายในสารฟอกที่เป็นกรด (ADF) ไม่แตกต่างกันทางสถิติระหว่างกลุ่มการทดลอง อย่างไรก็ตามแกะกลุ่มที่กินอาหารทดลองสูตรที่ 3 และ 5 มีการย่อยได้ของไขมันสูงกว่ากลุ่มอื่นอย่างมีนัยสำคัญ (67.11, 69.20, 84.57, 65.53, และ 87.49 ตามลำดับ; P<0.01) และแกะทดลองกลุ่มที่เสริมผลพลอยได้จากโรงงานแป้งมันมีต้นทุนค่าอาหารต่อน้ำหนักแกะที่เพิ่มขึ้น 1 กิโลกรัม ต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ (110.85, 61.62, 73.05, 65.83 และ 46.00 บาท/กิโลกรัม ตามลำดับ; P<0.01) และพบว่าน้ำหนักมีชีวิตก่อนเชือด น้ำหนักซากอุ่น น้ำหนักซากเย็น เปอร์เซ็นต์ซาก องค์ประกอบที่ไม่ใช่ซาก พื้นที่หน้าตัดเนื้อสัน ลักษณะเนื้อสัมผัส และการยอมรับของผู้บริโภคไม่แตกต่างกันทางสถิติระหว่างกลุ่มการทดลอง ซึ่งจากการทดลองไม่พบกรดไขมันคอนจูเกตลิโนเลอิกที่สะสมในเนื้อแกะ แต่พบว่ากลุ่มทดลองที่เสริมเมล็ดฝ้ายในสูตรอาหารมีผลทำให้กรดไขมันลิโนเลอิก (C18:2) สูงกว่ากลุ่มที่ไม่เสริมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.01) ดังนั้นจากการทดลองสรุปได้ว่าสามารถใช้เปลือกมันสำปะหลังหมักหรือกากมันสำปะหลังหมักร่วมกับเมล็ดฝ้ายในสูตรอาหารแกะขุน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตลงได้การศึกษาครั้งนี้เพื่อทดสอบผลของการใช้ผลพลอยได้จากโรงงานแป้งมันและเมล็ดฝ้าย ในอาหารสูตรรวมแกะขุน ต่อสมรรถนะการเจริญเติบโต คุณภาพซาก และองค์ประกอบของกรดไขมันลิโนเลอิกในเนื้อ โดยใช้แกะลูกผสม (ซานต้าอิเนสXดอร์เปอร์Xพื้นเมือง) จำนวน 20 ตัว จัดการทดลองแบบ 1+(2x2) Factorial in randomized complete block design (RCBD) ได้แก่ 1) อาหารควบคุม 2) อาหารTMR (40% เปลือกมันสำปะหลังหมัก + 0% เมล็ดฝ้าย) 3) อาหาร TMR (40% เปลือกมันสำปะหลังหมัก + 20% เมล็ดฝ้าย) 4) อาหาร TMR (40% กากมันสำปะหลังหมัก + 0% เมล็ดฝ้าย) และ 5) อาหาร TMR (40% กากมันสำปะหลังหมัก + 20% เมล็ดฝ้าย) โดยให้กินอาหารแบบเต็มที่ (Ad libitum) เมื่อเลี้ยงขุนครบกำหนด (90 วัน) ทำการฆ่าและวัดคุณภาพซาก ผลการทดลองพบว่า การกินได้ของวัตถุแห้ง เปอร์เซ็นต์การกินได้ของวัตถุแห้งต่อน้ำหนักตัว การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก อัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยต่อวัน และอัตราการแลกเนื้อ ไม่แตกต่างกันทางสถิติระหว่างกลุ่มการทดลอง สำหรับการย่อยได้ของโภชนะพบว่า การย่อยได้ของวัตถุแห้ง โปรตีน เยื่อใยที่ไม่ละลายในสารฟอกที่เป็นกลาง (NDF) และเยื่อใยที่ไม่ละลายในสารฟอกที่เป็นกรด (ADF) ไม่แตกต่างกันทางสถิติระหว่างกลุ่มการทดลอง อย่างไรก็ตามแกะกลุ่มที่กินอาหารทดลองสูตรที่ 3 และ 5 มีการย่อยได้ของไขมันสูงกว่ากลุ่มอื่นอย่างมีนัยสำคัญ (67.11, 69.20, 84.57, 65.53, และ 87.49 ตามลำดับ; P<0.01) และแกะทดลองกลุ่มที่เสริมผลพลอยได้จากโรงงานแป้งมันมีต้นทุนค่าอาหารต่อน้ำหนักแกะที่เพิ่มขึ้น 1 กิโลกรัม ต่ำกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ (110.85, 61.62, 73.05, 65.83 และ 46.00 บาท/กิโลกรัม ตามลำดับ; P<0.01) และพบว่าน้ำหนักมีชีวิตก่อนเชือด น้ำหนักซากอุ่น น้ำหนักซากเย็น เปอร์เซ็นต์ซาก องค์ประกอบที่ไม่ใช่ซาก พื้นที่หน้าตัดเนื้อสัน ลักษณะเนื้อสัมผัส และการยอมรับของผู้บริโภคไม่แตกต่างกันทางสถิติระหว่างกลุ่มการทดลอง ซึ่งจากการทดลองไม่พบกรดไขมันคอนจูเกตลิโนเลอิกที่สะสมในเนื้อแกะ แต่พบว่ากลุ่มทดลองที่เสริมเมล็ดฝ้ายในสูตรอาหารมีผลทำให้กรดไขมันลิโนเลอิก (C18:2) สูงกว่ากลุ่มที่ไม่เสริมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.01) ดังนั้นจากการทดลองสรุปได้ว่าสามารถใช้เปลือกมันสำปะหลังหมักหรือกากมันสำปะหลังหมักร่วมกับเมล็ดฝ้ายในสูตรอาหารแกะขุน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตลงได้
บทคัดย่อ (EN): This study was conducted to examine effects of using ?cassava flour industry by-products and cottonseed (WCS) in total mix rations (TMR) of finishing lamb on productive performance, carcass quality and conjugated linoleic acid (CLA) constituent. Twenty crossbreed lambs (SantaIn?s x Dorper x Native) were allotted into a 1+(2x2) factorial in randomized complete block design (RCBD). Treatment were T1) control T2) 40% ?fermented cassava peel (FCPE) + 0% WCS T3) 40% FCPE + 20% WCS T4) 40% fermented cassava pulp (FCPU) + 0% WCS and T5) 40% FCPU + 20% WCS, respectively. Total mixed ration was provided Ad libitum to all treatments. Lambs were slaughtered at the end of the feeding trial (90 days) for carcass evaluation. The results showed that dry matter intake (DMI), DMI per live weight percentage, body live weight change, average daily gain and feed conversion ratio were not significantly different among ?treatments. Digestibilities of dry matter, crude protein, neutral detergent fiber (NDF), acid detergent fiber (ADF) were not significantly different among ?treatments. However, digestibility of fat were significantly higher in T3 and T5 than other treatments (67.11, 69.20, 84.57, 65.53, and 87.49% respectively; P<0.05). The feed cost per gain showed that ?lambs fed diet supplemented with cassava flour industry by-products were significantly lower ?than lamb fed control diet (110.85, 61.62, 73.05, 65.83 and 46.00 baht/kg respectively; P<0.05). Body live weight, hot carcass weight, cold carcass weight, dressing percentage, non carcass components, loin eye area, Texture properties of raw meat and consumer acceptance were not significantly different among treatment. All treatments were not found CLA in lamb meat. However lamb fed diet supplemented with 20% WCS were significantly higher linoleic acid (C18:2) content in lamb meat than other treatments. Therefore, the results of experiment suggested that using ?FCPE or FCPU and WCS in finishing lamb diet could be an appropriate feeding approach and ?reduced feed cost.?This study was conducted to examine effects of using ?cassava flour industry by-products and cottonseed (WCS) in total mix rations (TMR) of finishing lamb on productive performance, carcass quality and conjugated linoleic acid (CLA) constituent. Twenty crossbreed lambs (SantaIn?s x Dorper x Native) were allotted into a 1+(2x2) factorial in randomized complete block design (RCBD). Treatment were T1) control T2) 40% ?fermented cassava peel (FCPE) + 0% WCS T3) 40% FCPE + 20% WCS T4) 40% fermented cassava pulp (FCPU) + 0% WCS and T5) 40% FCPU + 20% WCS, respectively. Total mixed ration was provided Ad libitum to all treatments. Lambs were slaughtered at the end of the feeding trial (90 days) for carcass evaluation. The results showed that dry matter intake (DMI), DMI per live weight percentage, body live weight change, average daily gain and feed conversion ratio were not significantly different among ?treatments. Digestibilities of dry matter, crude protein, neutral detergent fiber (NDF), acid detergent fiber (ADF) were not significantly different among ?treatments. However, digestibility of fat were significantly higher in T3 and T5 than other treatments (67.11, 69.20, 84.57, 65.53, and 87.49% respectively; P<0.05). The feed cost per gain showed that ?lambs fed diet supplemented with cassava flour industry by-products were significantly lower ?than lamb fed control diet (110.85, 61.62, 73.05, 65.83 and 46.00 baht/kg respectively; P<0.05). Body live weight, hot carcass weight, cold carcass weight, dressing percentage, non carcass components, loin eye area, Texture properties of raw meat and consumer acceptance were not significantly different among treatment. All treatments were not found CLA in lamb meat. However lamb fed diet supplemented with 20% WCS were significantly higher linoleic acid (C18:2) content in lamb meat than other treatments. Therefore, the results of experiment suggested that using ?FCPE or FCPU and WCS in finishing lamb diet could be an appropriate feeding approach and ?reduced feed cost.?
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
คำสำคัญ: มันสำปะหลัง
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
อิทธิพลของการใช้ผลพลอยได้จากโรงงานแป้งมันสำปะหลังในรูปแบบหมักในสูตรอาหารแกะขุนต่อสมรรถนะการให้ผลผลิตและองค์ประกอบของกรดไขมันคอนจูเกตลิโนเลอิกในเนื้อแกะ
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
30 กันยายน 2554
อิทธิพลของผลพลอยได้จากโรงงานแป้งมันในสูตรอาหารต่อสมรรถนะการให้ผลผลิตของแกะขุน การเสริมหัวมันสำปะหลังสดร่วมกับอาหารอัดก้อนที่มีกำมะถันเป็นองค์ประกอบระดับสูง ต่อการกินได้ กระบวนการหมักในรูเมน ผลผลิตน้ำนมและองค์ประกอบน้ำนมในโครีดนม ผลของระดับการใช้กากมันสำปะหลังแห้งในสูตรอาหารโคขุนต่อสมรรถนะการให้ผลผลิต คุณภาพซาก และต้นทุนในการผลิตเนื้อคุณภาพสูงของโคลูกผสมทาจิมะเพศผู้ตอน การเสริมหัวมันสำปะหลังสดร่วมกับอาหารอัดก้อนที่มีกำมะถันเป็นองค์ประกอบระดับสูง ต่อการกินได้ กระบวนการหมักในรูเมน ผลผลิตน้ำนมและองค์ประกอบน้ำนมในโครีดนม การใช้ผลพลอยได้ของมันสำปะหลังจากการผลิตเอทานอลในอาหารผสมสำเร็จรูปต่อผลผลิตน้ำนม และองค์ประกอบของน้ำนมในโคนม ศึกษาอัตราและระยะเวลาการใช้ปุ๋ยชีวภาพ พด.12 เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินและผลผลิตมันสำปะหลัง อิทธิพลของสารปรับปรุงดินทราย (พด.10) ร่วมกับหินฟอสเฟตต่อผลผลิตมันสำปะหลังในพื้นที่ดินทราย ผลของอัตราและช่วงเวลาการใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพ พด.12 ที่มีผลผลิตมันสำปะหลัง ในกลุ่มชุดดินที่ 40 จังหวัดนครราชสีมา ผลของการใช้ปุ๋ยหมักและน้ำหมักชีวภาพร่วมกับปุ๋ยเคมี ต่อผลผลิตมันสำปะหลังพันธุ์ระยอง 9 ในชุดดินมาบบอน จังหวัดระยอง ผลของวิธีการให้แร่ธาตุผงต่อการเจริญเติบโตและต้นทุนการผลิตในแกะขุน
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก