สืบค้นงานวิจัย
การผลิตข้าวโพดและข้าวฟ่างเพื่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดี
สดใส ช่างสลัก - มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ชื่อเรื่อง: การผลิตข้าวโพดและข้าวฟ่างเพื่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดี
ชื่อเรื่อง (EN): Increasing the Potential of Production and Utilization on Corn and Sorghum
บทคัดย่อ: โครงการทดลองข้าวโพดข้าวฟ่างระดับไร่กสิกร ได้ทำการทดสอบพันธุ์ข้าวโพดลูกผสมกึ่งการค้าในสภาพไร่กสิกร ในพื้นที่ 2 เขต คือ เขตพื้นที่จังหวัดตาก จำนวน 22 พันธุ์ 3 แห่ง และ เขตจังหวัดนครสวรรค์ ลพบุรี นครราชสีมาและฉะเชิงเทรา จำนวน 24 พันธุ์ 6 แห่ง วางแผนการทดลองแบบ RCB จำนวน 3 ซ้ำ ระหว่างเดือนพฤษภาคม ถึงธันวาคม 2552 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพการให้ผลผลิตของข้าวโพดลูกผสมที่พัฒนาขึ้นใหม่ก่อนที่จะแนะนำให้เกษตรกรใช้เป็นพันธุ์ปลูกในแต่ละท้องที่ ผลการทดสอบพบว่าจากการวิเคราะห์ข้อมูลรวม จำนวน 22 พันธุ์ 3 แห่ง พันธุ์ NT 6346 ให้ผลผลิตสูงสุด 1,031 กก./ไร่ แต่ไม่มีความแตกต่างทางสถิติกับพันธุ์เปรียบเทียบคือ SW 4452 ซึ่งให้ผลผลิต 943 กก./ไร่ พันธุ์ Bio 569 ให้ผลผลิตต่ำสุด 735 กก./ไร่ ซึ่งใกล้เคียงกับ KSX 5211 และ SH 0901 และให้ผลผลิตต่ำกว่า SW 4452 ถึง 22,18 และ 15 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ส่วนผลการวิเคราะห์ข้อมูล 24 พันธุ์ รวม 6 แห่ง พบว่า พันธุ์ NT 6326 ให้ผลผลิตสูงสุด 1,135 กก./ไร่ แต่ไม่มีความแตกต่างทางสถิติกับพันธุ์ SW 4452 ซึ่งให้ผลผลิต 1,127 กก./ไร่ ส่วนพันธุ์ KSX 5214, DK 888, Bio. 569, FBC#2 และ KSX 5211 ให้ผลผลิตต่ำกว่าพันธุ์เปรียบเทียบ 15-21 เปอร์เซ็นต์ การทดสอบพันธุ์ข้าวโพดลูกผสมทางการค้าในสภาพไร่กสิกร ในเขตจังหวัดนครราชสีมา ลพบุรี ฉะเชิงเทรา และตาก จำนวน 6 แห่ง วางแผนการทดลองแบบ RCB จำนวน 3 ซ้ำ จำนวน 10 สิ่งทดลอง ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงธันวาคม 2552 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพการให้ผลผลิตและการปรับตัวของพันธุ์ข้าวโพดลูกผสมที่เหมาะสมในพื้นที่ และให้เกษตรกรได้เลือกพันธุ์ข้าวโพดที่ให้ผลผลิตสูงและราคาถูก ผลการวิเคราะห์ข้อมูลรวมพบว่าพันธุ์ SW 4452 ให้ผลผลิตเฉลี่ยสูงสุด 880 กก./ไร่ พันธุ์ NK 48, NK 40, P30Y87 และ P4296 ให้ผลผลิตรองลงมาคือ 812 831 813 และ 806 กก./ไร่ และไม่มีความแตกต่างกับพันธุ์ SW 4452 ส่วนพันธุ์ NK 31, Cargill 717, Cargill 919, P30B80 และ DK 888 ซึ่งให้ผลผลิตต่ำกว่า SW 4452 เท่ากับ 10,12,13, 10 และ 10 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ผลผลิตเฉลี่ยทั้งการทดลอง 806 กก./ไร่ ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ ได้ร่วมกับนิคมสหกรณ์แม่สอด กรมส่งเสริมสหกรณ์ ภายใต้นโยบายของรัฐบาลในการดำเนินการตามโครงการจัดตั้งนิคมการเกษตรพืชอาหารและพืชพลังงานทดแทน เนื่องจากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นพืชที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของจังหวัดตาก จึงทำการทดสอบ และสาธิตการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์พันธุ์ลูกผสม ในพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก จำนวน 2 แปลง ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงกันยายน 2552 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหาพันธุ์ข้าวโพดลูกผสมที่เหมาะสมในพื้นที่ และให้เกษตรกรได้เลือกพันธุ์ข้าวโพดที่ให้ผลผลิตสูงและราคาถูก วางแผนการทดลองแบบ RCB มี 3 ซ้ำ จำนวน 14 สิ่งทดลอง พบว่าผลผลิตเฉลี่ยทั้ง 2 แปลง มีค่าระหว่าง 953 – 1,257 กก/ไร่ พันธุ์ NK 40 ให้ผลผลิตเฉลี่ยสูงสุด 1,257 กก./ไร่ แต่ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติกับพันธุ์ PF 222, NK 48, P 4296, BIG 939, Monsanto 9901, NK 20, Pio. K95 และ สุวรรณ 4452 ซึ่งเป็นพันธุ์เปรียบเทียบ พันธุ์ DK 888 ให้ผลผลิตเฉลี่ยต่ำสุด 953 กก./ไร่ ค่าเฉลี่ยผลผลิตของแปลงทดลอง 1,090 กก./ไร่ พันธุ์ที่เกษตรกรผลิตใช้เองให้ผลผลิตใกล้เคียงกับพันธุ์ DK 888 คือ 958 กก./ไร่ ข้าวโพดลูกผสมที่นำมาทดสอบและสาธิตครั้งนี้ ให้ผลผลิตสูงและปรับตัวได้ดีกับพื้นที่ อ.แม่สอดทุกพันธุ์ เกษตรกรจึงสามารถเลือกใช้พันธุ์ใดก็ได้ เพราะให้ผลผลิตสูงกว่าพันธุ์ DK 888 ที่เกษตรกรนิยมใช้ การทดสอบพันธุ์ข้าวโพดหวานลูกผสมในระดับไร่กสิกร ปี 2552 มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศักยภาพการปรับตัวของข้าวโพดหวานลูกผสมพันธุ์ใหม่ในสภาพไร่กสิกร ตลอดจนผลผลิต และลักษณะทางการเกษตรบางประการ ทำการทดลองระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ – สิงหาคม 2552 วางแผนการทดลองแบบ RCB จำนวน 3 ซ้ำ 14 พันธุ์ ในเขตจังหวัดนครราชสีมา ลพบุรี และสงขลา จำนวน 4 แห่ง ผลการวิเคราะห์ข้อมูลรวม พบว่า KSSC 903 ให้ผลผลิตฝักสดทั้งเปลือก ฝักสดปอกเปลือก และ ผลผลิตฝักดีสูงสุด 2,437 1,598 และ 1,726 กก./ไร่ ตามลำดับ พันธุ์ KSSC 202 ให้ผลผลิตข้าวโพดฝักสดทั้งเปลือก ฝักสดปอกเปลือกและผลผลิตฝักดีต่ำสุด 1,192 877 และ 821 กก./ไร่ ตามลำดับ พันธุ์ Hibrix 51, Sugar Max, KSSC 204, HC 02, Sugar 75, KSSC 604 และ KSSC 605 ให้ผลผลิตฝักสดทั้งเปลือก และฝักสดปอกเปลือกรองลงมาและไม่มีความแตกต่างกันกับพันธุ์ KSSC 903 ส่วนพันธุ์ KSSC 605 ให้น้ำหนักฝักเสียต่ำสุด 49 กก./ไร่ พันธุ์ KSSC 236 ให้ความหวานสูงสุด 15.6 %brix แต่ไม่มีความแตกต่างทางสถิติกับพันธุ์ Insee 2 ที่ให้ความหวาน 15.2%brix การใช้สารกำจัดวัชพืช 2,4-D, glufosinate, fluroxypyr และ paraqปัจจุบันโครงการปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของทั้งภาครัฐและเอกชนได้ดำเนินงานวิจัยปรับปรุงข้าวโพดลูกผสมเป็นหลัก การมีเชื้อพันธุกรรมที่ได้รับการพัฒนาแล้วไหลเข้าสู่โครงการปรับปรุงพันธุ์เป็นสิ่งสำคัญ วัตถุประสงค์ของงานวิจัยนี้เพื่อแนะนำสายพันธุ์แท้ที่มีศักยภาพที่สามารถนำไปใช้เป็นเชื้อพันธุกรรมในโครงการปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดลูกผสม จากการศึกษาพบว่าสายพันธุ์แท้ Ki 49 ถึง Ki 52 เป็นสายพันธุ์แท้ที่พัฒนามาจากผลพลอยได้ของการปรับปรุงประชากรของพันธุ์ KS23(S)C2 , Suwan1(S)C11, และ Suwan 5(S)C4 เมื่อได้ผสมกับสายพันธุ์ทดสอบ Ki 48 พบว่าสายพันธุ์แท้ทั้ง 4 สายพันธุ์ ให้ลูกผสมอยู่ในเกณฑ์สูงกว่าค่าเฉลี่ยของการทดลองที่ทดสอบในหลายสภาพแวดล้อม ในช่วงปี พ.ศ. 2546-2550 สายพันธุ์แท้ทั้ง 4 สายพันธุ์มีความต้านทานโรคราน้ำค้าง และโรคทางใบต่างๆได้ดี และมีลักษณะทางการเกษตรอื่นๆในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ จึงเห็นสมควรแนะนำสายพันธุ์แท้ทั้ง 4 สายพันธุ์ สำหรับใช้เป็นเชื้อพันธุกรรมที่มีศักยภาพในโครงการปรับปรุงพันธุ์หรือใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์ในการผลิตข้าวโพดลูกผสม การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอาจมีผลกระทบต่อการผลิตข้าวโพดของประเทศไทยในอนาคต ปัจจุบันมักพบว่าอากาศแห้งแล้งจะยาวนานขึ้น และ การเกิดสภาวะแห้งแล้งบ่อยครั้งมากขึ้นในแหล่งปลูกข้าวโพด นักปรับปรุงพันธุ์มีความจำเป็นต้องพิจารณาหาลักษณะที่เด่นบางลักษณะที่สามารถช่วยเพิ่มผลผลิต และทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมได้ด้วย ลักษณะฝักดก (Prolificacy) เป็นลักษณะหนึ่งที่มีศักยภาพในการช่วยเพิ่มผลผลิต และทนทานต่อความแปรปรวนของสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้ดี จุดประสงค์ของการวิจัยในระดับเบื้องต้นนี้เพื่อศึกษาถึงการใช้อัตราปลูกที่ต่างกันที่มีต่อข้าวโพดลูกผสมฝักดก และข้าวโพดลูกผสมฝักเดี่ยว โดยใช้แผนการทดลองแบบสุ่มในบลอกสมบูรณ์ จัดการทดลองในรูป Split-plot จำนวน 3 ซ้ำ Main-plot ประกอบด้วยอัตราปลูก 2 ระดับ คือ อัตราปลูกต่ำ (7,111 ต้นต่อไร่) และ อัตราปลูกสูง (10,066 ต้นต่อไร่) Sub-plot ประกอบด้วยลูกผสมเดี่ยว จำนวน 30 พันธุ์ แบ่งเป็น ลูกผสมฝักดกทดลอง จำนวน 13 พันธุ์ ลูกผสมฝักเดี่ยวทดลอง จำนวน 12 พันธุ์ และ ลูกผสมฝักเดี่ยวการค้า จำนวน 5 พันธุ์ ดำเนินการทดลองที่ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2552 ผลการทดลองแสดงว่า กลุ่มลูกผสมฝักดกทดลอง ให้ผลผลิตสูงกว่า กลุ่มลูกผสมฝักเดี่ยวที่อัตราปลูกต่ำ แต่ให้ผลผิตต่ำกว่ากลุ่มลูกผสมฝักเดี่ยวการค้าที่อัตราปลูกสูง ตำแหน่งฝักของกลุ่มลูกผสมฝักดกทดลองสูงกว่ากลุ่มลูกผสมฝักเดี่ยวในอัตราปลูกทั้ง 2 ระดับ กลุ่มพันธุ์ลูกผสมทดลองฝักดกให้ค่าเฉลี่ยจำนวนฝักต่อต้นสูงกว่ากลุ่มพันธุ์ลูกผสมฝักเดี่ยวในอัตราปลูกทั้ง 2 ระดับ ผลจาการศึกษานี้จึงพิจารณาได้ว่าลักษณะข้าวโพดฝักดกน่าจะปรับตัวได้ดีกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้ดีกว่าข้าวโพดฝักเดี่ยว ผลการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์แท้และพันธุ์ลูกผสม รวมทั้งการปรับปรุงประชากรข้าวโพดหวานและข้าวโพดฝักอ่อนมาอย่างต่อเนื่อง ได้พันธุ์ข้าวโพดหวานและข้าวโพดฝักอ่อนลูกผสมเดี่ยว จำนวน 2 พันธุ์ มีดังนี้ 1) ข้าวโพดหวานลูกผสมเดี่ยวพันธุ์ KSSC 604 ยีน sh2 ได้จากการผสมระหว่างสายพันธุ์แท้ KSei 14004 กับสายพันธุ์แท้ Hi-Brix 4-S12-25-1-2 จากผลการทดสอบพันธุ์ที่ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ ในฤดูแล้ง ต้นฤดูฝน และปลายฤดูฝน ปี พ.ศ. 2549 พบว่า พันธุ์ KSSC 604 ให้ค่าเฉลี่ยของน้ำหนักฝักสดทั้งเปลือก (2,371 กก./ไร่) น้ำหนักฝักสดปอกเปลือก (1,589 กก./ไร่) น้ำหนักฝักสดปอกเปลือกที่ดี (1,368 กก./ไร่) จำนวนฝักดี 6,073 ฝัก/ไร่ และเปอร์เซ็นต์เมล็ดที่ตัด (43.0%) สูงกว่าพันธุ์อินทรี 2 (พันธุ์เปรียบเทียบ) 26.3, 39.6, 38.6, 5.5 และ 15.3% ตามลำดับ มีความหวาน (14.5% บริกซ์) ความนุ่ม และรสชาติ ดีกว่าเล็กน้อย แต่มีขนาดฝัก (ความยาวฝักถึงปลายติดเมล็ด 16.5 ซม. และความกว้างฝัก 4.5 ซม.) และขนาดเมล็ด (ความกว้างเมล็ด 9.9 มม. และความยาวเมล็ด 11.9 มม.) ใหญ่กว่าพันธุ์อินทรี 2 และมีลักษณะทางการเกษตรบางอย่างดีกว่า ได้แก่ ลักษณะต้น และความต้านทานโรคทางใบ (โรค ราสนิม) และมีเปลือกหุ้มเมล็ดบางกว่าเล็กน้อย (ด้าน abgermial 112 ไมครอน และด้าน germinal 122 ไมครอน) ฝักสีเหลือง ทรงกระบอก มี 14-16 แถว เมล็ดเรียงตัวสม่ำเสมอ ไหมมีสีอ่อน มีอายุวันสลัดละอองเกสร 50% 51 วัน อายุวันออกไหม 50% 52 วัน (เฉลี่ยในต้นฤดูฝนและปลายฤดูฝน) ความสูงต้น 173 ซม. และความสูงฝัก 91 ซม. สูงกว่าพันธุ์อินทรี 2 เล็กน้อย และได้ทดลองผลิตเมล็ดพันธุ์ KSSC 604 ให้โรงงานทดลองแปรรูปในปี พ.ศ. 2550 2) ข้าวโพดฝักอ่อนลูกผสมเดี่ยวที่ช่อดอกเพศผู้เป็นหมันและไม่ต้องถอดยอดพันธุ์ KBSC 605 พัฒนามาจากการผสมระหว่าง สายพันธุ์แท้ข้าวโพดฝักอ่อน Ki 28 cms ซึ่งมีลักษณะเพศผู้เป็นหมันเนื่องมาจากไซโตพลาสซึมชนิด C (C cytoplasmic male sterility, C-cms) กับสายพันธุ์แท้ PACB 421-S14-223 ผลการทดสอบพันธุ์ข้าวโพดฝักอ่อนลูกผสมร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนที่ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ ในต้นและปลายฤดูฝนปี พ.ศ. 2548 พบว่า พันธุ์ KBSC 605 ให้น้ำหนักฝักสดทั้งเปลือก 1,049 กก./ไร่ น้ำหนักฝักสดปอกเปลือก 188 กก./ไร่ น้ำหนักฝักสดมาตรฐาน 164 กก./ไร่ น้ำหนักฝักเสีย 24 กก./ไร่ จำนวนฝักดี 26,052 ฝัก/ไร่ (90.61%) และจำนวนฝักเสีย 2,701 ฝัก/ไร่ (9.39%) แตกต่างจากพันธุ์ G-5414 -10.72, 14.63, 22.39, –20.00, 9.80 และ -43.97% ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังให้อัตราแลกเนื้อ 5.65 สูงกว่าพันธุ์ G-5414 ซึ่งให้อัตราแลกเนื้อ 7.19 พันธุ์ KBSC 605 มีอายุเก็บเกี่ยววันแรก 49.5 วัน จำนวนฝัก 1.77 ฝัก/ต้น ฝักอ่อนสีเหลือง ปลายแหลม ไข่ปลาเรียงตัวสม่ำเสมอ ความสูงต้น 190 ซม. ความสูงฝัก 104 ซม. ต้านทานการหักล้ม และโรคทางใบ มีลักษณะลักษณะต้นที่ดี และให้น้ำหนักต้นสด 6,496 กก./ไร่ และได้ผลิตเมล็ดพันธุ์ KBSC 605 เพื่อเผยแพร่พันธุ์นี้สำหรับแปรรูปเพื่อส่งออกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 นอกจากนี้ ยังได้รับทุนโครงการวิจัยและพัฒนาภาครัฐร่วมเอกชนในเชิงพาณิชย์ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา โครงการ การทดสอบพันธุ์ข้าวโพดฝักอ่อนลูกผสมเดี่ยวที่ไม่ต้องถอดยอด KBSC 605 สำหรับอุตสาหกรรมแปรรูป และดำเนินการเสร็จสิ้นในปี พ.ศ. 2551 ในช่วงปี พ.ศ. 2550-2552 โครงการปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดเทียนและข้าวโพดข้าวเหนียว ได้ทำการปรับปรุงพันธุ์ และปลูกทดสอบเพื่อคัดเลือกสายพันธุ์พ่อแม่สำหรับผลิตข้าวโพดข้าวเหนียวลูกผสมจำนวน 8 การทดลอง คือ 1. การปรับปรุงพันธุ์ข้าวโพดข้าวเหนียวพันธุ์สังเคราะห์ 4 สายพันธุ์ 2. การปรับปรุงสายพันธุ์แท้ข้าวโพดข้าวเหนียวและข้าวโพดข้าวเหนียวแปดแถว จำนวน 8 และ 12 สายพันธุ์ 3. การปรับปรุงสายพันธุ์แท้ข้าวโพดเทียนโดยวิธีการคัดรวม และวิธีการจดประวัติ จำนวน 31 และ 10 สายพันธุ์ 4. การปรับปรุงสายพันธุ์แท้ข้าวโพดข้าวเหนียวจากภาควิชาพืชไร่นา มก. จำนวน 16 และ 37 สายพันธุ์ 5. การปรับปรุงสายพันธุ์แท้ข้าวโพดข้าวเหนียวหวาน จำนวน 12 และ 16 สายพันธุ์ 6. การทดสอบข้าวโพดข้าวเหนียวลูกผสมชั่วที่ 1 เพื่อคัดเลือกสายพันธุ์แท้ จำนวน 38 คู่ผสม 7. การทดสอบสมรรถนะการผสมสายพันธุ์แท้ข้าวโพดข้าวเหนียวแปดแถว จำนวน 26 คู่ผสม 8. การทดสอบสมรรถนะการผสมสายพันธุ์แท้ข้าวโพดข้าวเหนียว จำนวน 10 คู่ผสม การปรับปรุงพันธุ์ข้าวฟ่างในปี 2550-2552 Improvement of Sorghum during 2007 -2009 ธำรงศิลป โพธิสูง1 สมชาย ปิยพันธวานนท์2 และ ถวิล นิลพยัคฆ์1 Thamrongsilpa Pothisoong1, Somchai Piyapanthawanon2,and Tawil Nilpayak1 ในระหว่างปี พ.ศ. 2550-2552 โครงการปรับปรุงพันธุ์ข้าวฟ่างได้ทำการวิจัย 4 เรื่อง คือ การปรับปรุงพันธุ์ข้าวฟ่างเมล็ด 4 การทดลอง ข้าวฟ่างอาหารสัตว์ 1 การทดลอง ข้าวฟ่างหวาน 4 การทดลอง ข้าวฟ่างหางกระรอก 1 การทดลอง และหญ้าไข่มุก 1 การทดลอง เพื่อคัดเลือกพันธุ์ที่ดี นำไปทดลองปลูกในไร่นาเกษตรกร และแนะนำสู่เกษตรกรต่อไป ปัจจุบันอุตสาหกรรมเอทานอลภายในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สืบเนื่องมาจากการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ด้านพลังงานของรัฐบาล ที่กำหนดให้มีการใช้เอทานอลเป็นส่วนผสมในน้ำมันเบนซิน โดยมีวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตเอทานอล คือ อ้อยและมันสำประหลัง โดยพืชทั้งสองนั้นยังถูกจัดให้เป็นพืชอาหารที่สำคัญของประเทศไทย ในอนาคตอาจทำให้เกิดการแข่งขันระหว่างการใช้วัตถุดิบเพื่อบริโภคเป็นอาหารและเพื่อใช้เป็นพลังงานเชื้อเพลิง ข้าวฟ่างหวานเป็นพืชชนิดหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากหลายประเทศว่า เป็นพืชที่มีศักยภาพสำหรับใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเอทานอล ดังนั้นจึงทำการทดลองผลของความถี่การให้น้ำที่มีต่อน้ำหนักต้นสดข้าวฟ่างหวาน 4 พันธุ์เพื่อผลิตเอทานอล ทำการทดลองที่ สถานีวิจัยเขาหินซ้อน สถาบันอินทรีจันทรสถิตย์เพื่อการค้นคว้าและพัฒนาพืชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ต. เขาหินซ้อน อ. พนมสารคาม จ. ฉะเชิงเทรา ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2551 – มีนาคม 2552 วางแผนการทดลองแบบ Split plot in RCBD มี 4 ซ้ำ Main plot คือ ข้าวฟ่างหวาน 4 พันธุ์ ได้แก่ SW1001, SW1002, SW1005 และ SW1008 Sub plot คือ ความถี่การให้น้ำ 4 ระดับ ได้แก่ ให้น้ำทุก 7 วัน, 10 วัน, 14 วัน และ 21 วัน โดยมีปริมาณการให้น้ำแตกต่างกันในแต่ละระดับความถี่ (35, 50, 70 และ 105 มิลลิเมตร ตามลำดับ) ผลการทดลอง พบว่า อายุวันออกดอก ความสูงต้น น้ำหนักต้นสดต่อไร่ ปริมาณน้ำคั้นต่อไร่ และน้ำหนักต้นสด 1ตัน ให้ปริมาณน้ำคั้นต่อไร่แตกต่างกันทางสถิติ โดยพันธุ์ SW1005 มีน้ำหนักต้นสด 1ตัน ให้ปริมาณน้ำคั้นต่อไร่สูงสุด คือ 498 กิโลกรัม ส่วนพันธุ์ SW1008 มีน้ำหนักต้นสด 1ตันให้ปริมาณน้ำคั้นต่อไร่ต่ำสุด คือ 432 กิโลกรัม ในส่วนความถี่ของการให้น้ำ พบว่า น้ำหนักต้นสด 1ตันจะให้ปริมาณน้ำคั้นต่อไร่ลดลงเมื่อได้รับน้ำในระดับความถี่ที่ลดน้อยลง (ทุก 10 วัน, 14 วัน และ 21 วัน) โดยการให้น้ำทุก 7 วัน มีน้ำหนักต้นสด 1 ตัน ให้ปริมาณน้ำคั้นต่อไร่สูงสุด คือ 806 กิโลกรัม และการให้น้ำทุก 21 วัน มีน้ำหนักต้นสด 1 ตัน ให้ปริมาณน้ำคั้นต่อไร่ต่ำสุด คือ 275 กิโลกรัม ส่วนการวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีเพื่อผลิตเอทานอล พบว่า พันธุ์ SW1001 และการให้น้ำทุก 7 วัน มีผลผลิตเอทานอลสูงสุด คือ 79.57 และ 162.82 ลิตรต่อไร่ ตามลำดับ ปัญหาในการผลิตข้าวโพดฝักอ่อนเพื่ออุตสาหกรรม คือผลผลิตต่อไร่ค่อนข้างต่ำ คุณภาพของผลผลิตไม่ได้มาตรฐาน ปริมาณผลผลิตไม่สม่ำเสมอ และไม่เพียงพอต่อความต้องการของโรงงาน ดังนั้นการเพิ่มผลผลิตต่อพื้นที่จึงเป็นสิ่งจำเป็นในการผลิตข้าวโพดฝักวอ่อนเพื่ออุตสาหกรรม การทดลองนี้ต้องการศึกษาผลของพันธุ์ข้าวโพดและอัตราฮอร์โมนและสารควบคุมการเจริญเติบโต (ต่อไปจะเรียกว่า Plant Growth Regulators; PGR) ที่มีต่อการเพิ่มผลผลิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำนวนฝักต่อต้นของข้าวโพดฝักอ่อน วางแผนการทดลองแบบ Split plot in RCBD มี 4 ซ้ำ โดยมี Main plot คือ พันธุ์ข้าวโพด ฝักอ่อน 3 พันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ PAC283, SG17 และKBSC605 Sub plot คืออัตรา PGA ได้แก่ Control (0 ppm), Gibberelic Acid (GA,) อัตรา 50, 100, 150, 200 ppm และ Potassium Chlorate (KClO3) อัตรา 250, 500 ppm ทดลอง ณ ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ในช่วงเดือนมกราคม 2551 - มีนาคม 2551 ผลการทดลองพบว่า ข้าวโพดฝักอ่อนทั้ง 3 สายพันธุ์ให้น้ำหนักฝักทั้งเปลือก น้ำหนักฝักปอกเปลือก น้ำหนักต้น ความสูงต้น และจำนวนฝักทั้งหมดแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยพันธุ์ KBSC605 ให้น้ำหนักต้น (7162 กก./ไร่)ม น้ำหนักฝักปอกเปลือก (285 กก./ไร่), ความสูงต้น (194 ซม.) และจำนวนฝัก (33638 ฝัก/ไร่) สูงสุดรองลงมาได้แก่พันธุ์ PAC283 ส่วนพันธุ์ SG17 ให้น้ำหนักฝักทั้งเปลือก (1734 กก./ไร่) สูงสุด แม้ว่าการใช้ PGR ทั้ง 2 ชนิดในระดับความเข้มข้นต่าง ๆ ในการทดลองนี้ไม่สามารถทำให้น้ำหนักฝักทั้งเปลือก น้ำหนักฝักปอกเปลือก น้ำหนักต้น จำนวนฝักต่อต้น และจำนวนฝักทั้งหมดมีความแตกต่างกันทางสถิติ แต่การใช้ GA3 50 ppm และ 100 ppm มีแนวโน้มที่สามารถเพิ่มน้ำหนักฝักทั้งเปลือก (1617 และ 1622 กก./ไร่) น้ำหนักฝักปอกเปลือก (240 และ 247 กก./ไร่) และจำนวนฝักทั้งหมด (33209 และ 33475) การดำเนินโครงการ เรื่อง การจัดการโรคของข้าวโพดและข้าวฟ่างในประเทศไทยในรอบ 3 ปี (2550-2552) ภายใต้ชุดโครงการวิจัยแม่บทข้าวโพดและข้าวฟ่าง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ “การผลิต ข้าวโพดและข้าวฟ่างเพื่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี” สามารถผลิตผลงานวิจัยได้ตามเป้าหมายโครงการ โดยแบ่งหัวข้อหลักการวิจัยตามกลุ่มเชื้อสาเหตุโรคที่สำคัญของข้าวโพด 3 กลุ่ม ได้แก่ แบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส และมีขอบเขตการวิจัยที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หลักของโครงการตลอดระยะเวลาแผนการดำเนินการวิจัย 3 ปี ได้แก่ การศึกษาและติดตามสถานการณ์การระบาดของโรคสำคัญของข้าวโพด ชีววิทยาการระบาดที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรค และการพัฒนาวิธีการปลูกเชื้อที่เหมาะสมสำหรับการคัดพันธุ์ต้านทานโรค พัฒนาวิธีการตรวจสอบ วินิจฉัย และจำแนกชนิดเชื้อสาเหตุโรคสำคัญของข้าวโพดที่มีประสิทธิภาพและแม่นยำรวดเร็ว และพัฒนาวิธีการจัดการและควบคุมโรคของข้าวโพดด้วยวิธีการทางเลือกและชีววิธี ตลอดจนการศึกษากลไกที่เกี่ยวข้องของจุลินทรีย์ปฏิปักษ์ควบคุมโรค การผลิตสูตรผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์ และการปรับใช้ในสภาพแปลงปลูก โดยสามารถสรุปผลการดำเนินงานแต่ละหัวข้อย่อยได้ดังนี้ การศึกษาและติดตามสถานการณ์การระบาดของโรคสำคัญของข้าวโพด ชีววิทยาการระบาดที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรค และการพัฒนาวิธีการปลูกเชื้อที่เหมาะสมสำหรับการคัดพันธุ์ต้านทานโรค พบว่าในช่วงแผนการดำเนินงาน 3 ปี (2550-2552) สถานการการระบาดของโรคข้าวโพดในแปลงปลูกศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ มีความผันแปรตามฤดูกาลปลูกทดลอง และเป็นไปในทิศทางเดียวกับการปลูกในแปลงเกษตรกร โดยพบโรคระบาดหลัก (Major disease) ได้แก่ ราน้ำค้าง(Peronosclerospora sorgi) ไวรัสใบด่าง (SCMV) ใบไหม้แผลใหญ่ (Exserohilum turcichum) ใบขีดแบคทีเรีย (Acidovorax avenae subsp. avenae) และมีโรคระบาดรอง (Minor disease) เช่น ต้นเน่าแบคทีเรีย (Erwinia chrysanthemi pv. zeae) ต้นเน่าเชื้อรา (Fusarium monilifome) กาบและใบไหม้ Rhizoctonia solani solani การศึกษาชีววิทยาการเกิดโรคเพื่อหาแนวทางการจัดการโรคอย่างยั่งยืนประกอบด้วยการศึกษาสภาวะที่เหมาะสมต่อการเกิดโรคเพื่อใช้เป็นเทคนิคในการคัดเลือกพันธุ์ข้าวโพดต้านทานโรคได้แก่ เทคนิคที่เหมาะสมต่อการปลูกเชื้อโรคลำต้นเน่าข้าวโพด และ ใบขีดแบคทีเรียในสภาพเรือนทดลอง และวิธีการปลูกเชื้อที่เหมาะสมต่อโรคกาบและใบไหม้ ใบไหม้แผลใหญ่ เหี่ยวเชื้อราในสภาพไร่ ซึ่งเทคนิคและวิธีการเหล่านี่สามารถนำไปปรับใช้ในขั้นตอนการคัดเลือกพันธุ์ข้าวโพดต้านทานโรคได้ นอกจากนี้การศึกษาในเชิงลึกระดับโมเลกุลสามารถพัฒนาวิธีการตรวจสอบเชื้อสาเหตุโรคพืชได้ คือ การจำแนกชนิดแบคทีเรียสาเหตุโรคใบขีดและลำต้นเน่าข้าวโพดโดยการวิเคราะห์ลำดับเบส โดยการ ใช้ความจำเพาะเจาะจงของไพร์เมอร์ตรวจสอบชนิดของเชื้อแบคทีเรียสาเหตุโรคข้าวโพดชนิดต่างๆ ได้แก่ คู่ไพรเมอร์ AcAV F และ AcAV R ที่มีความจำเพาะเจาะจงต่อบริเวณ 16s-23s ITS region ของเชื้อ A. avenae subsp. avenae ไพรเมอร์ Ech pel F และ Ech pel R มีความจำเพาะเจาะจงกับยีน pel ของเชื้อแบคทีเรีย Erwinia chrysanthemi ไพรเมอร์ PanA F และ PanA R มีความจำเพาะเจาะจงกับบริเวณ 16s-23s ITS region ของเชื้อ P. agglomerans และคู่ไพรเมอร์ HRP1d และ HRP3c และคู่ไพรเมอร์ ES16 และ ESIG2c มีความจำเพาะเจาะจงกับบริเวณ hrps และ 16s-23s ITS region ของเชื้อ P. stewartii และสามารถจำแนกความหลากหลายของสายพันธุ์เชื้อ A. avenae subsp. avenae โดยใช้เทคนิค rep-PCR ซึ่งผลการทดลองสามารถจำแนกเชื้อ A. avenae subsp. avenae ออกเป็น 3 กลุ่มตามลักษณะอาการที่พบ และแบ่งเป็น 2 กลุ่มตามคุณสมบัติการชักนำให้เกิดปฏิกิริยา HR บนพืชทดสอบต่างชนิด ตลอดจนพัฒนาการใช้เทคนิด bio-PCR ตรวจสอบเชื้อ A. avenae subsp. avenae ที่ปนเปื้อนเมล็ดเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด โดยการออกแบบไพรเมอร์ที่จำเพาะบริเวณ 16s-23s rDNA คือ AcAVF 5'-GGC TGG ATC ACC TCC TTT C-3' and AcAVR 5'-ACT TGC GAG GTC TTT CAC C- 3' (จากการอ้างอิงลำดับนิวคลิโอไทด์ สายพันธุ์ FC-320) ในส่วนของโรคไวรัสข้าวโพด ได้มีการพัฒนาวิธีการตรวจสอบเชื้อ ไวรัส SCMV ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพชุดตรวจสอบ และวินิจฉัยเชื้อไวรัส SCMV สาเหตุโรคใบด่าง(Simple and rapid test strip) ที่มีประสิทธิ ภาพใช้ง่าย โดยใช้หลักการในการนำผลิตผล Polyclonal antibody ของ SCMV virions ที่ได้จากวิธี immunized rabbit และ IgG มาทำให้บริสุทธิ์ และยืนยันความจำเพาะเจาะจงด้วยวิธี NCM-ELISA นอกจากนี้ในรอบ 3 ปี ของการวิจัยได้มีการศึกษาอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับวิธีการจัดการโรคแบบทางเลือกด้วยการใช้ชีววธีในการส่งเสริมการเจริญเติบโต การเป็นเชื้อปฏิปักษ์ และการชักนำภูมิต้านทานโรคการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในการปลูกข้าวโพดหวานเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยลดต้นทุนการผลิตและการใช้ปุ๋ยเคมี ดังนั้นการทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบผลผลิตและคุณภาพของข้าวโพดหวานเมื่อใช้ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมีในอัตราที่แตกต่างกัน โดยวางแผนการทดลองแบบ Split-split plot in RCB ทำจำนวน 3 ซ้ำ มี main plot คือ ชนิดปุ๋ย 3 ประเภท (มูลไก่ มูลวัว และปุ๋ยเคมี) ส่วน sub-plot คือ อัตราปุ๋ย 3 อัตรา (สำหรับ มูลไก่ และมูลวัว คือ 0 , 500 และ 1000 กก./ไร่ ส่วนปุ๋ยเคมี คือ 0, 25 และ 50 กก./ไร่) และ sub-sub plot คือ พันธุ์ข้าวโพดหวาน 3 พันธุ์ (พันธุ์อินทรี 2, ซูการ์ 75 และพันธุ์ KSSC 604) โดยปลูก 4 ครั้ง (2 ฤดูๆ ละ 2 แปลง) ผลการทดลองพบว่า การปลูกทั้ง 4 ครั้ง ให้ความแตกต่างกันทางสถิติของลักษณะผลผลิตและคุณภาพ ส่วนชนิดของปุ๋ย พบว่าผลผลิตและคุณภาพไม่มีความแตกต่างระหว่างการใช้ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมี และไม่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างการปลูกทั้ง 4 ครั้งกับชนิดของปุ๋ยที่ใช้ ด้านอัตราปุ๋ยที่ใช้พบว่า น้ำหนักฝักทั้งเปลือก น้ำหนักฝักปอกเปลือก จำนวนฝักดี และน้ำหนักต้นสดต่อไร่ มีความแตกต่างกันทางสถิตอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ อัตราปุ๋ยสูงสุดให้ผลตอบสนองสูงที่สุด โดยการปลูกทั้ง 4 ครั้งให้ผลเหมือนกัน ส่วนพันธุ์ข้าวโพดหวานทั้ง 3 พันธุ์ พบว่า มีความแตกต่างทางสถิติของลักษณะน้ำหนักฝักทั้งเปลือก น้ำหนักฝักปอกเปลือก ฝักขนาดกลาง น้ำหนักต้นสด และความหวาน กล่าวคือ พันธุ์ซูกา 75 และพันธุ์ KSSC 604 ให้ผลผลิตน้ำหนักฝักปอกเปลือก ฝักขนาดกลาง สูงกว่า พันธุ์อินทรี 2 แต่พันธุ์ KSSC 604 และพันธุ์อินทรี 2 ให้น้ำหนักต้นสดสูงสุด ส่วนความหวานพบว่า พันธุ์อินทรี 2 ให้ความหวานสูงสุด (15.45?บริกซ์) และพันธุ์ซูการ์ 75 มีความหวานต่ำสุด (13.91?บริกซ์) นอกจากนี้พบว่าไม่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างการปลูกทั้ง 4 ครั้งกับพันธุ์ จากการทดลองนี้พอจะชี้ให้เห็นว่า ชนิดของปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมี มีผลต่อผลผลิตและคุณภาพของข้าวโพดหวานเหมือนกัน และผลผลิตของข้าวโพดหวานจะเพิ่มขึ้นเมื่อใช้ปุ๋ยในอัตราที่สูง การใช้ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมีเพื่อการผลิตข้าวโพดหวาน ดำเนินการทดลอง ณ ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอัตราของปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมีที่มีต่อผลผลิตและคุณภาพของข้าวโพดหวาน และแนวทางการใช้ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมี วางแผนการทดลองแบบ Split-split plot in RCB D มี 3 ซ้ำ มี main plot คือ ชนิดปุ๋ย 3 ประเภท (มูลไก่ มูลวัว และปุ๋ยเคมี) ส่วน sub-plot คือ อัตราปุ๋ย 3 อัตรา (สำหรับ มูลไก่ และมูลวัว คือ 0 , 500 และ 1000 กก./ไร่ ส่วนปุ๋ยเคมี คือ 0, 25 และ 50 กก./ไร่) และ sub-sub plot คือ พันธุ์ข้าวโพดหวาน 3 พันธุ์ (พันธุ์อินทรี 2, ชูการ์ 75 และ KSSC 604) โดยปลูก 2 ฤดู (ต้นฤดูฝนและฤดูฝน) ผลการทดลองทั้ง 2 ฤดูปลูก พบว่า ชนิดและอัตราปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมีให้ผลผลิตและคุณภาพข้าวโพดหวานไม่แตกต่างกันทางสถิติ และไม่มีปฏิสัมพันธ์ แต่ระหว่างชนิดและอัตราปุ๋ยของการปลูกแต่ละฤดูให้ผลผลิตและคุณภาพข้าวโพดหวานแตกต่างกันทางสถิติ กล่าวคือ การปลูกข้าวโพดหวานในฤดูต้นฝนจะได้ผลผลิตและคุณภาพสูงกว่าในฤดูฝนทุกลักษณะ ส่วนพันธุ์ข้าวโพดหวานทั้ง 3 พันธุ์ พบว่า มีความแตกต่างทางสถิติทั้งผลผลิตและคุณภาพ โดยพันธุ์ KSSC 604 ให้ผลผลิตน้ำหนักฝักทั้งเปลือก น้ำหนักฝักปลอกเปลือก และน้ำหนักฝักมาตรฐานสูงสุด พันธุ์อินทรี 2 ให้คุณภาพด้านฝักขนาดใหญ่และความหวานสูงสุด ส่วนพันธุ์ชูการ์ 75 มีความหวานต่ำสุด การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในการปลูกข้าวโพดหวานเป็นแนวทางหนึ่งที่ช่วยลดต้นทุนการผลิตและการใช้ปุ๋ยเคมี ดังนั้นการทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดสอบผลผลิตและคุณภาพของข้าวโพดหวานเมื่อใช้ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมีในอัตราที่แตกต่างกัน โดยวางแผนการทดลองแบบ Split-split plot in RCB ทำจำนวน 3 ซ้ำ มี main plot คือ ชนิดปุ๋ย 3 ประเภท (มูลไก่ มูลวัว และปุ๋ยเคมี) ส่วน sub polt คือ อัตราปุ๋ย 3 อัตรา (สำหรับมูลไก่ และมูลวัว คือ 0, 500, และ 1,000 กก./ไร่ ส่วนปุ๋ยเคมี คือ 0, 25 และ 50 กก./ไร่) และ sub-sub plot และพันธุ์ข้าวโพดหวาน 3 พันธุ์ (พันธุ์อินทรี 2, พันธุ์ชูการ์ 75 และพันธุ์KSSC 604) โดยปลูก 4 ครั้ง (2 ฤดู ๆ ละ 2 แปลง) ผลการทดลองพบว่า การปลูกทั้ง 4 ครั้ง ให้ความแตกต่างกันทางสถิติของลักษณะผลผลิตและคุณภาพ ส่วนชนิดของปุ๋ย พบว่าผลผลิตและคุณภาพไม่มีความแตกต่างระหว่างการใช้ปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยเคมี และไม่มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างการปลูกทั้ง 4 ครั้งกับชนิดของปุ๋ยที่ใช้ ด้านอัตราปุ๋ยที่ใช้พบว่า น้ำหนักฝักทั้งเปลือก น้ำหนักฝักปอกเปลือก มีความแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวคือ อัตราปุ๋ยที่สูงที่สุดให้ผลตอบสนองสูงที่สุด โดยการปลูกทั้ง 4 ครั้งให้ผลเหมือนกัน ส่วนพันธุ์ข การทดลองใช้สารกำจัดวัชพืชในข้าวโพดหวาน ข้าวโพดข้าวเหนียว และข้าวโพดฝักอ่อน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของสารกำจัดวัชพืช และผลกระทบต่อผลผลิตของข้าวโพดทั้งสามชนิด ณ ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2552 ถึงมกราคม 2553 วางแผนการทดลองแบบ RCBD มี 3 ซ้ำ 10 สิ่งทดลอง คือ 2,4-D amine, 2,4-D ester ทั้งอัตรา 200 และ 220 กรัม/ไร่ glufosinate อัตรา 700, 800 และ 900 กรัม/ไร่ และ paraquat อัตรา 200 กรัม/ไร่ เปรียบเทียบกับการใช้pendimethalin คุมกำเนิดวัชพืชอย่างเดียว และการกำจัดด้วยจอบ ผลการทดลองพบวัชพืชที่ขึ้นมากในแปลงได้แก่ ผักยาง (Euphorbia heterophylla) แห้วหมู (Cyperus rotundus) ผักปราบ (Commelina benghalensis) หญ้าโขย่ง (Rottboelia cochin- chinensis) และหญ้าตีนกา (Eluesine indica) สารกำจัดวัชพืช 2,4-D ทั้งอัตรา 200 และ 220 กรัม/ไร่ glufosinate อัตรา 700, 800 และ 900 กรัม/ไร่ สามารถควบคุมวัชพืชรวมได้ดีถึงดีมาก ตั้งแต่ 87 – 92 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งดีกว่า pendimethalin และการกำจัดวัชพืชด้วยจอบที่ควบคุมวัชพืชได้ในระดับที่น่าพอใช้ 63 - 67 เปอร์เซ็นต์ และยังไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตฝักสดทั้งเปลือก น้ำหนักฝักดี และจำนวนฝักต่อไร่ ของข้าวโพดหวาน ข้าวโพดข้าวเหนียว และข้าวโพดฝักอ่อน การทดลองใช้สารกลูโฟซิเนทกำจัดวัชพืชในแปลงปลูกข้าวโพดหวาน เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของสารกำจัดวัชพืช และผลกระทบต่อผลผลิตของข้าวโพดหวานพันธุ์ลูกผสมเดี่ยวอินทรี 2 วางแผนการทดลองแบบ RCBD มี 3 ซ้ำ จำนวน 10 สิ่งทดลอง คือการใช้สารกำจัดวัชพืช glufosinate ครั้งที่ 2 อัตรา 700, 800, 900, 1,000, 1,100, 1,200, 1,300, และ1,400 กรัม/ไร่ พ่นเมื่อข้าวโพดอายุ 4 สัปดาห์หลังงอก พบว่า วัชพืชที่ขึ้นมากในแปลงทดลองคือ แห้วหมู (Cyperus rotundus) รองมาคือผักยาง (Euphorbia heterophylla) ผักปราบ (Commelina benghalensis) และหญ้าโขย่ง (Rottboellia cochinchinensis) การใช้สาร glufosinate อัตรา 800-1,400 กรัม/ไร่ สามารถควบคุมวัชพืชรวมได้ดี มีค่าตั้งแต่ 80-86 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งดีกว่าการใช้ที่อัตรา 700 กรัมต่อไร่ และการกำจัดด้วยจอบ โดยทำให้ปริมาณวัชพืชลดลงมาก ตั้งแต่ 39-76 เปอร์เซ็นต์ และการใช้ glufosinate ทุกอัตราไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตฝักสดทั้งเปลือก ผลผลิตฝักดี และจำนวนฝักดีของข้าวโพดหวานพันธุ์ลูกผสมเดี่ยวอินทรี 2พันธุกรรมของข้าวโพดไร่ปกติมีเอนโดสเปิร์มที่ประกอบด้วยโปรตีนคุณภาพต่ำ ปัจจุบันมีข้าวโพดคุณภาพโปรตีน (quality protein maize; QPM) ที่มียีน opaque-2 ซึ่งทำให้คุณภาพโปรตีนดีขึ้น เนื่องจากมีปริมาณทริปโตแฟนสูงขึ้นราวสองเท่า และมี modifying genes ที่ช่วยให้ข้าวโพดมีเมล็ดแข็งใส (vitreousness) การทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาสายพันธุ์อินเบรดข้าวโพดไร่ (O2O2) ให้เป็นสายพันธุ์อินเบรดข้าวโพดคุณภาพโปรตีน (o2o2) ด้วยวิธีการผสมกลับ (backcross) ร่วมกับการใช้เครื่องหมายโมเลกุลช่วยในการคัดเลือกยีน opaque-2 (o2o2) (2) ศึกษาสมรรถนะการผสมของลักษณะผลผลิตและลักษณะทางการเกษตรอื่นๆ ที่สำคัญ และ (3) วิเคราะห์ปริมาณโปรตีนและทริปโตแฟนของสายพันธุ์อินเบรดข้าวโพดคุณภาพโปรตีน การทดลองใช้สายพันธุ์อินเบรดข้าวโพดพันธุ์ปกติเป็นต้นแม่และใช้อินเบรดข้าวโพดคุณภาพโปรตีน (QPM) เป็นต้นพ่อ แล้วผสมกลับ (backcross) ไปยังพันธุ์แม่ ผลการทดลองพบว่า เครื่องหมายโมเลกุล phi057 สามารถแยกจีโนไทป์ของลูกที่เกิดจากการผสมตัวเองของลูกผสมกลับชั่วที่ 1 (BC1S1?) แล้วผสมตัวเองและคัดเลือกจนถึงลูกผสมกลับชั่ว BC1S5 ที่มียีน opaque-2 จำนวน 8 สายพันธุ์ ตรวจสอบยีน opaque-2 ด้วยเครื่องหมายโมเลกุล phi022 และวิเคราะห์หาปริมาณทริปโตแฟนด้วยกรดไกลออซิลิกทั้งในสายพันธุ์และลูกผสมเดี่ยวจากการผสมพันธุ์แบบพบกันหมดทั้ง 28 คู่ผสม วางแผนการทดลองแบบสุ่มในบลอคสมบูรณ์จำนวน 4 ซ้ำ ขนาดแปลงย่อย แถวยาว 5 เมตร จำนวน 4 แถว ระยะปลูก 25 x 75 ซม. ผลการทดลองพบว่า สายพันธุ์อินเบรดมีปริมาณทริฟโตแฟนสูงขึ้น มีค่าเฉลี่ย 0.86 เปอร์เซ็นต์ ส่วนพันธุ์ที่ไม่มียีนนี้ (SW4452) มีค่าเฉลี่ย 0.56 เปอร์เซ็นต์ ส่วนการตรวจสอบในลูกผสมเดี่ยว พบว่ามีปริมาณทริปโตแฟนเฉลี่ย 0.98 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงกว่าพันธุ์ตรวจสอบ ในขณะที่ปริมาณโปรตีนเท่ากัน ส่วนผลผลิตของลูกผสมเดี่ยวบางคู่ผสม ให้ผลผลิต 1,229 กก./ไร่ ซึ่งทัดเทียมกับพันธุ์ตรวจสอบ SW4452 (1,308 กก./ไร่) และสายพันธุ์ P5 และ P8 มีสมรรถนะการผสมทั่วไปดี เหมาะแก่การนำไปพัฒนาต่อไปการศึกษานี้ เป็นความพยายามในการพัฒนาขบวนการจัดการดิน สำหรับการผลิตข้าวโพดแบบอินทรีย์ หัวข้อที่ทำการศึกษา ประกอบด้วย: 1. ดินกับการผลิตข้าวโพดแบบอินทรีย์ 2. บทบาทของหินฟอสเฟท (phosphate rock, PR) ในการผลิตข้าวโพดแบบอินทรีย์ 3. การศึกษาการผลิตมวลชีวภาพของพืชตระกูลถั่วเขตร้อน 3 ชนิด: ไมยราบไร้หนาม (Mimosa invisa), ไมยรา (Desmanthus virgathus) และโสนอินเดีย (Sesbania speciosa) 4. การศึกษาการพักตัวของเมล็ดพันธุ์ของพืชตระกูลถั่วทั้ง 3 ชนิด: ไมยราบไร้หนาม, ไมยรา และโสนอินเดีย ผลการศึกษาพบว่า พื้นที่ที่มีประวัติการใช้ปุ๋ยฟอสฟอรัสมา และได้หยุดการใส่ปุ๋ยเคมีใดๆมาระยะเวลาหนึ่ง ดินนั้นจะมีธาตุฟอสฟอรัสตกค้างในระดับหนึ่ง ซึ่งข้าวโพดสามารถใช้ฟอสฟอรัสในดินนั้น เพื่อการเจริญเติบโต ซึ่งจะเป็นการช่วยลดการพึ่งพาธาตุฟอสฟอรัสจากแหล่งภายนอกอื่นๆ ผลการศึกษายังยืนยันว่า หินฟอสเฟท (phosphate rock, PR) สามารถใช้เป็นแหล่งของธาตุฟอสฟอรัส สำหรับการผลิตข้าวโพดแบบอินทรีย์ แต่จำเป็นจะต้องพัฒนาขบวนการที่สามารถเพิ่มความเป็นประโยชน์ของฟอสฟอรัสในหินฟอสเฟท หินฟอสเฟทเป็นแร่ธรรมชาติที่มีธาตุฟอสฟอรัสเป็นองค์ประกอบสำคัญ และเป็นวัตถุดิบที่อนุญาตในการผลิตพืชแบบอินทรีย์ นอกจากนั้น การศึกษายังพบว่า มีธาตุฟอสฟอรัสปริมาณมากตกค้างในดิน หลังจากการใช้หินฟอสเฟท ทั้งนี้เนื่องจากต้องใช้หินฟอสเฟทปริมาณมาก เพื่อตอบสนองต่อการเจริญเติบโตของข้าวโพด ผลการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมพบว่า การใช้พืชตระกูลถั่วเป็นพืชปุ๋ยสด จะเป็นแนวทางช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้หินฟอสเฟท ในการผลิตข้าวโพดแบบอินทรีย์ ในการศึกษาการใช้พืชตระกูลถั่ว 3 ชนิด เพื่อเป็นปุ๋ยพืชสดสำหรับการผลิตข้าวโพดแบบอินทรีย์ ประกอบด้วยพืชตระกูลถั่ว ดังนี้ ไมยราบไร้หนาม, ไมยรา และโสนอินเดีย ผลการศึกษาพบว่า โสนอินเดียให้มวลชีวภาพสูงกว่าถั่วอีก 2 ชนิด ประมาณ 2 เท่าตัว ในขณะที่ ไมยราบไร้หนามมีความสามารถในการคลุมดินได้ดีที่สุด สำหรับในประเด็นอัตราปลูกนั้น การศึกษาพบว่า อัตราปลูกที่จะให้ได้มวลชีวภาพสูงสุดสำหรับโสนอินเดีย จะต้องใช้อัตราเมล็ดสูงถึง 6 กิโลกรัมต่อไร่ และสำหรับไมยราบไร้หนาม และไมยรานั้น จะต้องใช้อัตราเมล็ดสูงถึง 8 กิโลกรมต่อไร่ การศึกษาการพักตัวของเมล็ดพันธุ์ (seed dormancy) ของถั่วทั้ง 3 ชนิดดังกล่าวข้างต้น พบว่าเมล็ดพันธุ์ของไมยราบไร้หนาม และไมยรา มีการพักตัว ในขณะที่เมล็ดพันธ์ของโสนอินเดีย ไม่มีการพักตัว กล่าวคือในสภาพทั่วๆไป ไมยราบไร้หนามและไมยรา จะมีเปอร์เซ็นต์การงอกของเมล็ดเพียง 13 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ เมล็ดพันธุ์ของโสนอินเดีย มีเปอร์เซ็นต์การงอกของเมล็ดสูงถึง 91 เปอร์เซ็นต์ การทำลายการพักตัวของเมล็ดไมยราบไร้หนามและไมยรา เพื่อให้การงอกที่ดีขึ้นของถั่วทั้ง 2 ชนิด โดยการแช่เมล็ดไมยราบไร้หนามและไมยรา ในน้ำร้อนที่มีอุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10 นาที จะเป็นการทำลายการพักตัวของเมล็ดของถั่วทั้ง 2 ชนิด ซึ่งจะทำให้เมล็ดของไมยราบไร้หนาม และไมยรา มีเปอร์เซ็นต์ความงอกเพิ่มขึ้นเป็น 72 เปอร์เซ็นต์ และ 81 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ และด้วยสมบัติการพักตัวของเมล็ดของไมยราบไร้หนามและไมยรา การสร้างคลังเมล็ดในดินของถั่วทั้งสองชนิดนี้ ซึ่งต้นถั่วทั้งสองชนิดจะงอกจากเมล็ดในคลังเมล็ดนี้ โดยไม่ต้องปลูกใหม่ วัตถุประสงค์ของการทดลองนี้เพื่อทดลองใช้กากเมล็ดสบู่ดำเป็นปุ๋ยอินทรีย์ในการผลิตข้าวโพดหวานฝักสด กากเมล็ดสบู่ดำที่ใช้มีคุณสมบัติดังนี้ คือ มีความเป็นกรดด่าง 6.6 มีค่า EC 1.77 dS/m, total N 3.55%, total P2O5 1.47%, total K2O 1.39%, total Ca 0.68%, and total Mg 0.64% วางแผนการทดลองแบบ Randomized complete block Design จำนวน 4 ซ้ำ ประกอบด้วย 6 สิ่งทดลอง ได้แก่ ใส่ปุ๋ยเคมีตามคำแนะนำ ใส่ปุ๋ยมูลวัว อัตรา 2,500 กก./ไร่ ใส่กากเมล็ดสบู่ดำ อัตรา 620, 800, และ 1000 กก./ไร่ และไม่ใส่ปุ๋ย ดำเนินการทดลองที่ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ทำการทดลองซ้ำ 6 ฤดูปลูก ได้แก่ ฤดูปลูกที่ 1 ระหว่าง 25 เมษายน – 6 กรกฎาคม 2550 ฤดูปลูกที่ 2 ระหว่าง 10 กันยายน – 26 พฤศจิกายน 2550 ฤดูปลูกที่ 3 ระหว่าง 25 มกราคม –17 เมษายน 2551 ฤดูปลูกที่ 4 ระหว่าง 17 มิถุนายน –27 สิงหาคม 2551 ฤดูปลูกที่ 5 ระหว่าง 5 กุมภาพันธ์ –20 เมษายน 2552 และฤดูปลูกที่ 6 ระหว่าง 17 มิถุนายน –24 สิงหาคม 2552 จากการวิเคราะห์ผลรวมใน 6 ฤดูปลูก ชี้ให้เห็นว่าการใช้กากเมล็ดสบู่ดำที่อัตรา 1000 กก./ไร่ ให้ผลผลิตรวมข้าวโพดหวานฝักสดทั้งเปลือกได้เทียบเท่ากับปุ๋ยเคมี แต่การใส่ปุ๋ยเคมีทำให้ได้ผลผลิตฝักสดเกรด 1 มากกว่า และยังพบว่าการใช้กากเมล็ดสบู่ดำเป็นปุ๋ยอินทรีย์ไม่มีสาร phorbol esters ตกค้างอยู่ในข้าวโพดหวานฝักสด นอกจากนี้การใส่กากเมล็ดสบู่ดำและมูลวัวทุกฤดูปลูกทำให้ดินมีอินทรียวัตถุเพิ่มมากขึ้นกว่าการใส่ปุ๋ยเคมีและการไม่ใส่ปุ๋ย ศึกษาความหลากหลายแมลงของข้าวโพดหวานที่ปลูกในฤดูแล้งที่ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ จำนวน 2 ฤดูปลูกระหว่างเดือนธันวาคม 2551 – มีนาคม 2552 สุ่มตัวอย่างวิธี stratified random sampling technique ที่ต้นข้าวโพดจำนวน 210 ต้น ในระยะเจริญเติบโตทางลำต้น 5 ครั้ง และระยะผสมพันธุ์ 2 ครั้ง วิเคราะห์ความหลากหลายแมลงด้วยวิธี Shannon – Wiener diversity index ผลการศึกษาปรากฏว่า ตลอดฤดูปลูกที่หนึ่งพบจำนวนชนิดทั้งหมด 34 ชนิด ในขณะที่ตลอดฤดูปลูกที่สองพบจำนวนชนิดทั้งหมด 37 ชนิด ค่าดัชนีความหลากหลายของแมลงสูงที่สุด (H’ = 2.0410) จากการสำรวจแมลงครั้งที่ 5 ในฤดูปลูกที่หนึ่ง และค่าดัชนีความหลากหลายของแมลงสูงที่สุด (H’ = 2.2536) จากการสำรวจแมลงครั้งที่ 3 ในฤดูปลูกที่สอง แมลงที่พบจำนวนมากที่สุดในฤดูปลูกที่หนึ่งได้แก่ แมลงวงศ์ Aphididae ส่วน แมลงวงศ์ Thripidae พบมากที่สุดในฤดูปลูกที่สองการเลือกใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดกับผลตอบแทนที่เกษตรกรได้รับ:กรณีศึกษาอำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ ปีการเพาะปลูก 2552 Corn Seed Utilization and Return to Farmers: A Case Study of Tak Fa District, Nakhon Sawan Province, Crop Year 2009 วัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้ เพื่อศึกษาถึงต้นทุนและผลตอบแทนที่เกษตรกรได้รับจากการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จำแนกตามพันธุ์ที่ใช้ ในท้องที่อำเภอตากฟ้า จังหวัดนครสวรรค์ ปีการเพาะปลูก 2552 โดยทำการสำรวจเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จำนวน 122 ราย แบ่งเป็นพันธุ์ A, B, C และพันธุ์อื่นๆ จำนวน 75, 13, 19 และ 15 ราย ตามลำดับ จากการศึกษาพบว่า เกษตรกรโดยส่วนใหญ่มีรูปแบบและวิธีการผลิตที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกัน โดยเกษตรกรที่ใช้พันธุ์ B มีต้นทุนการผลิต ผลผลิตเฉลี่ย รายได้ และกำไรสุทธิสูงที่สุด คือ 3,667.3 บาทต่อไร่ 1,112.9 กิโลกรัมต่อไร่ 4,218.0 บาทต่อไร่ และ 550.7 บาทต่อไร่ ตามลำดับ นอกจากนี้ยังพบว่า พันธุ์ C มีความเสี่ยงทางด้านผลผลิตต่ำที่สุด ในขณะที่พันธุ์ B มีความเสี่ยงทางด้านราคาต่ำที่สุด ทั้งนี้พันธุ์ A มีความเหมาะสมกับเกษตรกรที่ไม่ชอบความเสี่ยงทางด้านผลผลิตและราคา ในขณะที่พันธุ์ B เหมาะสมกับเกษตรกรที่มุ่งหวังผลกำไรสุทธิสูงสุดและมีความพร้อมที่จะแบกรับความเสี่ยงทางด้านผลผลิต ทำการทดสอบคุณภาพของข้าวโพดคั่ว ที่ศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2552 เพื่อศึกษาศักยภาพของข้าวโพดคั่ว 5 พันธุ์ คือ 49PC168, 49PC088, TPX4518, pearl popcorn composite และ Five stars popcorn ในการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อาหารว่างชนิดข้าวโพดคั่วอบเนยรสหวาน วางแผนการทดลองแบบ RCBD มี 4 ซ้ำ 5 สิ่งทดลอง ทำการศึกษา 10 ลักษณะ คือ เปอร์เซ็นต์การคั่วแตก ปริมาตรการขยายตัวของเมล็ดเมื่อคั่วแตก ขนาดการขยายตัวของเมล็ดหลังคั่ว ความชื้นของเมล็ด ความหนาของเปลือกด้านที่มีต้นอ่อนและไม่มีต้นอ่อน ขนาดของเมล็ด รูปแบบการแตกหลังคั่ว สีของเนื้อข้าวโพดเมื่อคั่วแตก และรสชาติจากการชิม ผลการทดลองพบว่า ข้าวโพดคั่วพันธุ์การค้า คือพันธุ์ Five stars popcorn ให้เปอร์เซ็นต์การคั่วแตกสูงที่สุด 98 เปอร์เซ็นต์ ปริมาตรการขยายตัวของเมล็ดเมื่อคั่วแตก 37 มิลลิลิตรต่อกรัม ขนาดการขยายตัวของเมล็ดหลังคั่ว 7.5 มิลลิลิตรต่อเมล็ด และมีความหนาของเปลือกเมล็ดด้านที่ไม่มีต้นอ่อนสูงที่สุด 274 ไมครอน รูปแบบของเมล็ดเมื่อคั่วแตกเป็นแบบผีเสื้อ มีสีของเนื้อแป้งเป็นสีเหลืองนวล และได้คะแนนความชอบจากการชิมรสสูงที่สุด 4.0 คะแนน การทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้ถั่วพุ่ม เชื้ออะโซโตแบคเตอร์ เชื้ออะโซสไปริลลัม และจุลินทรีย์ละลายฟอสเฟตที่มีต่อสมบัติบางประการของดินและการเจริญเติบโตของข้าวโพดหวานพันธุ์อินทรี 2 ในชุดดินกำแพงแสน และชุดดินปากช่อง การทดลองที่ 1 ดำเนินการทดลอง ณ ภาควิชาปฐพีวิทยา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน วางแผนการทดลองแบบ 2x3x3 factorial in RCBD จำนวน 4 ซ้ำ ปัจจัยแรกเป็นการใส่ปุ๋ยพืชสด มี 2 ระดับ (ไม่ใส่ปุ๋ยพืชสด และปลูกถั่วพุ่มเป็นปุ๋ยพืชสด) ปัจจัยที่ 2 เป็นจุลินทรีย์ตรึงไนโตรเจนมี 3 ระดับ (ไม่ใส่จุลินทรีย์ ใส่ผงเชื้ออะโซโตแบคเตอร์ และใส่ผงเชื้ออะโซสะไปริลลัม) และปัจจัยที่ 3 เป็นจุลินทรีย์ละลายฟอสเฟตมี 3 ระดับ(ไม่ใส่จุลินทรีย์ ใส่ผงเชื้อ Glomus aggregatum และ ใส่ผงเชื้อ Bacillus megaterium) ผลการทดลองพบว่า การใช้ถั่วพุ่ม จุลินทรีย์ตรึงไนโตรเจน และจุลินทรีย์ละลายฟอสเฟตไม่มีผลต่อการสะสมของปริมาณไนโตรเจนในดินหลังการเก็บเกี่ยวข้าวโพด รวมทั้งไม่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลง pH ค่าการนำไฟฟ้าของดินที่ใช้ปลูก และดัชนีความหวาน การใส่ปุ๋ยพืชสดและการใส่จุลินทรีย์ตรึงไนโตรเจนส่งเสริมให้ดินมีปริมาณอินทรียวัตถุและฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใส่ผงเชื้ออะโซโตแบคเตอร์ การใส่จุลินทรีย์ตรึงไนโตรเจนไม่ทำให้กิจกรรมของเอนไซม์ไนโตรจีเนสสูงขึ้น การใส่ปุ๋ยพืสสด จุลินทรีย์ตรึงไนโตรเจน จุลินทรีย์ละลายฟอสเฟต ส่งเสริมให้พืชมีน้ำหนักแห้งของต้นสูงกว่าการไม่ใส่ แต่ไม่มีผลต่อน้ำหนักแห้งของราก ตำรับที่ให้ผลผลิตสูงและมีจำนวนฝักเสียน้อยได้แก่ ตำรับที่ใส่ปุ๋ยพืชสดร่วมกับเชื้อรา G. aggregatum (2,266.50 กก/ไร่) ตำรับที่ใส่ปุ๋ยพืชสดร่วมกับเชื้ออะโซโตแบคเตอร์(2,153.00 กก/ไร่) และตำรับที่มีการใส่ปุ๋ยพืชสดอย่างเดียว(2,099.50 กก/ไร่) โดยตำรับที่มีฝักเสียมากที่สุดปรากฏเมื่อไม่ใส่ปุ๋ยพืชสดจุลินทรีย์ตรึงไนโตรเจนและ จุลินทรีย์ละลายฟอสเฟต(152.50 กก/ไร่) การทดลองที่ 2 ดำเนินการทดลองที่แปลงทดลองของศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา โดยวางแผนการทดลองแบบ split plot in randomized complete block จำนวน 3 ซ้ำ ประกอบด้วย main plot 2 ปัจจัย ได้แก่ 1) ไม่ปลูกปุ๋ยพืชสด และ2) ปลูกถั่วพุ่มเป็นปุ๋ยพืชสด และ sub plot 3 ปัจจัย คือการใช้จุลินทรีย์ที่ตรึงไนโตรเจนประกอบด้วย 1) ไม่ใส่ผงเชื้อจุลินทรีย์ 2) ใส่ผงเชื้ออะโซโตแบคเตอร์ และ3) ใส่ผงเชื้ออะโซสะไปริลลัม และ sub sub plot 3 ปัจจัย คือการใส่ผงเชื้อจุลินทรีย์ละลายฟอสเฟต ประกอบด้วย 1) ไม่ใส่ผงเชื้อจุลินทรีย์ 2)ใส่ผงเชื้อ G. aggregatum และ3) ใส่ผงเชื้อ B. megaterium ผลการศึกษาพบว่าการใช้ถั่วพุ่ม จุลินทรีย์ตรึงไนโตรเจน และจุลินทรีย์ละลายฟอสเฟตไม่มีผลต่อปริมาณไนโตรเจนในดินหลังการเก็บเกี่ยวข้าวโพดหวานพันธุ์อินทรี 2 และไม่มีผลกระทบ หรือมีผลกระทบน้อยมากต่อการเปลี่ยนแปลง pH ค่าการนำไฟฟ้าของดินหลังปลูก และดัชนีความหวาน การใส่ปุ๋ยพืชสด จุลินทรีย์ตรึงไนโตรเจน และจุลินทรีย์ละลายฟอสเฟต ส่งเสริมให้ดินมีปริมาณอินทรียวัตถุในดินหลังการเก็บเกี่ยวสูง โดยเฉพาะการใส่ผงเชื้ออะโซสไปริลลัม และผงเชื้อ B. megatreium ส่วนปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ในดินหลังการเก็บเกี่ยว การใช้จุลินทรีย์ตรึงไนโตรเจนร่วมกับจุลินทรีย์ละลายฟอสเฟต ส่งเสริมให้ดินมีปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ในดินสูง โดยเฉพาะการใส่ผงเชื้อ B. megatreium การใส่จุลินทรีย์ตรึงไนโตรเจนโดยเฉพาะอะโซสไปริลลัมส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมของเอนไซม์ไนโตรจีเนสสูงขึ้น การใช้ จุลินทรีย์ตรึงไนโตรเจนร่วมกับจุลินทรีย์ละลายฟอสเฟตส่งผลให้มีน้ำหนักแห้งของรากสูง โดยเฉพาะการใส่ผงเชื้ออะโซสไปริลลัม และผงเชื้อ G. aggregatum ส่วนตำรับที่ให้ผลผลิตสูง และฝักเสียน้อย ได้แก่ตำรับที่มีการใส่ปุ๋ยพืชสด เชื้ออะโซโตแบคเตอร์ และเชื้อ B. megatreium (1,212.00 กก./ไร่) และตำรับที่ใช่ปุ๋ยพืชสดร่วมกับ G. aggregatum (1,218.00 กก./ไร่)โดยตำรับที่มีฝักเสียมากที่สุดปรากฏเมื่อไม่ใส่ปุ๋ยพืชสด จุลินทรีย์ตรึงไนโตรเจน และจุลินทรีย์ละลายฟอสเฟต (250.00 กก./ไร่) สภาวะเครียดจากการขาดน้ำสามารถชักนำการแสดงออกของยีนหลายชนิดที่เกี่ยวข้องกับการทนแล้งของพืช ผลการศึกษาก่อนหน้านี้สามารถตรวจพบยีนซึ่งควบคุมการสังเคราะห์เอนไซม์ 9-cis epoxycarotenoid dioxygenase (NCED) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ควบคุมให้พืชมีการสังเคราะห์กรดแอบไซซิก abscisic acid (ABA) ในพืชหลายชนิดให้เพิ่มขึ้นเมื่อกระทบกับสภาพแล้ง แต่รายงานการศึกษายีนทนแล้งในข้าวโพดยังมีน้อยมาก ในการศึกษาครั้งนี้ได้ออกแบบไพรเมอร์ของยีน VP14 จากฐานข้อมูล NCBI เพื่อใช้ในการตรวจสอบการแสดงออกของยีนทนแล้งในข้าวโพด 2 พันธุ์ ได้แก่พันธุ์ SW 2301 ซึ่งเป็นพันธุ์ทนแล้ง และพันธุ์ KSX 4605 ซึ่งเป็นพันธุ์ไม่ทนแล้ง ผลการศึกษาจากปฏิกิริยา RT-PCR สามารถตรวจพบการแสดงออกของยีน VP14 ในข้าวโพดพันธุ์ SW 2301 โดยพบว่ายีนดังกล่าวมีการแสดงในเนื้อเยื่อเจริญปลายยอดมากกว่าในเนื้อเยื่อใบและราก และเมื่อศึกษาลำดับเบสทั้งหมดของยีนโดยวิธี rapid amplification of cDNA ends (RACE) พบว่ายีนดังกล่าวมีลำดับเบสทั้งหมด 1,607 bp โดยมี open reading frame ระหว่างลำดับเบสที่ 56-1,345 bp ผลการศึกษาลักษณะทางวิภาคของข้าวโพด 5 พันธุ์เพื่อศึกษาถึงความสัมพันธ์กับการทนแล้งพบว่าข้าวโพดพันธุ์ Ki 11ซึ่งเป็นพันธุ์ทนแล้งมีจำนวนปากใบ (stomata) น้อยที่สุด มีจำนวนท่อลำเลียง (vascular bundle) มากที่สุด และ vessel มีขนาดใหญ่ที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับพันธุ์ Ki 3, Ki 11, Ki 20, สุวรรณ 2301 และพันธุ์อินทรีย์ ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ทนแล้งได้น้อยกว่า ผลของการเสื่อมคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด ที่มีต่อความงอกในสภาพไร่ Effect of Corn Seed Deterioration During Storage on Field Emergence สุปราณี งามประสิทธิ์(1).สุพจน์ กาเซ็ม(2) สมบุญ เตชะภิญญาวัฒน์(3) สุรพล เช้าฉ้อง(4) สุขุม โชติช่วงมณีรัตน์(4) แอนนา สายมณีรัตน์ (4)) และ แสงแข น้าวานิช(4) Supranee Ngamprasitthi(1) Supot kasem(2) Sombun Techapinyawat(3) Surapol Chowchong(4) Sukhum Choetchaungmanirat(4) Anna Saimaneerat(4) Sangkhae Nawanich(4) บทคัดย่อ การศึกษาความงอกและความแข็งแรงของเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด ดำเนินการทดสอบในห้องปฏิบัติการและในสภาพไร่ ณ สถานีวิจัยพืชไร่สุวรรณวาจกกสิกิจ เพื่อศึกษาผลของการเสื่อมคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดที่มีต่อความงอก ในสภาพไร่ วางแผนการทดลองแบบสุ่มสมบูรณ์ (Completely Randomized Design, CRD) มี 4 ซ้ำ 8 สิ่งทดลอง ได้แก่ เมล็ดพันธุ์ SSWI 114, KSei 14004, KSei 1203 และ อินทรี 2 ที่เก็บรักษาในอุณหภูมิห้อง และห้องควบคุมอุณหภูมิ พบว่า มีความแตกต่างกันทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญ โดยที่อายุของการเก็บรักษาของเมล็ดเพิ่มขึ้น ทำให้เมล็ดพันธุ์มีความงอกและความแข็งแรงลดลง และสภาพห้องควบคุมอุณหภูมิ ทำให้เมล็ดพันธุ์เสื่อมคุณภาพช้ากว่าสภาพอุณหภูมิห้อง ซึ่งผลการทดสอบความงอกมาตรฐานด้วยกระดาษ (between paper) ให้ความงอกสูงกว่า การเพาะด้วยทราย (sand test) และ การเพาะด้วยทราย (sand test) ให้ผลใกล้เคียงกับการปลูกในสภาพไร่ (field test) และการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์เป็นเวลา 12 เดือน ทำให้การเจริญเติบโตของต้นอ่อนลดลง ดังนั้นการเสื่อมคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดทำให้ความงอกและความแข็งแรงลดต่ำกว่ากว่ามาตรฐานเมื่อปลูกเมล็ดพันธุ์ ในสภาพไร่ และข้าวโพดสายพันธุ์แท้จะเสื่อมความงอกเร็วกว่าพันธุ์ลูกผสม ผลของสารเคมี และสารอินทรีย์คลุกเมล็ดในการเก็บรักษาต่อความงอกของเมล็ดพันธุ์ข้าวโพด The Effect of Seed Treatment by Chemical Treatment and Organic Substance on Sweet Corn Seed Storage สุปราณี งามประสิทธิ์ (1) สุพจน์ กาเซ็ม (2) ฉัตรพงศ์ บาลลา (3) สุรพล เช้าฉ้อง (3) แอนนา สายมณีรัตน์ สดใส ช่างสลัก (3) ณกัญภัทร จินดา (5) และ กิ่งกานท์ พานิชนอก(4) Supranee Ngamprasitthi (1) Supot kasem (2) Chatpong balla (3) Surapol Chowchong (3) Anna Saimanirat (3) Sodsai Changsalug (3) NaKanyapathara Jinda (5) and Ginggal Panichnog (4) บทคัดย่อ การทดสอบความงอก (กระบะทราย) ของเมล็ดพันธุ์ข้าวโพดหวานที่คลุกด้วยสารเคมี และอินทรีย์ ได้แก่ bacterial suspension, KPS 46, metalacxyl + KPS 46, metalacxyl, metalacxyl + captan + chlopyriphos, captan + chlopyriphos + PEG 400, ไคโตซาน, captan + chlopyriphos + PEG 400 (commercial), น้ำยางสบู่ดำ (physic nut resin extract) และ ไม่คลุกสาร (control) เก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิห้อง และห้องควบคุมอุณหภูมิ เป็นเวลา 6 เดือน พบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญยิ่งทางสถิติ เมล็ดพันธุ์ข้าวโพดหวานที่เก็บไว้ในอุณหภูมิห้องมีความงอกต่ำเฉลี่ย 40.0% และต่ำกว่าห้องควบคุมอุณหภูมิที่มีความงอกเฉลี่ย 79.2 % ส่วนปฏิกิริยาสัมพันธ์ระหว่างการเก็บรักษากับเมล็ดพันธุ์ที่คลุกด้วยสารต่างๆพบว่า น้ำยางสกัดจากสบู่ดำ และ captan + chlopyriphos + PEG 400 ที่เก็บรักษาไว้สภาพอุณหภูมิห้อง ให้ความงอกสูง73.7 และ 70.7% ตามลำดับ ส่วนในห้องควบคุมอุณหภูมิ เมล็ดพันธุ์ที่คลุกด้วยสารต่างๆให้ความงอกสูงตามมาตรฐานของ พรบ. เมล็ดพันธุ์พืช ยกเว้นเมล็ดพันธุ์ที่คลุกด้วย captan + chlopyriphos + PEG 400 (commercial) ให้ความงอกต่ำที่สุด 46.5% Effects of Seed Coating on Seed Quality and Storage the Single-Cross Sweet Corn Hybrid, Insee 2 Supranee Ngamprasitthi 1 Thamrongsilpa Pothisoong 2 Boonmee Siri 3 Supot kasem 4 Surapol Chowchong 2 and Sangkhae Nawanich 2 ความคิดเห็น, เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม, ข้าวฟ่างอาหารสัตว์ในการนำไปใช้ประโยชน์เลี้ยงโคนม
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
คำสำคัญ: คุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม
เจ้าของลิขสิทธิ์: ฐานข้อมูล NRMS
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
การผลิตข้าวโพดและข้าวฟ่างเพื่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ดี
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
30 กันยายน 2552
การจัดการแมลงศัตรูข้าวโพดหวานเพื่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม การปรับปรุงพันธุ์ การผลิตและการใช้ประโยชน์ข้าวโพดและข้าวฟ่างเพื่อความมั่นคงทางด้านอาหาร การทดลองข้าวโพดข้าวฟ่างระดับไร่กสิกร ผลผลิตและคุณค่าทางอาหารของข้าวโพดและข้าวฟ่างอาหารสัตว์ที่ระยะตัดเพื่อทำพืชหมัก การทดลองใช้ข้าวโพดและข้าวฟ่างเป็นอาหารหลักสำหรับสุกร การทดลองใช้ข้าวโพด ข้าวฟ่าง และมันเส้นเป็นอาหารหลักสำหรับสุกร ความลึกและความหนาแน่นของรากข้าวโพดและข้าวฟ่างที่ปลูกภายใต้สภาพการใช้น้ำฝน ต้นทุนและผลตอบแทนในการเพาะปลูกข้าวโพดหวานฝักสดของเกษตรกรภายใต้ระบบพันธะสัญญากับศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ่างแห่งชาติ การศึกษาเบื้อต้นเกี่ยวกับอัตราการเจริญเติบโตของสุกรที่เลี้ยงด้วยอาหารที่ใช้ข้าวโพดและข้าวฟ่างแทนรำและปลายข้าว การเพิ่มผลผลิตและคุณภาพข้าวโพดรับประทานฝักสดโดยวิธีเขตกรรม (ข้าวโพดหวาน)
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก