สืบค้นงานวิจัย
ผลการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยาของแนวปะการังและแหล่งหญ้าทะเลที่มีต่อ ศักยภาพด้านการประมงและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศบริเวณเกาะกูด จังหวัดตราด
ธรรมศักดิ์ ยีมิน - มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ชื่อเรื่อง: ผลการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยาของแนวปะการังและแหล่งหญ้าทะเลที่มีต่อ ศักยภาพด้านการประมงและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศบริเวณเกาะกูด จังหวัดตราด
ชื่อเรื่อง (EN): Role of Ecological Change of Coral Reefs and Seagrass Communities on Potential Uses for Fisheries and Ecotourism at Koh Kood, Trat Province
ผู้แต่ง / หัวหน้าโครงการ: ธรรมศักดิ์ ยีมิน
บทคัดย่อ: การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยาของแนวปะการังและแหล่งหญ้าทะเล บริเวณเกาะกูด จ.ตราด ศึกษาศักยภาพด้านการประมงและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของแนวปะการังและแหล่งหญ้าทะเล วิเคราะห์ความเชื่อมโยงของการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยาที่มีต่อศักยภาพด้านการประมงและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ จัดทําแนวทางการจัดการทรัพยากรแนวปะการังและแหล่งหญ้าทะเล ศึกษาความเป็นไปได้ในการให้ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในกระบวนการจัดการแนวปะการังและแหล่งหญ้าทะเล และพัฒนาการวิจัยชีววิทยาแนวปะการังในระดับที่สูงขึ้น และสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ในสาขาชีววิทยาทางทะเล ผลการศึกษาในบริเวณอ่าวผักแว้ง อ่าวน้อย อ่าวกล้วย อ่าวไทร อ่าวกะลัง อ่าวพร้าว อ่าวตุ่ม เกาะแรด และเกาะไม้ซี้เล็ก พบว่าแนวปะการังมีความกว้างอยู่ในช่วงประมาณ 30 – 150 เมตร ปะการังมีชีวิตปกคลุมพื้นที่ร้อยละ 2.6 – 62.6 ปะการังชนิดเด่นที่พบได้แก่ ปะการังโขด (Porites lutea) ปะการังผิวยู่ยี่(Porites rus) ปะการังดาว (Astreopora myriophthalma) ปะการังดาว (A. gracillis) ปะการังลายดอกไม้ Pavona decussata) ปะการังหนามขนุน (Hydnopora exesa) ปะการังโขด (Porites lutea) ปะการังลายดอกไม้ (Pavona decussata) ปะการังผักกาด (Merulina ampliata) ปะการังดาวใหญ่ (Diploastrea heliopora) ปะการังสมองร่องยาว (Platygyra deadalea) ปะการังช่องเหลี่ยม (Favites spp.) ปะการังวงแหวน (Favia spp.) ปะการังเขากวาง (Acropora formosa) ปะการังรังผึ้ง (Goniastrea spp.) ปะการังผิวยู่ยี่ (Porites rus) สถานีศึกษาที่พบการลงเกาะตัวอ่อนปะการัง (juvenile colony) บนพื้นแนวปะการังตามธรรมชาติมากที่สุดคือ บริเวณอ่าวพร้าว ซึ่งมีตัวอ่อนปะการังจํานวน 19 ชนิด คือ Acropora sp., Astreopora sp.,Leptoseris sp., Fungia spp., Pavona sp., Lithophyllon sp., Hydnophora sp., Turbinaria sp.,Lobophyllia sp., Symphyllia sp. Favia sp., Favites sp., Barabattoia amicorum, Goniastrea sp.,Platygyra sp., Leptoria sp., Oulastrea crispata, Porites sp. และ Goniopora sp. มีความหนาแน่นเฉลี่ย 1.3 ตัวต่อตารางเมตร ผลการศึกษาการลงเกาะของตัวอ่อนปะการังบนแผ่นกระเบื้อง (settlement plate experiment) พบว่าบริเวณอ่าวพร้าวมีจํานวนตัวอ่อนปะการังลงเกาะมากที่สุด โดยมีจํานวน 8 ชนิด ได้แก่ ปะการังผิวเกล็ดน้ำแข็ง (Montipora sp.) ปะการังดอกกะหล่ำ (Pocillopora damicornis) ปะการังแกแล็กซี่ (Galaxea sp.) ปะการังสมองร่องยาว (Platygyra sp.) ปะการังดอกเห็ด (Fungia spp.) ปะการังโขด (Porites spp.) ปะการังดอกไม้ทะเล (Goniopora sp.) และ Unidentified ตามลําดับ แนวปะการังบางบริเวณมีการตายเป็นบางส่วนของเนื้อเยื่อปะการัง (partial mortality) สูง เช่น บริเวณเกาะไม้ซี้เล็ก โดยปะการังที่มีการตายของเนื้อเยื่อมากคือ ปะการังดาวใหญ่ (Diploastrea heliopora) เฉลี่ยร้อยละ 57.8 รองลงมาคือ ปะการังใบหิน (Lithophyllon edwardsi) เฉลี่ยร้อยละ 33.3 พบชิ้นส่วนปะการังปะการังที่แตกหักมากที่สุดในบริเวณอ่าวตุ่ม โดยพบปะการังลายดอกไม้ (Pavona sp.) เพียงชนิดเดียว และมีความหนาแน่นเฉลี่ย 5.0 ชิ้น/100 ตารางเมตร รองลงมาคือบริเวณอ่าวกะลัง พบชิ้นส่วนปะการังปะการังที่แตกหัก 3 ชนิด คือ ปะการังเขากวาง (Aropora sp.) ปะการังผิวเกล็ดน้ำแข็ง (Montipora sp.)และปะการังลายดอกไม้ (Pavona sp.) ซึ่งมีความหนาแน่นเฉลี่ย 1.3, 2.0 และ 4.7 ชิ้น/100 ตารางเมตรตามลําดับ พบสัตว์ทะเลหน้าดินขนาดใหญ่หนาแน่นมากที่สุดในบริเวณอ่าวน้อย ได้แก่ หอยที่ฝังตัวอยู่ในก้อนปะการัง (Arca sp.) หอยมือเสือ (Tridacna crocea.) และหอยปะการัง (Pedum sp.) ซึ่งมีความหนาแน่นเฉลี่ย 831.3, 64.7 และ 24.3 ตัว/100 ตารางเมตร ตามลําดับ สัตว์ทะเลหน้าดินขนาดใหญ่ที่อาศัยอยู่ในพื้นชั้นดินตะกอนที่พบมากที่สุดอยู่ในบริเวณอ่าวพร้าวมีจํานวน 5 กลุ่ม คือ กลุ่มไส้เดือนทะเล พบ 4 ครอบครัว โดยครอบครัวที่มีความหนาแน่นเฉลี่ยมากที่สุดคือ Pocilochaetidae และMagelonidae มีความหนาแน่นเฉลี่ย 11.1 และ 7.4 ตัว/ตารางเมตร กลุ่มดาวเปราะ (Ophioderma sp.) มีความหนาแน่นเฉลี่ย 3.7 ตัว/ตารางเมตร และกลุ่มหอยสองฝา (Bivalvia) คือ Semele sp. มีความหนาแน่นเฉลี่ย 5. 6 ตัว/ตารางเมตร ปลาในแนวปะการังที่มีความหนาแน่นเฉลี่ยมากที่สุด คือ บริเวณอ่าวพร้าว ปลาชนิดเด่นที่พบ คือ ปลาสลิดหิน (Pomacentrus cuneatus) และปลาสลิดหินหางกรรไกร (Abudefduf sexfasciatus) มีความหนาแน่นเฉลี่ย 144.4 ตัวต่อ 500 ตารางเมตร ตามลําดับ นอกจากนี้ยังประกอบไปด้วยปลาที่มีค่าทางเศรษฐกิจ อันได้แก่ ปลากล้วยหางเหลือง (Caesio cunning) กลุ่มปลาสลิดทะเล (Siganus spp.) ซึ่งนิยมนํามาบริโภคในระดับท้องถิ่น และปลากุดสลาด (Plectopomus leopadus) ซึ่งมีราคาสูงเป็นที่นิยมในการบริโภค มีความหนาแน่นเฉลี่ย 51.1, 66.6 และ 1.1 ตัวต่อ 500 ตารางเมตร ตามลําดับ แหล่งหญ้าทะเลบริเวณอ่าวกล้วยมีพื้นที่กว้างประมาณ 300 เมตร ปกคลุมพื้นที่ร้อยละ 56.8 หญ้าทะเลที่พบ 3 ชนิดคือ หญ้าชะเงาสั้นปลายหนาม (Cymodocea serrulata) หญ้าชะเงาใบแคบ (Halodule uninervis) และหญ้าใบพาย (Halophila beccarii) กระจายตัวเป็นหย่อมๆ บริเวณพื้นทรายที่ตื้น โดยหญ้าทะเลชนิดเด่นที่พบได้แก่ หญ้าชะเงาสั้นปลายหนาม (Cymodocea serrulata) นอกจากนี้ยังพบว่าแหล่งหญ้าทะเลบางพื้นที่มีการเปลี่ยนแปลงตามเวลามาก ผลการสํารวจข้อมูลด้านเศรษฐกิจและสังคม คุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์และคุณค่าต่อคุณภาพชีวิต พบว่าเกาะกูด เป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของประเทศไทย อยู่ในเขตการปกครองขององค์การบริหารส่วนตําบลเกาะกูด มี 6 หมู่บ้าน ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพ ทําสวน รับจ้าง ประกอบธุกิจการท่องเที่ยวและประมง ข้อมูลการประกอบอาชีพประมงบริเวณเกาะกูดมีจํานวนประมาณ 30 ราย เรือที่ใช้ในการทําอาชีพประมงเป็นเรือประมงขนาดเล็กความยาวประมาณ 4 วา ส่วนใหญ่ทําประมงอวนปูในช่วงเดือนมิถุนายน – ตุลาคม และจะเปลี่ยนมาทําประมงลอบปูลอบหมึก ในช่วงเดือน พฤศจิกายน – พฤษภาคม มีเรือไดหมึกอยู่เพียง 1 ราย พื้นที่ที่เข้าไปทําการประมงจะอยู่บริเวณรอบเกาะกูด สัตว์น้ำที่จับได้จะนํามาจําหน่ายบนเกาะ ซึ่งจะถูกนําไปบริโภคภายในเกาะ การทําประมงของเรือนอกพื้นที่ส่วนใหญ่ทำประมงอวนลาก , อวนรุน และเรือได ส่วนใหญ่มาจากคลองใหญ่ คลองสน บริเวณที่ทําประมงคือบริเวณระหว่างคลองใหญ่กับเกาะกูด และรอบๆ เกาะกูด สัตว์น้ำที่จับได้จะนําขึ้นไปจําหน่ายบนฝั่ง โดยปัญหาที่เกิดจากการทําประมงผิดกฎหมายมีค่อนข้าง มาก แต่ในพื้นที่กลับขาดการบังคับให้กฎหมายที่ดี ผลการสํารวจข้อมูลการท่องเที่ยว เกาะกูดมีสถานประกอบการท่องเที่ยวประมาณ 24 ราย นักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวเกาะกูด ส่วนใหญ่นิยมซื้อแพ็คเกจทัวร์ของรีสอร์ทต่างๆ โดยแพ็คเกจทัวร์ระยะเวลา 3 วัน 2 คืนราคาประมาณ 3,500 - 6,000 บาท ซึ่งจะรวมค่าบริการเรือสปีดโบ๊ตไป-กลับ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง และยังรวมค่าที่พัก อาหาร และค่านําเที่ยว เช่น ดําน้ำดูปะการัง ฤดูกาลที่เหมาะสมสําหรับการท่องเที่ยว คือ ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงต้นพฤษภาคม กิจกรรมการนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่คือ ท่องเที่ยวน้ำตก ดําน้ำชมปะการังบริเวณแนวปะการังหมู่เกาะรัง จากผลการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของแนวปะการัง พบว่าแนวปะการังในบางพื้นที่มีความเสื่อมโทรมจึงจําเป็นต้องวิเคราะห์แนวทางด้านเทคนิคและวิธีการที่เหมาะสมในการฟื้นฟูแนวปะการัง โดยใช้ข้อมูลในรายละเอียดเชิงลึกของแนวปะการังแต่ละแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งศักยภาพการฟื้นตัวตามธรรมชาติของแนวปะการัง แนวปะการังในบางพื้นที่อาจมีความเหมาะสมที่ต้องดําเนินการฟื้นฟูโดยมนุษย์ (active restoration)เพื่อผลประโยชน์และความคุ้มค่าในด้านการท่องเที่ยว เพื่อเป็นห้องเรียนธรรมชาติ หรือเป็นกระบวนการสร้างจิตสํานึกในการอนุรักษ์ปะการังแก่สาธารณะ ตัวอย่างการฟื้นฟูแนวปะการังในบริเวณอ่าวแดง เกาะกูด ซึ่งมีปะการังปกคลุมประมาณร้อยละ 10 และในพื้นที่มีตัวอ่อนปะการังและกิ่งปะการังแตกหักมาก ดังนั้นชุมชนในพื้นที่ ผู้ประกอบการการท้องเที่ยว สถาบันการศึกษา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงได้ร่วมดําเนินการทําแปลงฟื้นฟูปะการังขึ้น โดยฟื้นฟูปะการังด้วยการนํากิ่งปะการังและตัวอ่อนปะการังที่ลงเกาะบนพื้นที่ไม่เสถียรมายึดติดกับพื้นแท่งปูนที่ออกแบบโดยผู้วิจัยและชุมชน ผลการศึกษาติดตามพบว่าปะการังมีอัตราการเติบโต และมีการแตกกิ่งก้านเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังได้มีการจัดการฝึกอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศแนวปะการังและหญ้าทะเลแก่นักเรียน ชุมชนในพื้นที่ ผู้ประกอบการการท่องเที่ยว รวมทั้งการจัดทําโปสเตอร์เกี่ยวกับความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในบริเวณพื้นที่เกาะกูด ได้แก่ ปะการัง สัตว์ทะเลหน้าดินขนาดใหญ่ ปลา เผยแพร่ให้แก่หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่อีกด้วย การวิจัยในครั้งนี้ทําให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้พื้นฐานด้านชีววิทยาแนวปะการัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างและความหลากหลายทางชีวภาพของแนวปะการังและแหล่งหญ้าทะเลในบริเวณเกาะกูด จังหวัดตราด ซึ่งสามารถใช้สําหรับการเปรียบเทียบ ติดตามการเปลี่ยนแปลง หรือ ประเมินผลกระทบตอ่สิ่งแวดล้อมในอนาคต และเป็นพื้นฐานที่สำคัญการวิจัยในขั้นต่อไป การเผยแพร่ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาแก่ชาวประมง ประชาชนในท้องถิ่น และกลุ่มประชาชนทั่วไปเพื่อให้ตระหนักถึงความสําคัญของการใช้ทรัพยากรในแนวปะการังและแหล่งหญ้าทะเลอย่างยั่งยืน และเผยแพร่ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาแก่ผู้ประกอบการภาคธุรกิจในด้านการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ซึ่งเป็นข้อมูลพื้นฐานสําหรับการวางแผนและการจัดการท่องเที่ยว ตลอดจนการกําหนดแนวทางการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน และเป็นการพัฒนาแนวทางในการเสริมรายได้ของประชาชนในท้องถิ่นจากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประมง และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ดังนั้นข้อมูลที่ได้จากการศึกษาในครั้งนี้ จึงเป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการภาคธุรกิจ หน่วยงานของรัฐ ชาวประมง ประชาชนในท้องถิ่น และกลุ่มประชาชนทั่วไปเพื่อให้ตระหนักถึงความสําคัญของการใช้ทรัพยากรในแนวปะการังและแหล่งหญ้าทะเลอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ยังได้นําข้อมูลจากการวิจัยไปตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารและการประชุมทางวิชาการทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติจํานวน 13 เรื่อง และสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ในสาขาชีววิทยาทางทะเล ข้อเสนอแนะสําหรับแนวทางการดําเนินงานวิจัยในอนาคต ได้แก่ 1. การติดตามตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของแนวปะการัง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก และผลกระทบร่วมจากภาวะคุกคามโดยมนุษย์เช่น การท่องเที่ยว การพัฒนาชายฝั่ง การประมง ฯลฯ 2. การศึกษาสํารวจระบบนิเวศกองหินใต้น้ำเพิ่มเติม เพื่อการใช้ประโยชน์ในด้านการท่องเที่ยวและการประมง 3. การศึกษาความเชื่อมโยง (Conectivity) ของระบบนิเวศแนวปะการังและแหล่งหญ้าทะเลบริเวณเกาะกูดกับระบบนิเวศอื่นๆ ในพื้นที่และความเชื่อมโยงกับระบบนิเวศทางทะเลในอ่าวไทยรวมทั้งการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน (Transboundary) 4. การศึกษาด้านเศรษฐกิจสังคมในพื้นที่ ซึ่งมีระบบนิเวศทางทะเลเป็นฐานทรัพยากร เพื่อนําไปสู่การกําหนดแนวทางและมาตรการที่เหมาะสม 5. การศึกษารูปแบบและขอบเขตการคุ้มครองทางทะเล (Marine Protected Areas) ในบริเวณหมู่เกาะกูด โดยเน้นกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน
บทคัดย่อ: ไม่พบข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง
ภาษา (EN): th
เอกสารแนบ: https://dric.nrct.go.th/Search/SearchDetail/295042
เผยแพร่โดย: มหาวิทยาลัยรามคำแหง
คำสำคัญ: การจัดการ
คำสำคัญ (EN): Management
เจ้าของลิขสิทธิ์: สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
หากไม่พบเอกสารฉบับเต็ม (Full Text) โปรดติดต่อหน่วยงานเจ้าของข้อมูล

การอ้างอิง


TARR Wordcloud:
ผลการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยาของแนวปะการังและแหล่งหญ้าทะเลที่มีต่อ ศักยภาพด้านการประมงและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศบริเวณเกาะกูด จังหวัดตราด
มหาวิทยาลัยรามคำแหง
30 กันยายน 2552
นิเวศวิทยากองหินใต้น้ำที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวและการประมงในอ่าวไทย การพัฒนาระบบสื่อความหมายการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในชุมชนบ้านหม้อ ต.ป่าไผ่ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ การพัฒนาความเข้มแข็งชุมชนในการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การศึกษารูปแบบการบริหารจัดการบริษัทนำเที่ยวเชิงนิเวศ (จำลอง) การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศโดยชุมชนจังหวัดชุมพร การศึกษาศักยภาพและแนวทางการจัดการแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศของอุทยานแห่งชาติขุนสถาน แนวทางการพัฒนาโครงข่ายการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ภายในจังหวัดชุมพร ศักยภาพการจัดการท่องเที่ยวเชิงเกษตรในจังหวัดเชียงใหม่ การศึกษาศักยภาพเชิงพื้นที่เพื่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศวัฒนธรรมของชุมชนบุญเรือง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย การศึกษาศักยภาพพระธาตุในจังหวัดแพร่เพื่อพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
คัดลอก URL
กระทู้ของฉัน
ผลการสืบค้นทั้งหมด โพสต์     เรียงลำดับจาก