สืบค้นงานวิจัย
การสร้างความมั่นคงด้านอาหาร และการจัดการพื้นที่ทางการเกษตรอย่างสมดุลยั่งยืน
ดำรงศ์พันธ์ ใจห้าว - มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
ชื่อเรื่อง: การสร้างความมั่นคงด้านอาหาร และการจัดการพื้นที่ทางการเกษตรอย่างสมดุลยั่งยืน
ชื่อเรื่อง (EN): The Creation of Food Security, Balanced and Sustainable Management of Agricultural Areas.
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: ดำรงศ์พันธ์ ใจห้าว
บทคัดย่อ: สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สวก. ได้สนับสนุนทุนวิจัยโครงการ “การสร้างความมั่นคงด้านอาหารและการจัดการพื้นที่ทางการเกษตรอย่างสมดุลอย่างยั่งยืน” แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารของชุมชนในบริบทของภาคใต้ เพื่อศึกษารูปแบบการจัดการพื้นที่ทางการเกษตรอย่างสมดุลและยั่งยืนในบริบทของภาคใต้ และเพื่อศึกษาและพัฒนาเป็นพื้นที่ต้นแบบเพื่อบูรณาการร่วมในด้านความมั่นคงทางด้านอาหารชุมชนและการจัดการพื้นที่ทางการเกษตรอย่างสมดุลและยั่งยืน พลวัตรระบบเศรษฐกิจภาคใต้ผาสุก (2546, หน้า 3-7) ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ และพัฒนาการการผลิต การค้า การแลกเปลี่ยนและการจัดการทรัพยากรของชุมชน ตามแต่ละลักษณะภูมินิเวศของภาคใต้นั้น ล้วนมีกระบวนการขับเคลื่อน ปรับ ปะทะและประสานทั้งโดยตัวเองและถูกจัดการจากปัจจัยอื่นๆ มาอย่างยาวนาน เนื่องจากเขตเศรษฐกิจภาคใต้ตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบันนั้น มีความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ระบบรัฐโบราณแบบหัวเมืองสวามิภักดิ์ มาจนถึง รัฐสมัยใหม่ประชาธิปไตยในเงาทุนนิยม หรือตั้งแต่ระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพมาจนถึงระบบเศรษฐกิจแบบส่งออก (โอทอป) ภาคใต้ล้วนมีพัฒนาการ ต่อสู้และผลิตรูปแบบใหม่มาอย่างต่อเนื่องและหลากหลายซับซ้อน หลังภาวะวิกฤติฟองสบู่แตกเมื่อปี 2540 ทำให้เกิดการวิตกว่า สังคมเศรษฐกิจไทยจะฝ่าวิกฤตินี้ไปได้อย่างไร แต่ตราบจนถึงวันนี้ (2540-2546) ในความเป็นจริง ผลแห่งความสั่นสะเทือนนั้นกลับเข้ามาถึงชุมชนได้น้อยกว่าที่คาดการณ์ จนเป็นคำถามท้าทายว่าเหตุใด สังคมเศรษฐกิจไทยจึงไม่กระทบมากอย่างที่คาด และจนถึงที่สุด งานวิจัยชิ้นต่างๆ ก็ค้นพบว่า เขตเศรษฐกิจสังคมไทยตลอดจนถึงภาคใต้ แม้ว่าจะพุ่งทะยานเติบโตตามรูปแบบการผลิต ตามกรอบที่กำหนดให้เป็นเขตเศรษฐกิจต่างๆ ที่รัฐพยายามกระตุ้นพัฒนามาตั้งแต่มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ ฉบับที่ 1 (2504) จนถึงปัจจุบัน ฉบับที่ 9 พบว่า ในกระบวนการสถาปนาภูมินิเวศต่างๆ ให้เป็นเขตเศรษฐกิจสำคัญนั้น ยังมีระบบการจัดการเล็กๆ ซ้อนๆ อยู่ในระบบการผลิต และเศรษฐกิจการขนาดใหญ่ ในกระแสหลักๆ นั้น คือระบบการจัดการทรัพยากรของชุมชน ในแต่ละภูมินิเวศที่พยายามพลวัตรตนเองให้อยู่รอดได้ ท่ามกระแสเศรษฐกิจทุนโลกาภิวัตน์ และนั่นคือข้อค้นพบสำคัญหลังวิกฤติเศรษฐกิจในชุมชนภาคใต้ สิ้นปี 2546 ก่อนก้าวเข้าสู่ปีใหม่ ปีที่บรรยากาศงานวิชาการท้องถิ่นภาคใต้กำลังได้เริ่มกระพือโหม ค้นหา ตรวจสอบ และตั้งคำถามมากมาย ต่อกระบวนการพัฒนาของรัฐ และต่อสถานการณ์ที่รัฐบาลกำลังตื่นเต้นต่อการกลับมาเจริญเติบโตของตัวเลขทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมอีกครั้ง พัฒนาการที่มีมาแต่เดิมของระบบต่างๆ ในภาคใต้นั้น ซึ่งจัดออกได้เป็น 2 ชุด ระบบแรกเป็นระบบของฝ่ายผู้มาขูดรีด เป็นระบบที่สำคัญ ที่สถาปนาขึ้นมาเพื่อจัดการเอาทรัพยากร อาทิเช่น ระบบไพร่ ระบบกินแรง ระบบส่วย ระบบอากร ระบบภาษีอากร เงินรัชชูปการ เงินค่าเงินราชการ และสุดท้าย คือระบบสัมปทาน ที่กล่าวมานี้ทุกระบบ เป็นระบบที่ทำมาตั้งแต่อยุธยา ตราบจนรัตนโกสินทร์ที่สถาปนาขึ้นมากระทำต่อ ภาคใต้ และยังได้สถาปนาตระกูลที่สำคัญๆ ขึ้นมา เป็นผู้ถือครองทรัพยากร ส่วนใหญ่ของภาคใต้เอาไว้ เมืองในภาคใต้เองก็ถูกจัดให้เป็นเมืองชั้นเอก ชั้นโท หลังจากนั้นก็มาจัดให้เป็นเมืองสำคัญ เมืองท่า ที่จัดขึ้นมาโดยระบบการค้าและการพาณิชย์ ซึ่งชี้ให้เห็นว่า การจัดขึ้นมานั้นก็เพื่อเคลื่อนย้ายทรัพยากรของภาคใต้ออกไป เช่น ออกไปทางรถไฟ เป็นต้น ล้วนเป็นระบบสำคัญที่เคลื่อนย้ายทรัพยากรออกจากภาคใต้ แล้วก็นำปัญหาสำคัญๆ มาสู่ภาคใต้ มีข้อกล่าวถึงการอยู่อย่างพอเพียง หรือถึงแม้ว่าไม่พอเพียง แต่ก็ยังมีระบบเกลอ คอยเกื้อกูลกัน เป็น "ทางออกทางเลือกหรือวิธีดำรงอยู่ของชุมชน" ที่เขาดำรงอยู่กันมาอย่างไร เป็นอีกระบบหนึ่ง ที่ควบคู่กันมาในชุมชน ซึ่งตรงกันข้ามกับระบบแรก ว่าที่ชุมชนเขาดำรงอยู่มาได้ ได้อย่างไร เป็นระบบที่ชุมชนใช้จัดการทรัพยากร อาทิ ระบบออกปากกินวาน ระบบมัดเกลอ ระบบซอแรง ระบบกินดองและระบบแลกเปลี่ยนพื้นบ้าน ระบบเหล่านี้เป็นระบบที่มีอยู่เป็นพื้นฐานมายาวนาน และพัฒนาเป็นระยะๆ อยู่ที่ว่ากำลังอยู่ในพีเรียดใดของเศรษฐกิจ พัฒนาการการทำนาภาคใต้เกิดขึ้นในหุบเขาขนาดเล็ก ได้สถาปนาระบบเหมืองฝ่ายและระบบเจ้าเหมืองขึ้น ตรงนี้เป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนระบบข้าวไร่ มาเป็นการทำนาในที่ลุ่มได้ ผันน้ำจากที่สูงลงสู่ที่ราบได้สำเร็จ หรือที่ ไชยา สุราษฎร์ก็มีระบบทำนบน้ำ ที่มีการกั้นทำนบหลายร้อยทำนบตลอดลำคลอง กลายเป็นความสัมพันธ์กันเป็นเครือข่ายทำนบน้ำ แสดงว่า ลุ่มน้ำในภาคใต้เองก็มีการจัดการภายในชุมชน ซึ่งกรณีอย่างไชยานั้น ก็ยังมีอยู่จนถึงปัจจุบัน และเขตภูเขาต่างๆ ในภาคใต้ก็ยังมีอยู่ พลวัตรของระบบเหล่านี้มันยังมีอยู่ เขตเศรษฐกิจในภาคใต้นั้น มี 2 เขต คือเขตเศรษฐกิจการค้า และเขตเศรษฐกิจที่อยู่แนวหลังเขตเศรษฐกิจการค้าแท้ๆ ก็ คือพื้นที่รอยเชื่อมต่อเขตเศรษฐกิจทั้งหมด ซึ่งไม่ใช่พื้นที่ทางภูมิศาสตร์อย่างเดียว อย่างเช่น หาดใหญ่ สงขลา ถ้ามองแบบนี้คือพื้นที่ภูมิศาสตร์อย่างเดียว แต่เรากำลังพูดถึงพื้นที่ที่กำลังมีระบบการจัดการที่ซ้อนกันอยู่ ที่เขาดำเนินชีวิตอยู่ หรือไม่สูญเสียทั้งหมด หรือเพื่อที่จะยันต้าน ให้อยู่ได้ หรือบางพื้นที่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจการค้าโดยตรง มันอาจจะเป็นพื้นที่ห่างไกลจากถนน ห่างไกลจากทางรถไฟ ไม่สามารถจะเชื่อมกันได้ หรือเชื่อมถึงล่าช้าไปมาก งานวิจัยทางเศรษฐกิจจะทำให้เรามองเห็นห่วงโซ่ต่างๆ ที่ถูกทำลายไปจำนวนมาก แต่ก็ยังมีห่วงโซ่อีกจำนวนมาก ที่ยังทำงานอยู่ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าระบบของชุมชนนั้นยังมีอยู่ เช่น ระบบเหมือง ระบบทำนบน้ำ ระบบแลกเปลี่ยน ระบบมัดเกลอ ระบบโซแรง เป็นต้น การถางป่าปลูกยางพาราตามนโยบายรัฐบาลมองพื้นที่ป่าอย่างสวนสมรม อาทิ บริเวณเทือกเขาหลวงนครศรีธรรมราช เป็นพื้นที่เกษตรสมรมที่ใหญ่ ถ้าจะเปลี่ยนแปลงเป็นพื้นที่ยางพาราพันธุ์ใหม่ทั้งหมด ไม่ใช่ว่าไม่มีปัญหา เพราะพื้นที่นี้ไม่เหมาะสำหรับบุกเบิกเกษตรแบบนั้น เนื่องจากระบบภูมินิเวศก็เป็นเงื่อนไขสำคัญในการตัดสินใจของคนในชุมชนด้วย ฉะนั้น ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ระบบการค้า ระบบโลกาภิวัตน์ ไม่สามารถเข้ามาในลักษณะแนวราบแล้วจัดการระบบในชุมชนได้ จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สม่ำเสมอ พื้นที่ใดที่ไม่สม่ำเสมอ หรือมีความเข้มแข็งมาก อาจจะถูกเพ่งเล็งกลายเป็นพื้นที่ที่แอคทีฟที่สุด หรือกลายเป็นพื้นที่แนวหน้า ต่อสู้กับเศรษฐกิจภายนอก หรือต่อสู้กับระบบทุนมากที่สุด อาทิเช่น เขตฉวาง ไม้เรียง คีรีวง ชุมชนบางแก้ว ตัวอย่าง การจัดการตาลโตนดที่ลุ่มน้ำสงขลามีอยู่ประมาณ 3 ล้านต้น เหล่านี้ล้วนเป็นพื้นที่ทับซ้อนอยู่บนพื้นที่ทางการค้า เป็นเขตเศรษฐกิจนาข้าวที่กำลังย่ำแย่ลงเพราะต้นทุนสูง เป็นเขตเศรษฐกิจยางพาราที่กำลังขึ้นต่อตลาดโลก ก็มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นตามที่กล่าวมา มีแนวคิดร่วมกันของคนในกลุ่มนี้ มีแนวคิด NGOs นักวิชาการ ในขณะที่ดัชนีรายได้ประชาชาติ (GNP) จากตาลโตนดกลับไม่มีบันทึกและก็เก็บข้อมูลไม่ได้ อีกทั้งไม่มีใครอยากเก็บ แต่ตาลโตนดกลับเป็นเขตเศรษฐกิจของชุมชนที่ซ้อนอยู่ในยางพาราและข้าว "เพราะฉะนั้นเราต้องคิดว่า ภาคใต้ได้ถูกนำไปเชื่อมโยงกับระบบการนำส่วนเกินออกไปจากภาคใต้ ไปสู่ที่อื่นๆ ไปสู่ชนชั้นอื่นๆ ที่ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ แต่ก็ยังมีอีกระบบหนึ่งที่ชุมชนต่อสู้ด้วยวิธีการต่างๆ บนพื้นฐานของภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ระบบวัฒนธรรม และพลวัตรของระบบใหม่ๆ ที่ออกมาเพื่อให้ชุมชนดำรงอยู่ได้ สรุปได้ว่า ระบบการจัดการ ระบบแรงงานแบบใหม่ ระบบการใช้ทรัพยากรแบบใหม่ อย่างกรณีไชยา สุราษฎร์ธานีนั้น ก็เพื่อรักษาการวัฒนธรรมทำนา โดยไม่ยอมเข้าไปอิงราคากับระบบโรงสีที่รับซื้อข้าวราคาถูกกว่าต้นทุน ชาวนาไชยาจึงยอมเอาข้าวไปเลี้ยงเป็ด แต่ไม่ยอมขายให้โรงสีเพราะไม่คุ้มทุน ในขณะที่ไข่เค็มมีราคาดี ทำให้ทดแทนกันได้ส่วนหนึ่ง นี่คือพลวัตรของระบบชุมชน และมันยังต่อสู้และจะดำเนินไปอีกแนวคิด ทฤษฎีด้านการเปลี่ยนแปลงการผลิตทางการเกษตร ภาณุพงศ์ (2546) เกษตรกรมีการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเกษตรทั้ง 4 ปัจจัย ย่อมส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเกษตร ซึ่งในการเปลี่ยนแปลงทางการเกษตรนั้น เกษตรกรจะเลือกให้มีความเหมาะสมกับปัจจัยทั้งทางด้านกายภาพ เศรษฐกิจ สังคม และปัจจัยทางด้านเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงทางการเกษตรมีอยู่ด้วยกันหลายชนิดด้วยกันประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลงชนิดของพืชที่ปลูก ซึ่งเกษตรกรจะเลือกพืชให้มีความเหมาะสมกับลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ ความต้องการของตลาด หรือแม้แต่การขาดแคลนแรงงาน ส่งผลให้เกษตรกรต้องหาแนวทางในการทำการเกษตรเพื่อให้เกิดกำไรสูงสุดในการดำเนินการ เกษตรกรอาจเลือกเอาพืชที่มีอายุเก็บเกี่ยวในระยะสั้นมาปลูกแทนการปลูกพืชระยะยาว หรือการนำเอาพืชที่มีอายุการเก็บเกี่ยวและสามารถเก็บเกี่ยวได้ระยะยาวมาปลูกแทนพืชที่ปลูกระยะสั้น เช่นการปลูกยางพาราแทนการปลูกข้าว การปลูกพืชสวนแทนการปลูกถั่วเขียวหรือถั่วเหลือง เป็นต้น รัชฎา (2546) การเพิ่มความเข้มในการผลิต โดยการทำให้เกิดความหลากหลายทางการเกษตรขึ้นในพื้นที่เดียวกัน เพื่อเป็นลดความเสี่ยง และประหยัดต้นทุนทางการผลิต อันเนื่องมาจากการขาดแรงงานทางด้านการเกษตร เกษตรกรจึงมีการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำการเกษตร เพื่อลดขั้นตอนการทำงานลง และสามารถที่จะมีรอบการผลิตเพิ่มขึ้นในแต่ละปี รวมทั้งผลผลิตที่ได้นั้นมีคุณภาพตามที่ตลาดต้องการอีกด้วย ส่งผลทำให้เกษตรกรนอกจากลดความเสี่ยงจากปัจจัยทั้ง 4 แล้ว ยังสามารถสร้างผลกำไรจากทำการเกษตรเพิ่มขึ้นได้อีกทางหนึ่งเช่นกัน Fellmann et al. (2005) การปลูกพืชเฉพาะอย่าง (Special Crops) เป็นการทำกิจกรรมทางการเกษตรเชิงเดี่ยว ซึ่งเกิดจากความไม่แน่นอนของผลผลิตที่จะได้ เพียงพอกับความต้องการของตลาด ดังนั้น เกษตรกรจึงปลูกพืชหรือทำกิจกรรมเชิงเดี่ยว โดยที่เกษตรกรจะต้องแบกรับความเสี่ยงของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเกษตรทั้ง 4 ปัจจัย เนื่องจากเป็นการผลิตเพียงอย่างเดียว แต่เกษตรกรจะลดความเสี่ยงด้วยการเข้าไปทำการเกษตรแบบพันธะสัญญา ทำให้เกษตรกรมีการเปลี่ยนแปลงการปลูกพืชหรือการเลี้ยงสัตว์เป็นเชิงเดี่ยวมากขึ้น เช่น การเลี้ยงไก่พันธุ์เนื้อ การเลี้ยงสุกร การทำสวนยางพารา การทำไร่ชา การปลูกข้าวโพด และการทำไร่ยาสูบ เป็นต้น นอกจากนี้แล้วการเปลี่ยนแปลงทางการเกษตรยังสามารถใช้แนวทางในการเปลี่ยนแปลงพร้อมกันด้วย เช่นการเปลี่ยนชนิดของพืชหรือสัตว์ พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของความเข้มในการผลิต การเพิ่มขึ้นของความเข้มในการผลิตพร้อมๆ กับการปลูกพืชเชิงเดี่ยว เป็นต้น ซึ่งตัวเกษตรกรจะเป็นผู้ตัดสินใจในการเปลี่ยนแปลงทางการเกษตร โดยคำนึงถึงความเหมาะสมของปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเกษตร และผลกำไรที่เกษตรกรจะได้รับแนวคิดทฤษฏีการปรับตัว และการปรับตัวทางสังคม ดาวิน (Darwin) เป็นผู้เริ่มใช้คำว่า “การปรับตัว” (Adaptation) ในทฤษฎีว่าด้วยการวิวัฒนาการใน ค.ศ. 1859 โดยได้สรุปความคิดว่าสิ่งมีชีวิตที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมของโลกที่เต็มไปด้วยภยันตรายได้เท่านั้น ที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ ต่อมานักจิตวิทยาได้นำคำว่าการปรับตัวมาใช้ในความหมายทางจิตวิทยาโดยเปลี่ยนมาใช้คำว่า Adjustment ในการศึกษาและเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์ จำเป็นต้องศึกษาทั้งในแง่ชีววิทยาและจิตวิทยา ในแง่ชีววิทยา ได้แก่ การปรับตัวให้เป็นไปตามความต้องการของร่างกาย ส่วนในแง่ของจิตวิทยา หมายถึง การปรับตัวให้เป็นไปตามความต้องการของจิตใจ นิภา นิธยายน (2530, หน้า 7-9) ได้รวบรวมความหมายของการปรับตัวจากนักจิตวิทยาพอสรุปได้ดังนี้ 1. มาล์ม และเจมิสัน (Malm & Jamison) กล่าวว่า การปรับตัว หมายถึง วิธีการที่คนเราปรับตัวให้เป็นไปตามความต้องการของตัวเอง ในสภาพแวดล้อม ซึ่งบางครั้งส่งเสริม บางครั้งขัดขวาง และบางครั้งสร้างความทุกข์ทรมานแก่เรา กระบวนการปรับตัวนี้ เกิดขึ้นจากความจริงที่ว่า มนุษย์ทุกคนมีความต้องการและเราสามารถใช้วิธีการแบบต่าง ๆ ในการดำเนินการเพื่อให้บรรลุถึงความต้องการนั้น ๆ ในสภาวะแวดล้อมที่ปกติธรรมดา หรือมีอุปสรรคขัดขวางต่าง ๆ กันไป 2. ลาซารัส (Lazarus) กล่าวว่า การปรับตัว ประกอบขึ้นด้วยกระบวนการหรือวิธีการทั้งหลายทางจิตซึ่งมนุษย์ใช้ในการเผชิญข้อเรียกร้องหรือแรงผลักดันภายนอกและภายใน ต่อมาในปี 1981 โคลแมน และแฮมแมน (Coleman and Hamman) กล่าวว่า การปรับตัว หมายถึง ผลของความพยายามของบุคคลที่พยายามปรับสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นแก่ตนเอง ไม่ว่าปัญหานั้นจะเป็นปัญหาด้านบุคลิกภาพ ด้านความต้องการหรือด้านอารมณ์ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม จนเป็นสถานการณ์ที่มีบุคคลนั้นสามารถอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้น ๆ เช่นเดียวกับพจนานุกรมทางพฤติกรรมศาสตร์ ได้ให้ความหมายของการปรับตัวว่า 1. เป็นความสัมพันธ์ที่สอดคล้องระหว่างสภาพแวดล้อมกับความต้องการของตนเองทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ 2. เป็นการปรับ และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่จำเป็น เพื่อสนองความต้องการและความพึงพอใจอย่างสูงสุด โดยสร้างความสัมพันธ์ที่กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม นงพงา ลิ้มสุวรรณ (2542, หน้า 89) วัยรุ่น เป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงมากทั้งร่างกายและจิตใจ วัยรุ่นจึงต้องมีการปรับตัวมาก ซึ่งอาจทำให้วัยรุ่นมีปฏิกิริยาต่อการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและอารมณ์ บางครั้งปฏิกิริยาเหล่านี้ อาจเหมือนความผิดปกติที่ต้องการความช่วยเหลือได้ แต่โดยทั่วไปแล้ว ปฏิกิริยาบางครั้งจะเป็นอยู่ชั่วคราวแล้วหายไปเองได้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของวัยรุ่น สามารถแบ่งได้เป็น การเปลี่ยนแปลงทางกายและการเปลี่ยนแปลงด้านจิตใจ กันยา สุวรรณแสง (2536, หน้า 50) ได้ให้ความหมายของการปรับตัวไว้ว่า การปรับตัว หมายถึง การปรับกายใจให้อยู่ในสังคมได้ในสภาวะแวดล้อม และสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างมีความสุข ลักขณา สริวัฒน์ (2544, หน้า 105) ได้ให้ความหมายของการปรับตัวไว้ว่า การปรับตัว คือ การที่บุคคลสามารถสร้างหรือขัดเกลาพฤติกรรมให้เข้ากับแบบแผนของสังคม หรือสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ให้สามารถบรรลุจุดหมายที่ต้องการ ทำให้มีชีวิตอยู่อย่างปกติสุขทั้งทางกายและจิตใจ ไม่เกิดผลเสียทั้งต่อตนเองและผู้อื่น พจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยา อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2532, หน้า 334) ได้ให้ความหมายของการปรับตัวทางสังคมว่า หมายถึง การที่บุคคลปรับตัว ให้เข้ากับผู้อื่นได้ ในการอยู่ร่วมกันในสังคม ซึ่งจะต้องมีการติดต่อสัมพันธ์หรือแข่งขันกัน คนในสังคมจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันได้โดยการปรับปรุงไม่ให้เกิดความขัดแย้งจนถึงต้องแตกกลุ่มกัน แม้ว่าแต่ละคนอาจจะมีนิสัยใจคอหรือผลประโยชน์แตกต่างกัน ทฤษฎีการปรับตัว Erikson อ้างใน (ดวงเดือน พันธุมนาวิน และเพ็ญแข ประจนปัจจนึก, 2524, หน้า 10-12) กล่าวว่า ตั้งแต่แรกเกิดเป็นต้นไปนั้น บุคคลมีการพัฒนาทางอารมณ์เชิงสังคมและบุคลิกภาพไปจนตลอดชีวิต โดยบุคคลอาจเป็นผู้ที่สามารถปรับตัวได้มากน้อยเพียงไรในช่วยอายุใดนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ แต่ที่สำคัญที่สุด คือ ความสัมพันธ์กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมตนในช่วงนั้น ๆ ฉะนั้นในวัยทารกจนถึงวัยรุ่น ครอบครัวจึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับความสามารถในการปรับตัว หรือสุขภาพจิตของบุคคลอย่างใกล้ชิด อีริคสัน (Erikson) ได้แบ่งขั้นตอนของการพัฒนาทางอารมณ์เชิงสังคมของบุคคลออกเป็น 8 ขั้น ซึ่งเริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนอายุ 80 ปี ความจำเป็นที่จะต้องปรับตัวของบุคคลนั้น อีริคสันเห็นว่าส่วนใหญ่เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ทางความรู้ ความสามารถ และความเปลี่ยนแปลงสถานภาพทางสังคม ส่วนการที่บุคคลจะปรับตัวได้ดีเพียงใดนั้น อยู่กับความสัมพันธ์ของบุคคลนั้น ที่มีต่อผู้แวดล้อมรอบตน โดยผู้แวดล้อมรอบตนจะสามารถช่วยให้บุคคลปรับตัวได้อย่างราบรื่น หรือทำการขัดขวาง หรือผลักดันบุคคลไปในทิศทางที่ทำให้ปรับตัวไม่ได้ก็ได้ นอกจากนี้การที่บุคคลสามารถจะปรับตัวได้ดีเพียงไรนั้น ขั้นก่อนยังมีอิทธิพลต่อความสามารถปรับตนในขั้นต่อไปของบุคคลนั้นด้วย ทฤษฎีของอิรีคสัน ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของครอบครัวในการวางพื้นฐานทางจิตใจ ให้แก่บุคคลตั้งแต่วัยทารกเป็นต้นมา ในขั้นก่อนวัยรุ่นนั้น ครอบครัวอาจจะให้กำลังใจ ให้ความมั่นใจ และชักจูงให้ทารกเด็กเล็กและเด็กโต สามารถพัฒนาทางกล้ามเนื้อและทางสติปัญญา เสริมสร้างความสนใจในงานให้เด็ก จนเด็กได้ฝึกฝนจนเกิดความรู้ความชำนาญ และมีความขยันขันแข็งที่จะทำสิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะงานที่ตนชอบและถนัด ส่วนครอบครัวบางประเภท ก็อาจจะเรียกร้องผลักดันเด็กมากเกินไป หรือโอบอุ้มเด็กมากจนเด็กไม่สามารถเป็นตัวของตัวเอง เด็กรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจตนและมีความเห็นขัดแย้งกับครอบครัวอยู่เสมอ เด็กไม่กล้าลองสิ่งแปลกใหม่ รู้สึกว่าตนเองไร้ฝีมือและความสามารถ และเมื่อเป็นเด็กโตก่อนวัยรุ่นก็กลายเป็นคนที่มีปมด้อย เมื่อมาถึงขั้นวัยรุ่น (อายุ 13-19 ปี) เป็นขั้นการปรับตัวขั้นที่ 5 ตามทฤษฎีของอีริคสัน ในช่วงอายุนี้มีสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีระ คือ ความต้องการทางเพศและความต้องการอิสระ ซึ่งทำให้วัยรุ่นดิ้นรน และต่อสู้กับทฤษฎีข้อบังคับทางสังคม ผู้ที่ปรับตัวได้ จะเป็นผู้ที่แสดงความสมดุลระหว่างความต้องการของสังคมกับความต้องการส่วนตัว มีอิสรเสรีพอสมควร แต่ก็ยังยอมรับคำแนะนำตักเตือนจากผู้ใหญ่ สามารถพัฒนาเอกลักษณ์แห่งอีโก้ (Ego-Identity) ซึ่งหมายถึง การเข้าใจว่าตนเองเป็นใครกำลังจะดำเนินชีวิตไปในทิศทางใด และจะเป็นที่ยอมรับนับถือของคนอื่นหรือไม่ มีความเชื่อและค่านิยมทางการเมือง ศาสนา และการเลือกอาชีพอย่างไร ส่วนผู้ที่ปรับตัวไม่ได้ มักจะมีปัญหาทางจิต หรือมีปัญหาทางสังคม ฉะนั้นช่วงวัยรุ่นนี้ บุคคลยังต้องการความอบอุ่นและความเข้าใจจากครอบครัว การผ่อนหนักผ่อนเบาเพื่อฝึกความเป็นอิสระของบุคคล ฉะนั้นความสัมพันธ์ภายในครอบครัวในช่วงวัยรุ่นนี้ จึงยังมีความสำคัญต่อสุขภาพจิตของเยาวชนอยู่มาก การวิจัยเพื่อตรวจสอบสมมุติฐานตามทฤษฎีของอีริคสันนี้ ยังมีอยู่น้อย ทั้งนี้เป็นเพราะลักษณะพัฒนาการทางอารมณ์เชิงสังคมนี้ ยังขาดเครื่องมือวัดและตัวแปรอิสระที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีนี้ได้อ้างอิงการเปลี่ยนแปลงทางสรีระของมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งที่สังเกตและศึกษาได้ไม่ยากนัก ทฤษฎีพัฒนาการทางอารมณ์เชิงสังคมของอีริคสันนี้ เป็นทฤษฎีที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับสุขภาพจิตมากที่สุด เท่าที่มีอยู่ในปัจจุบันทฤษฎีนี้ช่วยให้เข้าใจว่าปัจจัยอะไรบ้างที่สำคัญต่อการปรับตัวของเด็ก โดยทฤษฎีของอีริคสันนี้ กล่าวว่า เด็กต้องปรับตัวเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางสรีระและสังคม การเปลี่ยนแปลงทางสรีระประกอบกับการอบรมเลี้ยงดูของครอบครัว และพื้นฐานทางจิตใจแต่เดิมของเด็ก รวมสามปัจจัยนี้ จะส่งผลร่วมกันต่อความสามารถในการปรับตัวของบุคคลในแต่ละช่วงอายุ ความสามารถปรับตัวหรือสุขภาพจิตที่ดี ในทฤษฎีนี้ หมายถึง การมีนิสัยรักงาน ขยันขันแข็ง มีความรับผิดชอบ เสียสละเพื่อส่วนรวม และมีเกียรติยศแห่งตน และการบรรลุถึงความเป็นจริงแห่งตนในขั้นสูง รอย (Roy & Andrew, 1991, pp. 33-35) ได้อธิบายถึง การปรับตัวทางสังคมไว้ว่า หมายถึง พฤติกรรมการตอบสนองของบุคคลเมื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตนเอง หรือสิ่งแวดล้อมของตนเอง เพื่อปรับคงสภาพสมดุลทั้งร่ายกาย จิตใจ และสังคม ซึ่งรอย (Roy) เชื่อว่าคนเราประกอบด้วย กาย จิต สังคม (Man in a biopsychosocial being) เป็นหน่วยเดียวกันที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ (Unified whole) องค์ประกอบทั้งสามนี้มีความสัมพันธ์ต่อกัน ทำงานผสมผสานเป็นหน่วยเดียวกัน เพื่อคงสภาพปกติสุขหรือภาวะสุขภาพดี สาเหตุใดก็ตามที่มีผลต่อกายย่อมส่งผลกระทบไปยังจิตใจและสังคมด้วย ดังนั้นบุคคลจึงต้องมีการปรับตัว เพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย จิตใจ และสังคม บุคคลที่ประสบความสำเร็จในการปรับตัวจะมีความมั่นคงในชีวิต พฤติกรรมที่แสดงให้เห็นคือ มีสุขภาพดี ยอมรับความเป็นจริง มีความพึงพอใจในชีวิต ส่วนผู้ที่ประสบความล้มเหลวในการปรับตัวก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ ไม่ยอม-รับความจริง เศร้าซึม กลไกที่บุคคลใช้ในการปรับตัวเพื่อรักษาสมดุลประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1. กลไกการควบคุม (regulator mechanism) เป็นกลไกการปรับตัวที่เกิดขึ้นอัตโนมัติ โดยที่บุคคลไม่รู้สึกตัว เป็นการทำงานร่วมกันของระบบประสาท ระบบต่อมไร้ท่อ การรับรู้และการตอบสนองเพื่อที่จะควบคุมการทำงานของร่างกายให้อยู่ในภาวะสมดุล 2. กลไกการรับรู้ (cognator mechanism) เป็นกลไกการปรับตัวที่เกิดจากประสบการณ์และการเรียนรู้ ซึ่งเกี่ยวกับกระบวนการทางจิต สังคม ที่บุคคลใช้ในการปรับตัวให้เข้ากับภาวะเครียด บุคคลจะเรียนรู้การปรับตัวในส่วนนี้ จากทักษะการเข้าสังคม ประสบการณ์แก้ปัญหาในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงและระดับการศึกษาซึ่งเป็นการทำงานของสมองในระดับสูง กลไกการปรับตัวทั้ง 2 ส่วนจะเกิดควบคู่กันเสมอ ทำงานร่วมกันเสมือนว่าเป็นหน่วยเดียวกัน โดยสิ่งเร้าที่ผ่านเข้ามาทางกลไกควบคุมแล้วส่งต่อไปที่กลไกการรับรู้ รอยได้วิเคราะห์ความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ตามหลักของมาสโลว์ (Maslow’s Hierarchy of Needs) มาเป็นแนวทางในการทำความเข้าใจธรรมชาติของคนซึ่งเชื่อว่ามนุษย์ต้องการปรับตัวเพื่อคงไว้ซึ่งความต้องการพื้นฐานที่เป็นดัชนีบ่งชี้ความมั่นคงของชีวิต ซึ่งได้จากการที่บุคคลมีความั่นคงทางด้านร่างกายและความมั่นคงทางด้านสังคม สามารถแสดงออกมาเป็นพฤติกรรม ซึ่งเป็นผลจากกลไกการควบคุมและกลไกการรับรู้ แบ่งเป็น 4 ด้าน คือ 1. พฤติกรรมการปรับตัวตามความต้องการของร่างกาย (physiological needs) เป็นการตอบสนองของบุคคลทางด้านร่างกาย พฤติกรรมจะปรากฏออกมา เป็นการทำงานของเนื้อเยื่อ อวัยวะและระบบ ซึ่งประกอบเป็นร่างกายของมนุษย์ เพื่อตอบสนองความมั่นคงทางด้านร่างกาย (physiologic integrity) ซึ่งพิจารณาได้จากการตอบสนองขั้นพื้นฐาน (Basic Need) ได้แก่ ความต้องการออกซิเจน อาหาร การขับถ่าย การทำกิจกรรมและการพักผ่อน การตอบสนองในด้านต่าง ๆ ต้องอาศัยความรู้สึก การควบคุมน้ำและเกลือแร่ การทำงานของระบบประสาทและระบบต่อมไร้ท่อ โดยมีกลไกการควบคุมเป็นตัวเชื่อมโยงการทำงานและตอบสนองออกมาเป็นพฤติกรรมการปรับตัวเป้าหมายสูงสุดของการดำรงชีวิตในภาวะปกติสุข คือ สมดุล ซึ่งมนุษย์พยายามปรับรักษาสภาวะเช่นนี้ไว้ ถ้าผลการปรับตัวไม่สามารถก่อให้เกิดการตอบสนองในทางบวกได้ก็จะปรากฏเป็นพฤติกรรม การปรับตัวในทางลบหรือล้มเหลว (Maladaptation Behavior) 2. พฤติกรรมการปรับตัวด้านอัตมโนทัศน์ (self-concept) นอกเหนือจากการปรับตัวเพื่อให้ได้มาซึ่งความต้องการทางด้านร่างกาย มนุษย์จำเป็นต้องมีความมั่นคงทางด้านจิตใจ (Psychic Integrity) และสิ่งที่มีบทบาทสำคัญต่อการคงไว้ซึ่งความมั่นคงทางจิตใจคือ ความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับตนเองอันเกิดจากประสบการณ์และการเรียนรู้ตลอดจนการปะทะสัมพันธ์กับผู้อื่น ในทางจิตวิทยาเชื่อว่าพฤติกรรมทุกอย่างของมนุษย์เป็นผลจากความนึกคิดที่บุคคลมีต่อตนเอง บุคคลที่มีความเชื่อมั่นและมองเห็นคุณค่าของตนจะมีการปรับตัวต่อสภาวะกดดันต่าง ๆ ดีกว่าบุคคลที่มีความรู้สึกต่อตนเองในทางลบ 3. พฤติกรรมการปรับตัวตามบทบาทหน้าที่ (role function) การแสดงบทบาทหน้าที่ต่าง ๆ ของบุคคลได้เหมาะสมทั้งทางด้านพฤติกรรม การแสดงออก อารมณ์และความรู้สึก เป็นการตอบสนองความต้องการ และเพื่อคงไว้ซึ่งความมั่นคงทางสังคม (Social Integrity) ในสถานการณ์ใดก็ตามที่บุคคลไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามบทบาทของตนได้ บุคคลต้องมีการปรับตัว เพื่อให้การแสดงบทบาทของตนเป็นไปตามปกติหากจะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยการปรับตัวของบุคคลนั้น 4. การปรับตัวด้านการพึ่งพาระหว่างกัน (interdependence) ความจริงทางสังคมอีกประการหนึ่งคือ การที่คนเราต้องการมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องและพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ถือว่าเป็นความต้องการพื้นฐานของบุคคลที่คงไว้ซึ่งความมั่นคงทางสังคม (Social Integrity) ด้วยประการหนึ่ง ความพอเหมาะระหว่างการพึ่งพาตนเอง (Independence) การพึ่งพาผู้อื่น (Dependence) และการให้ผู้อื่นได้พึ่งพาตน มีส่วนช่วยให้เกิดความมั่นคงทางด้านจิตใจและสังคม โดยปกติบุคคลพยายามคงไว้ซึ่งความเป็นตัวของตัวเองและยอมพึ่งพาอาศัยผู้อื่น ในขอบเขตที่ตนเองและสังคมยอมรับแนวคิดเกี่ยวกับความมั่นคงทางอาหาร การเข้าถึงอาหารที่มีอย่างเพียงพอสำหรับการบริโภคของประชาชนในประเทศ อาหารมีความปลอดภัย และมีคุณค่าทางโภชนาการเหมาะสมตามความต้องการ ตามวัยเพื่อการมีสุขภาวะที่ดี รวมทั้ง การมีระบบการผลิตที่เกื้อหนุน รักษาความสมดุลของระบบนิเวศวิทยา และความคงอยู่ของฐานทรัพยากรอาหารทางธรรมชาติของประเทศ ทั้งในภาวะปกติหรือเกิดภัยพิบัติ สาธารณภัยหรือการก่อการร้ายอันเกี่ยวเนื่องจากอาหาร
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
คำสำคัญ: การจัดการพื้นที่ทางการเกษตร
คำสำคัญ (EN): Management of Agricultural Areas.
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การสร้างความมั่นคงด้านอาหาร และการจัดการพื้นที่ทางการเกษตรอย่างสมดุลยั่งยืน
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
31 สิงหาคม 2557
2557A17002125 ความหลากหลายทางชีวภาพและความมั่นคงทางด้านอาหาร : ลุ่มน้ำน่าน (แผนงานวิจัย) ผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานภาคการเกษตรที่มีผลต่อความมั่นคงทางด้านอาหารในจังหวัดเชียงใหม่ 2558A17002112 ความหลากหลายทางชีวภาพและความมั่นคงทางด้านอาหาร : ลุ่มน้ำน่าน 2559A17002058 ความหลากหลายทางชีวภาพและความมั่นคงทางด้านอาหาร : ลุ่มน้ำน่าน อาหารบำรุงสมอง อาหารเสริมภูมิคุ้มกัน อนาคตของอาหารโลกอยู่ในมือของคุณ โครงการวิจัยเพื่อลดการพึ่งพาปัจจัยภายนอก โดยสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร ยา สมุนไพร และพลังงานในพื้นที่ขยายผลโครงการหลวงแม่สอง โครงการย่อยที่ 2 การศึกษาปัจจัยและเงื่อนไขความสำเร็จของชุมชนต้นแบบที่ประส โครงการวิจัยเพื่อลดการพึ่งพาปัจจัยภายนอก โดยสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร ยา สมุนไพร และพลังงานในพื้นที่ขยายผลโครงการหลวงแม่สอง โครงการย่อยที่ 1 การวิจัยเพื่อลดการพึ่งพาปัจจัยภายนอกในพื้นที่ขยายผลโครงก ระบบอิมัลชันในอาหารและความคงตัว
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก