สืบค้นงานวิจัย
การใช้การยับยั้งเอนไซม์ของ Bacillus cereus ในการทดสอบความเป็นพิษของน้ำ
Kannikar Subrungrueng - มหาวิทยาลัยมหิดล
ชื่อเรื่อง: การใช้การยับยั้งเอนไซม์ของ Bacillus cereus ในการทดสอบความเป็นพิษของน้ำ
ชื่อเรื่อง (EN): Enzyme inhibition of Bacillus cereus as a tool for water toxicity testing
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ (EN): Kannikar Subrungrueng
บทคัดย่อ: การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้ วิธี Dehydrogenase (DHA) และ Fluorescein Diacetate (FDA) methods ในการทดสอบความเป็นพิษของสารเคมีและน้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรม โดยใช้ระดับการยับยั้ง การทำงานของเอนไซม์ dehydrogenase และ esterase ของ แบคทีเรีย Bacillus cereus เป็นตัวชี้วัดความเป็นพิษของวิธี DHA และ FDA ตามลำดับ ทำการศึกษาสภาวะที่เหมาะสมต่อการทดลอง ซึ่งรวมถึง วิธีการเตรียมเชื้อแบคทีเรีย ปริมาณเชื้อเริ่มต้น และระดับความเป็นกรดและด่างของอาหารเลี้ยงเชื้อ สำหรับการทดสอบความเป็นพิษของสารเคมี เลือกสารเคมีที่ใช้ มาจาก 4 กลุ่ม ใหญ่ คือ กลุ่มโลหะหนัก ได้แก่ ทองแดง แคดเมียม และสังกะสี กลุ่มตัวทำละลายได้แก่ เอทานอล และไดเมทธิลซัลฟอกไซด์ สาร ออกซิไดซ์ ได้แก่ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ กลุ่มสารอโรมาติกไฮโดรคาร์บอน ได้แก่ เบนซีน และ เฮพตะคลอร์ ส่วนน้ำทิ้งโรงงาน อุตสาหกรรม ทำการเก็บตัวอย่างจากบ่อบำบัดน้ำเสีย ในเขตอุตสาหกรรม วงแหวนชัชวาลซอย 9 โครงการ 2 เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร จากผลการศึกษา พบว่า อายุและจำนวนเซลล์ที่เหมาะสมสำหรับวิธี DHA และ FDA มีความแตกต่างกัน โดยกรณีวิธี DHA คือ 8 ชั่วโมงและ 108 เซลล์ ส่วนวิธี FDA นั้นควรใช้แบคทีเรียอายุ 4 ชั่วโมง ที่ปริมาณความหนาแน่น 107 เซลล์ และ พบว่าในระดับ pH 7-8 เป็นช่วงความเป็นกรด-ด่างที่เหมาะสมสำหรับวิธีแรก ส่วนวิธีที่สองนั้น พบว่า pH 7 เป็นช่วงความเป็น กรด-ด่างที่เหมาะสม การทดสอบความเป็นพิษของสารเคมีทั้ง 4 กลุ่ม พบว่าสารเคมีกลุ่มโลหะหนักมีความเป็นพิษต่อการทำงานของเอนไซม์ทั้ง 2 ชนิดมากที่สุด โดยวิธี DHA พบว่า แคดเมียม มีความเป็นพิษมากที่สุด โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 1.72 มก/ ลิตร ส่วนวิธี FDA พบว่า ทองแดง มีความเป็นพิษมากที่สุด โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 5.08 มก/ ลิตร ความเป็นพิษของกลุ่มสารเคมีเรียงลำดับได้ดังนี้ คือ กลุ่มโลหะหนัก > กลุ่มสารอโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน > สารออกซิไดซ์ > กลุ่มตัวทำละลาย ยกเว้นเฮพตะคลอร์ซึ่งอยู่ในกลุ่มสาร ไฮโดรคาร์บอน ที่ระดับความเข้มข้นสูงสุดที่เตรียมได้ คือ 1.2 มก/ ลิตร ไม่สามารถตรวจวัดความเป็นพิษ สำหรับในการทดสอบ ความไวของแบคทีเรียที่ผ่านกระบวนการทำแห้งแบบเยือกแข็ง ต่อ โลหะหนัก แคดเมียม และ สังกะสี พบว่าแบคทีเรียที่ผ่าน กระบวนการทำแห้งมีความไวในการตอบรับความเป็นพิษของโลหะทั้งสองมากกว่าแบคทีเรียสด ส่วนการทดสอบความเป็นพิษของ น้ำทิ้งโรงงานอุตสาหกรรมนั้นพบว่าวิธี FDA มีความไวต่อความเป็นพิษมากกว่าวิธี DHA โดยค่า IC50 สำหรับวิธีทั้งสอง คือ ความเข้มข้นน้ำตัวอย่างร้อยละ 8.83 และ 20.29 หรือ คิดเป็นค่า toxic unit เท่ากับ 11.32 และ 4.83 ตามลำดับ. ความไวในการตอบสนองความเป็นพิษ ต่อโลหะหนัก ของวิธี DHA และ FDA แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการ ใช้วิธีทั้งสองนี้เพื่อใช้ในการตรวจเบื้องต้นเพื่อหาการปนเปื้อนของสารในกลุ่มนี้ในแหล่งน้ำธรรมชาติ และน้ำทิ้งจากโรงงาน อุตสาหกรรม ซึ่งจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการทดสอบที่ปกติจำเป็นต้องใช้ชุดทดสอบสำเร็จรูปแบคทีเรีย ที่มีจำหน่ายในท้องตลาด เป็นอย่างมาก แต่ในกรณีที่น้ำตัวอย่างมีระดับความเป็นกรด-ด่าง สูงหรือต่ำผิดปกติ การใช้วิธีทั้งสองจากการศึกษาครั้งนี้ เพื่อตรวจเฝ้า ระวังการปนเปื้อนของแหล่งน้ำนั้นอาจไม่เหมาะสม
บทคัดย่อ (EN): and aromatic hydrocarbon, i.e. benzene and heptachlor were used. The industrial effluent sample was collected from the wastewater treatment plant in industrial Zone at Wongwaen Chatchawan Soi 9, Project 2, Bangkungtain, Bangkok. The results showed that suitable incubation times and cell density for DHA and FDA methods were different. For DHA method, suitable incubating time and cell density were 8 hr and 108 cell/ ml, respectively, while 4 hours and 107 cell /ml were suitable for the FDA method. For both methods, pH levels of the culture media seemed to be critical for the result. The most suitable pH levels for the first method were between pH 7 to 8. The second method was more sensitive to pH change and only pH 7 showed no inhibitory effects to the results. Results from toxicity testing of both test methods with the 4 chemicals groups indicated that heavy metal group was the most toxic group. For DHA method, cadmium had the highest inhibition effect with the IC50 = 1.72 mg/ l. However, for FDA method, copper was the most toxic with, IC50 = 5.08 mg/ l. The toxicity ranking of chemical groups was heavy metal group > aromatic hydrocarbon group > oxidizing agent > solvent group accordingly. One exception was heptachlor, which belongs to aromatic hydrocarbon group. At the maximum concentration that could be prepared, 1.2 mg/ l, no inhibitory effects was observed. Comparing the sensitivity of fresh and lyophilized bacteria on copper and zinc toxicity, the results showed that lyophilized cells were more sensitive to both metals than fresh bacteria cells. Toxicity assessment of the industrial effluent sample with both methods showed that the FDA method was more sensitive than the DHA method . The IC50s were 8.83 % effluent for FDA and 20.29 % for DHA methods, which equivalent to 11.32 and 4.93 toxic units, respectively. The high sensibility of the DHA and FDA toxicity test method to heavy metals indicated possibility of applying them for screening of heavy metal contamination in the environment and industrial effluent. This could greatly reduce cost of using commercially available bacterial test kits for the purpose. However, for toxicity assessment of environmental samples with unusually low or high pH level, the two methods presented here might not be suitable
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เอกสารแนบ: http://dcms.thailis.or.th/dcms/dccheck.php?Int_code=126&RecId=2659&obj_id=1862
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยมหิดล
คำสำคัญ (EN): Toxicity testing
เจ้าของลิขสิทธิ์: มหาวิทยาลัยมหิดล
รายละเอียด: การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้ วิธี Dehydrogenase (DHA) และ Fluorescein Diacetate (FDA) methods ในการทดสอบความเป็นพิษของสารเคมีและน้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรม โดยใช้ระดับการยับยั้ง การทำงานของเอนไซม์ dehydrogenase และ esterase ของ แบคทีเรีย Bacillus cereus เป็นตัวชี้วัดความเป็นพิษของวิธี DHA และ FDA ตามลำดับ ทำการศึกษาสภาวะที่เหมาะสมต่อการทดลอง ซึ่งรวมถึง วิธีการเตรียมเชื้อแบคทีเรีย ปริมาณเชื้อเริ่มต้น และระดับความเป็นกรดและด่างของอาหารเลี้ยงเชื้อ สำหรับการทดสอบความเป็นพิษของสารเคมี เลือกสารเคมีที่ใช้ มาจาก 4 กลุ่ม ใหญ่ คือ กลุ่มโลหะหนัก ได้แก่ ทองแดง แคดเมียม และสังกะสี กลุ่มตัวทำละลายได้แก่ เอทานอล และไดเมทธิลซัลฟอกไซด์ สาร ออกซิไดซ์ ได้แก่ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ กลุ่มสารอโรมาติกไฮโดรคาร์บอน ได้แก่ เบนซีน และ เฮพตะคลอร์ ส่วนน้ำทิ้งโรงงาน อุตสาหกรรม ทำการเก็บตัวอย่างจากบ่อบำบัดน้ำเสีย ในเขตอุตสาหกรรม วงแหวนชัชวาลซอย 9 โครงการ 2 เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร จากผลการศึกษา พบว่า อายุและจำนวนเซลล์ที่เหมาะสมสำหรับวิธี DHA และ FDA มีความแตกต่างกัน โดยกรณีวิธี DHA คือ 8 ชั่วโมงและ 108 เซลล์ ส่วนวิธี FDA นั้นควรใช้แบคทีเรียอายุ 4 ชั่วโมง ที่ปริมาณความหนาแน่น 107 เซลล์ และ พบว่าในระดับ pH 7-8 เป็นช่วงความเป็นกรด-ด่างที่เหมาะสมสำหรับวิธีแรก ส่วนวิธีที่สองนั้น พบว่า pH 7 เป็นช่วงความเป็น กรด-ด่างที่เหมาะสม การทดสอบความเป็นพิษของสารเคมีทั้ง 4 กลุ่ม พบว่าสารเคมีกลุ่มโลหะหนักมีความเป็นพิษต่อการทำงานของเอนไซม์ทั้ง 2 ชนิดมากที่สุด โดยวิธี DHA พบว่า แคดเมียม มีความเป็นพิษมากที่สุด โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 1.72 มก/ ลิตร ส่วนวิธี FDA พบว่า ทองแดง มีความเป็นพิษมากที่สุด โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 5.08 มก/ ลิตร ความเป็นพิษของกลุ่มสารเคมีเรียงลำดับได้ดังนี้ คือ กลุ่มโลหะหนัก > กลุ่มสารอโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน > สารออกซิไดซ์ > กลุ่มตัวทำละลาย ยกเว้นเฮพตะคลอร์ซึ่งอยู่ในกลุ่มสาร ไฮโดรคาร์บอน ที่ระดับความเข้มข้นสูงสุดที่เตรียมได้ คือ 1.2 มก/ ลิตร ไม่สามารถตรวจวัดความเป็นพิษ สำหรับในการทดสอบ ความไวของแบคทีเรียที่ผ่านกระบวนการทำแห้งแบบเยือกแข็ง ต่อ โลหะหนัก แคดเมียม และ สังกะสี พบว่าแบคทีเรียที่ผ่าน กระบวนการทำแห้งมีความไวในการตอบรับความเป็นพิษของโลหะทั้งสองมากกว่าแบคทีเรียสด ส่วนการทดสอบความเป็นพิษของ น้ำทิ้งโรงงานอุตสาหกรรมนั้นพบว่าวิธี FDA มีความไวต่อความเป็นพิษมากกว่าวิธี DHA โดยค่า IC50 สำหรับวิธีทั้งสอง คือ ความเข้มข้นน้ำตัวอย่างร้อยละ 8.83 และ 20.29 หรือ คิดเป็นค่า toxic unit เท่ากับ 11.32 และ 4.83 ตามลำดับ. ความไวในการตอบสนองความเป็นพิษ ต่อโลหะหนัก ของวิธี DHA และ FDA แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการ ใช้วิธีทั้งสองนี้เพื่อใช้ในการตรวจเบื้องต้นเพื่อหาการปนเปื้อนของสารในกลุ่มนี้ในแหล่งน้ำธรรมชาติ และน้ำทิ้งจากโรงงาน อุตสาหกรรม ซึ่งจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการทดสอบที่ปกติจำเป็นต้องใช้ชุดทดสอบสำเร็จรูปแบคทีเรีย ที่มีจำหน่ายในท้องตลาด เป็นอย่างมาก แต่ในกรณีที่น้ำตัวอย่างมีระดับความเป็นกรด-ด่าง สูงหรือต่ำผิดปกติ การใช้วิธีทั้งสองจากการศึกษาครั้งนี้ เพื่อตรวจเฝ้า ระวังการปนเปื้อนของแหล่งน้ำนั้นอาจไม่เหมาะสม
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การใช้การยับยั้งเอนไซม์ของ Bacillus cereus ในการทดสอบความเป็นพิษของน้ำ
Kannikar Subrungrueng
มหาวิทยาลัยมหิดล
2548
สภาวะทดสอบที่เหมาะสมสำหรับการทดสอบความเป็นพิษของน้ำทิ้งรวมจากอุตสาหกรรมด้วยกุ้งก้ามกราม การศึกษาผลของเทคโนโลยี Hurdle ต่อการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ Bacillus cereus โดยใช้การปรับค่าความเป็นกรดด่าง ค่าปริมาณน้ำอิสระ และสภาวะบ การทดสอบความเป็นพิษของสีย้อมโดยใช้สาหร่ายและไรแดง การพัฒนาแบบจำลองน้ำหลากผิวดินเชิงอุทกวิทยาเพื่อใช้สำหรับปากแม่น้ำที่ได้รับอิทธิพลจากน้ำขึ้น-น้ำลง การศึกษาความแตกต่างของสารพิษ hemolysi BL ที่ผลิตโดยเชื้อ Bacillus cereus ที่แยกได้ในประเทศไทย ชีวภาพความพร้อมของการนำไปใช้ การสะสมในเซลล์ และคุณสมบัติในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์แองจิโอเทนซิน I ของสา การศึกษาปริมาณน้ำใช้ น้ำเสีย และขยะในมหาวิทยาลัยนเรศวร (ส่วนหนองอ้อ) จังหวัดพิษณุโลก การใช้สาหร่ายทะเลบำบัดคุณภาพน้ำในระบบการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การบำบัดน้ำเสียในพื้นที่ชุ่มน้ำที่ปนเปื้อนแคดเมียมโดยใช้พืช การค้นหาและการทดสอบคุณสมบัติสารยับยั้งซีเอฟทีอาร์เพื่อใช้ในการรักษาอหิวาตกโรค
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก