สืบค้นงานวิจัย
โครงการวิจัยเทคโนโลยีการผลิตกาแฟเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต
ปิยนุช นาคะ - กรมวิชาการเกษตร
ชื่อเรื่อง: โครงการวิจัยเทคโนโลยีการผลิตกาแฟเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต
ชื่อเรื่อง (EN): Research on Coffee Production Technology for Increasing Efficiency and Decreasing Total Cost of Production
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: ปิยนุช นาคะ
คำสำคัญ:
คำสำคัญ (EN):
บทคัดย่อ: กระบวนการก่อนการเก็บเกี่ยวและหลังการเก็บเกี่ยว การเก็บรักษา เมล็ดกาแฟเป็นจุดสำคัญหนึ่งในการผลิตเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพ และปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค ตลอดจนการที่สภาพแวดล้อมทางภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง และจากสภาพแวดล้อมทางภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบันทำให้เกิดโรคและแมลงชนิดใหม่ๆระบาดมากขึ้น การปลูกพืชร่วมเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมและรายได้แก่เกษตรกร จำเป็นต้องทำการศึกษาวิจัย เพื่อศึกษาเทคโนโลยีการผลิตกาแฟในการเพิ่มประสิทธิภาพ คุณภาพการผลิต ลดต้นทุนการผลิต พัฒนาระบบการผลิตกาแฟแบบปลอดภัยจากโรคและแมลง เพื่อให้มีผลผลิตและคุณภาพอย่างยั่งยืน รวมทั้งเพิ่มคุณภาพเมล็ดกาแฟในกระบวนการหลังการเก็บเกี่ยวของกาแฟเพื่อให้ได้คุณภาพดี ผลผลิตสูง ปลอดภัยจากสารพิษเป็นที่ยอมรับของอุตสาหกรรมและผู้บริโภค โดยมีดำเนินการ 2 กิจกรรม 5 การทดลองได้แก่ กิจกรรมที่ 1 การจัดการศัตรูพืชและการจัดการหลังการเก็บเกี่ยว มี 2 การทดลอง ได้แก่ ผลของระยะเวลาในการเก็บรักษาเมล็ดกาแฟต่อการเข้าทำลายของด้วงกาแฟและปริมาณสารพิษจากเชื้อรา ( Ochratoxin A) การศึกษาคุณภาพของเมล็ดกาแฟโรบัสตาที่ได้จากการตากแห้งผลสดที่ชะลอการตากไว้ทีระยะเวลาต่างๆกัน การสำรวจ รวบรวมและจำแนกชนิด โรคกาแฟอะราบิกาในประเทศไทย กิจกรรมที่ 2 เทคโนโลยีการผลิต มี 2 การทดลองได้แก่ การจัดการธาตุอาหารของกาแฟโรบัสตาตามค่าประเมินความอุดมสมบูรณ์ของดินและพืช และการพัฒนาระบบการปลูกกาแฟอะราบิกา โดยมีวิธีดำเนินการตามแผนการทดลองของแต่ละการทดลอง ดำเนินการตั้งแต่ ตุลาคม 2553 สิ้นสุด กันยายน 2558สถานที่ดำเนินการที่ศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ สำนักวิจัยและพัฒนาการอารักขาพืช สวนกาแฟของเกษตรกรภาคเหนือและภาคใต้ ได้แก่ จ.เชียงใหม่ เชียงราย จ.น่าน จ.ชุมพร จ.ระนอง จ.สุราษฎร์ธานี ผลการทดลองพบว่า การเก็บรักษาเมล็ดกาแฟในภาชนะต่างๆประกอบด้วย ถุงพลาสติกหนาแบบซีล ถุงผ้าด้ายดิบ ถุงกระสอบป่าน ถุงพลาสติกหนา ถุงกระสอบป่าน และถุงพลาสติกใสที่อายุ 3, 6, 9 และ 12 เดือนพบว่า การเก็บรักษาเมล็ดกาแฟที่อายุ 3 เดือนในฤดูกาลผลิตปี 2555/56 และ 2556/57 ไม่พบการเข้าทำลายของด้วงกาแฟและเชื้อรา และสามารถเก็บรักษาเมล็ดกาแฟที่มีความชื้นไม่เกิน 13 % ได้นานสูงสุด 6 เดือน โดยเก็บในถุงพลาสติกแบบซีลดีที่สุด สำหรับการเก็บรักษาเมล็ดกาแฟที่อายุ 12 เดือนหลังการทดลอง พบการเข้าทำลายของด้วงกาแฟมากที่สุดในทุกภาชนะที่ทำการเก็บรักษา และพบค่าปริมาณสารพิษจากเชื้อราอยู่ระหว่าง 2.62-5.11 ?g/kg โดยพบค่าปริมาณสารพิษจากตัวอย่างเมล็ดกาแฟที่เก็บรักษาในถุงผ้าด้ายดิบมากที่สุด 5.11 ?g/kg ซึ่งสูงกว่าค่ามาตรฐานสากลกำหนด (ไม่เกิน 5 ?g/kg หรือ ppb) ส่วนการเก็บในถุงพลาสติกแบบซีลสูญญากาศพบค่าปริมาณสารพิษต่ำสุด 2.62 ?g/kg ซึ่งสามารถนำวิธีการดังกล่าวไปแนะนำเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปกาแฟ ให้สามารถเก็บรักษาเมล็ดกาแฟที่ปลอดภัยต่อการทำลายของด้วงกาแฟ และ สารพิษจากเชื้อรา นอกจากนั้นการเก็บรักษาเมล็ดกาแฟความชื้นเริ่มต้นไม่ควรเกิน 13 % และภาชนะในการเก็บรักษามีผลต่อการดูดความชื้นของเมล็ดกาแฟ กล่าวคือ ถ้าเก็บรักษาเมล็ดกาแฟในภาชนะที่ปิดมิดชิดออกซิเจนแลกเปลี่ยนได้น้อย นอกจากนั้นฤดูกาล ความชื้นของอุณหภูมิเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมให้เกิดการเข้าทำลายของด้วงกาแฟและเชื้อรา ควรเก็บในห้องเก็บที่เหมาะสม ไม่โดนฝน ความชื้น และอยู่ห่างจากแหล่งของเสียเช่น แหล่งปล่อยน้ำเสีย บ่อขยะ กองแกลบกาแฟ หรือเก็บกาแฟไว้รวมกับสิ่งอื่น เนื่องจากกาแฟสามารถดูดกลิ่น อย่างอื่นเข้าไปด้วยทำให้กลิ่น รสชาติเปลี่ยน นอกจากนั้นยังเป็นแหล่งอาศัยของด้วงกาแฟ การทดลองที่ 2 พบว่ากรรมวิธีที่ดีที่สุดในการตากกาแฟ คือ การลอยผลกาแฟและทำการตากภายใน 1 วัน ซึ่งเป็นวิธีที่แนะนำให้เกษตรกรใช้ในการตากแห้งกาแฟตามหลักเกษตรดีที่เหมาะสม ทั้งนี้เมล็ดกาแฟที่ได้มีอัตราเฉลี่ยการเข้าทำลายเมล็ดกาแฟของเชื้อรา 90% ซึ่งน้อยกว่ากรรมวิธีอื่น และเมล็ดกาแฟที่ได้มีคุณภาพดีมากที่สุดเฉลี่ยร้อยละ 93.55 มีข้อบกพร่องรวมน้อยไม่เกินร้อยละ 7 และมีคุณภาพการชิมที่ดีผ่านเกณฑ์มาตรฐานตลอดการทดลอง กรรมวิธีรองลงมา คือ ไม่ลอยผลกาแฟและทำการตากภายใน 1 วัน และ เก็บผลกาแฟสุก ไม่ลอยน้ำ หมักในกระสอบปุ๋ย 3 วัน ก่อนนำออกตาก ซึ่งมีอัตราเฉลี่ยการเข้าทำลายเมล็ดกาแฟของเชื้อราใกล้เคียงกัน ได้เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพสูงกว่า 90% ดังนั้นหากเกษตรกรมีปัญหาด้านแรงงานในการเก็บเกี่ยวและการตากกาแฟ อาจอนุโลมให้ใช้กรรมวิธีที่ 2 และ 3 ได้ การทดลองที่3 พบโรคราสนิม เกิดจากเชื้อรา Hemileiavastatrix โรคแอนแทรกโนส เกิดจากเชื้อรา Colletotrichumgloeosporioides โรคตากบ เกิดจากเชื้อรา Cercospora sp.และโรคใบจุด เกิดจากเชื้อรา Pestalotiopsis sp. โดยโรคที่พบระบาดทั่วไปทุกพื้นที่ปลูกกาแฟอะราบิกา ได้แก่ โรคราสนิม และโรคแอนแทรกโนส และพบว่าปัจจุบันโรคแอนแทรกโนสมีการแพร่ระบาดเพิ่มมากขึ้นทุกพื้นที่ กิจกรรมที่ 2 การทดลองที่ 1 พบว่า กรรมวิธีที่ 4 การใส่ปุ๋ยตามคำแนะนำของกรม เป็นกรรมวิธีที่ให้ผลดีที่สุดการเจริญเติบโต ทั้งด้านความสูง ขนาดรอบโคนและขนาดทรงพุ่ม องค์ประกอบของผลผลิต และคุณภาพของเมล็ด พบว่าแนวโน้มน้ำหนัก 100 เมล็ดมากกว่ากรรมวิธีอื่นๆ ผลผลิตเฉลี่ยกรรมวิธีที่ 4 มากกว่ากรรมวิธีที่ 3 แต่ในแง่ของต้นทุนและผลตอบแทนพบว่า กรรมวิธีที่ 3 ให้ผลตอบแทนสุทธิสูงสุดเมื่อเทียบกับกรรมวิธีอื่น ซึ่งต้นทุนการผลิตส่วนใหญ่เป็นค่าแรงงาน และค่าปุ๋ย ถ้าใข้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน+ พืชแล้วจะลดต้นทุนค่าปุ๋ยเคมีลงได้ ส่งผลให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเช่นกัน การทดลองที่ 2 หลังปลูก 1 ปี 7 เดือน ได้ข้อมูลเบื้องต้นซึ่งพบว่า กาแฟอะราบิกาที่ปลูกร่วมกับชาจีน (กรรมวิธีที่ 3) มีอัตราการเจริญเติบโตสัมพัทธ์ที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยมากที่สุดคือ 0.119 ซม.ซม.-1.เดือน-1 และมีต้นทุนการผลิตต่ำที่สุดคือ 22,521.01 บาทต่อไร่ แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าระบบใดดีที่สุดและควรมีข้อมูลผลผลิตและผลตอบแทนร่วมด้วย ซึ่งจะต้องเก็บข้อมูลต่อไปเพื่อเปรียบเทียบผลตอบแทนและระบบที่เหมาะสมในการสร้างรายได้ที่ยั่งยืนต่อไป
บทคัดย่อ (EN): Pre and postharvest and storage of coffee are the important for quality and safety of coffee production. Not only this, but also new pest and diseases from the climate change and intercropping to increase income to the farmers. That are the cause of research. The objective of the project is research on technology of the quality coffee production to increase the efficiency, cost Reduction and cropping system. The project have 2 activities and 5 experiments, activity 1 is pest management and postharvest handling that have 2 experiments: storage effect in robusta coffee bean from coffee bean weevil and ochratoxin A attacked, Effected of various delaying time prior to drying on robusta bean quality, surveying collection and identification diseases of Arabica coffee in Thailand. Activity 2, that are 2 experiments : nutrient management of Robusta coffee at follow by evaluation to soil and plant fertility , development of intercropping in Arabica coffee. The experimental design as each experiment. The project started from October 2011 until September 2015 at Chumphon Horticultural Research Center, Royal Agricultural Research Center, Office of Research and Development of Plant Protection, coffee farms at the North and the South of Thailand: Chiang Mai, Chiang Rai, Nan, Chumphon, Ranong and Surat Thani provinces . The result of the project found that storage coffee bean, 13 % moisture content in seal thick plastic bag could keep 6 months storage. For 12 month storage found that coffee weevil in all plastic containers and found ochratoxin A between 2.62-5.11 ?g/kg which was not more than standard limited (>5 ?g/kg : ppb) . This result can transfer to coffee farmers, coffee processors to increase quality and Ochratoxin A. For experiment No. 2 found soaking and drying coffee bean in 1 day is the best practice which can get best quality of green bean average 93.55 % . The derived coffee beans had average mould infection rate 90%. For experiment No. 3 found rust disease caused by Hemileia vastatrix the anthracnose disease caused by Colletotrichum gloeosporioides, Frog eye disease caused by Cercospora sp.and Leaf spot disease caused by Pestalotiopsis sp., We found rust and anthracnose disease in all areas of Arabica coffee. And the anthracnose outbreaks have increased all area. For activity No. 2, experiment No. 1 found that the best treatment was applying fertilizer as DOA recommendation. For experiment No. 2 , after planted for one year seven months found that Arabica coffee intercrop with tea (Camellia sinensis) had highest relative growth rate (0.119 cm.cm.-1.month-1) and had lowest cost 3,603.36 THB/ha. The costs are high because of water system. This study could not showed the suitable system because all plant not have production. So, should continue to collect data to compare the beneficial pathway.
ปีเริ่มต้นงานวิจัย: 2553-10-01
ปีสิ้นสุดงานวิจัย: 2558-09-30
ลิขสิทธิ์: แสดงที่มา-อนุญาตแบบเดียวกัน 3.0 ประเทศไทย (CC BY-SA 3.0 TH)
เผยแพร่โดย: กรมวิชาการเกษตร
ภาษา (EN): th
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
โครงการวิจัยเทคโนโลยีการผลิตกาแฟเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต
ปิยนุช นาคะ
กรมวิชาการเกษตร
30 กันยายน 2558
โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอ้อย เทคโนโลยีการผลิตพืชแห่งศตวรรษที่ 21 การยอมรับเทคโนโลยีการผลิตกาแฟของเกษตรกรในอำเภอลำทับ จังหวัดกระบี่ การจัดการการผลิตของเกษตรกรผู้ปลูกมะเขือเทศส่งโรงงานแปรรูปในจังหวัดสกลนคร โครงการวิจัยพัฒนาพันธุ์และเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเงาะคุณภาพ โครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสับปะรด การพื้นฟูดินสันป่าตองด้วยหญ้าแฝกเพื่อเพิ่มผลิตมันสำปะหลัง การบริหารจัดการเทคโนโลยีเพื่อผลิตลำไยนอกฤดูในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย ระยะที่ 1 โครงการวิจัยและพัฒนาส้มเกลี้ยงจังหวัดลำปาง โครงการวิจัยการปรับปรุงเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มคุณภาพผลผลิตและลดต้นทุนการผลิตไม้ผลบนพื้นที่สูง

แสดงที่มา-อนุญาตแบบเดียวกัน 3.0 ประเทศไทย (CC BY-SA 3.0 TH)
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก